ลงมาจากเชียงราย ผ่าน พะเยา ขับรถกันมาเรื่อยๆ มาถึงแพร่ จนค่ำมืด จำเป็นต้องหาที่พักได้ที่พักแห่งนึง ราคา 600/คืน/ห้อง เป็นรีสอร์ทที่สร้างไม่นาน สภาพดี ที่นอนหนานุ่ม ได้นอนหายเหนื่อยจากการเดินทางมานาน
เช้านี้ (21 มกราคม 2561)ก่อนเดินทางกลับโคราชบ้านเอ็งขอแวะเที่ยวตัวเมืองแพร่ซะหน่อย ยังไม่เคยแวะเที่ยวเลย ที่แรกที่เราไป คือ " คุ้มเจ้าหลวง"
คุ้มเจ้าหลวง เมืองแพร่ เป็นที่ประทับของ " เจ้าพิริยเทพวงษ์ " เจ้าผู้ครองนครเมืองแพร่ องค์ที่ 22 และเป็นคุ้มเจ้าหลวงเพียงไม่กี่แห่งที่หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินล้านนา
ดูจากภายนอกแล้ว แม้สถานที่แห่งนี้จะมีอายุเก่าแก่ แต่การดูแลรักษาของที่นี่ดีมาก น่าชื่นชมมาก
คุ้มเจ้าหลวง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดยเจ้าพิริยเทพวงค์ มีหน้าต่างทั้งหมด 72 บาน มีลวดลายฉลุไม้อยู่ด้านบนปั้นลมและชายคา เป็นสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 5 ในยุคต้นๆ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรป หรือ ทรงขนมปังขิง ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น
โดยส่วนตัวแล้ว ตัวผมไม่ได้เข้าไปดูภายในอาคาร ปล่อยให้เพื่อนๆเข้าไปดู ผมเลยได้แต่เก็บรูปภาพนอกอาคารมานิดหน่อย
อนุเสาวรีย์ เจ้าหลวงพิริยเทพวงค์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายผู้ครองเมืองแพร่
หากใครผ่านเมืองแพร่อย่าลืมแวะคุ้มเจ้าหลวงนะครับไม่ผิดหวัง อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ยังเคยถ่ายละครหลายเรื่อง แต่จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไรบ้าง
ออกจากที่นี่ เลยไปนิดเดียวเยื้องๆกัน จะเจอศาลหลักเมืองแพร่ พวกเราก็ได้มีโอกาสไหว้ศาลหลักเมืองด้วย
ตัวที่เลื้อยตามราวบันไดทางภาคเหนือเรียกว่าอะไรจำไม่ได้ แต่ตัวนี้มีลูกแก้วเต็มปากเลย คาดว่าท่านที่มากราบไว้ขอพรคงนำลูกแก้วมาด้วยแล้วใส่เข้าปากเจ้าตัวนี้ หลายท่านหลายคนจนเต็มปากทุกราวบันได
พากันไหว้เสาหลักเมือง ขอลาบขอพรกันไปตามแต่ศรัทธาของแต่ล่ะบุคคล ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์คุ้มครองข้าพเจ้าและครอบครัว อีกทั้งเพื่อนฝูง และประเทศไทย ให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยเทอญ
เสาหลักเมือง เป็นหลักใหม่สร้างตามนโยบายมหาดไทย ปี 2535 ตั้งอยู่คู่กับหลักศิลาจารึกเก่าที่กล่าวถึงการสร้างวัดศรีบุญเริง ในรัชสมัยของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ออกจากที่นี่ผมกะว่าจะไปแวะ บ้านวงค์บุรี (บ้านสีชมพู) แต่น่าเสียดายวันนั้นมีการจัดงานแต่ง เลยไม่ได้เข้าไป หากเข้าไปก็คงไม่สะดวกเพราะเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ เลยไปแวะที่วัดพงษ์สุนันท์ แล้ว blog หน้าจะมาเล่าต่อนะครับ