เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ
ตามรายทาง

หนึ่งคืนในรถทัวร์
ถ้าไม่ถูกแอร์เอเชียหักหลังด้วยการเลิกบินไปลังกาวี ชีวิตก็คงจะสะดวก สบาย ง่าย และขนมกว่านี้หลายเท่า จริงๆหลายคนก็บอกว่ากรณีเยี่ยงนี้สมควรได้รับการรีรูต เช่นเปลี่ยนไปปีนังหรืออะไร แต่เจ้าหน้าที่ที่โทรมาแจ้งเราคงจะใหม่ เพราะถามอะไรประโยคหนึ่ง เจ้าหล่อนจะต้องหันไปถามใครอีกคนตลอดเวลา สร้างความรำคาญใจให้นักเดินทางมือใหม่ (เพิ่งถูกหักหลังจากสายการบินครั้งแรก) เป็นอันมาก ลำพังคิดคำถามก็ยากอยู่แล้ว แต่กว่าจะได้คำตอบยากกว่าหลายเท่า ในที่สุดก็ยอมรับเงินคืนและไปบากบั่นฟันฝ่าเอาบนถนน (ที่มีความช่ำชองมากกว่า) โดยละม่อม

จ่ายเงินพอๆกัน แต่ความสบายและความเร็วผิดกันลิบลิ่ว อืมม์ บ่นแล้วก็ปลง เพราะประโยคนี้จะไม่มีทางหลุดจากปากถ้าเป็นสี่ห้าปีก่อนที่ร่างกายยังไม่เสื่อมถอยเยี่ยงนี้ แต่ก็ไม่ได้ท้อหรอกนะ แค่ต้องเตรียมพร้อมมากขึ้นเท่าน้าน พอได้เวลา ป้าก็ควักหมอนรองคอแบบเป่าลมสองใบ หนึ่งไว้หนุนคอ สองไว้หนุนหลัง ใช้ลมปากไม่กี่เฮือกร่างกายก็ผ่อนคลายพอจะแบกเป้ต่อได้โดยไม่สะบักสะบอมเกินไป

ตอนออกเดินทางคราวนั้น สายใต้ใหม่ (กว่า) เพิ่งเปิดได้ไม่นาน กลิ่นใหม่ยังอวลอยู่กรุ่นๆ ทุกอย่างใหม่ ใหญ่โต กว้างขวาง แต่บริการและอะไรหลายอย่างก็ยังเหมือนเดิม เข้าใจว่าเพราะสิ่งที่คงเดิมคือ “คน” นั่นเอง อืมม์ แต่อย่าบ่นไปเลย เสียงนกเสียงกาในอินเทอร์เน็ตที่เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องไม่เคยเปิดอ่านไม่น่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้น เล่าเรื่องม่วนชื่นหัวใจต่อดีกว่า

จากท่ารถสตูลนั่งมอเตอร์ไซค์ไปท่าเรือแค่สิบนาทีเท่านั้นเอง รถไปถึงเจ็ดโมงนิดๆ จริงๆเราไม่ได้รีบเลย (และไม่มีเรือลำไหนออกเช้ากว่าเก้าโมงด้วย) แต่ดันเชื่อเจ้าหน้าที่ที่ท่ารถที่บอกว่าสองแถวไม่ค่อยมี ก็เลยตัดสินใจนั่งมอเตอร์ไซค์ไปห้าสิบบาท (สงสัยแมร่งเป็นญาติกันแน่เลย) สิบเอ็ดโมงก็ไปเดินเล่นอยู่ที่ท่าเรือลังกาวีแล้ว คิดว่าวิธีนี้น่าจะดีและเร็วกว่าไปหาดใหญ่ แต่ไม่ยืนยันจ้า

ลังกาวี ไม่มีรถมั่งก็แล้วปาย
ถ้าจะว่ากันจริงๆ นอกจากที่ซื้อของช็อปปิ้ง เกาะลังกาวีก็มีที่เที่ยวหลายแห่ง บางแห่งก็ไม่ได้ไกลกันมากมายอะไร แต่ด้วยความที่ลังกาวีไม่มีบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ (หรือมีแล้วไม่รู้ก็เป็นได้) มันก็เลยยากเย็นสำหรับคนที่ไปคนเดียว ทั้งรีบ ทั้งงก และยังโง่อีกด้วย

อย่างที่บอกว่าไปเจอคนไทยที่ไปทำงานก่อสร้างแล้วเขาก็พาขึ้นรถของพี่คนไทยอีกคน ซึ่งพูดง่ายๆก็แท็กซี่นี่แหละ (แต่ว่าเป็นรถแวนเล็กๆ) ด้วยความมึนงงก็ขึ้นรถตามเขาไปแบบตกกะไดพลอยโจน รถไปตระเวนส่งคนที่ไม่ได้รู้จักกันจนครบ แล้วก็เหลือเราซึ่งต้องการจะใช้เวลาสามสี่ชั่วโมงชมดูอะไรบนเกาะก่อนที่จะขึ้นเรือไปปีนังตอนเย็น แต่พี่คนขับไม่ยอมบอกราคา ไม่ยอมบอกว่าจะรับใช้เราได้ถึงกี่โมง บอกแต่ว่าไม่มีปัญหา คนไทยด้วยกัน แล้วก็ถามว่าน้องจะไปไหนบ้าง เขาก็พาไปแหละนะ แต่มันจะมีอะไรชวนอึดอัดพิกลๆ เช่น ดูนาฬิกาบ่อยมาก พยายามโน้มน้าว “ไม่ให้” ไปที่นั่นที่นี่ (ด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น) ในที่สุดก็เลยเข้าใจว่าพี่เขาคงไม่อยากไปแล้ว เลิกดึงดันก็ได้ (วะ) สรุปว่าใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงนับจากส่งลูกค้าคนสุดท้าย คือประมาณบ่ายโมงกว่าถึงบ่ายสามโมงนิดๆ แวะไปสามที่ในละแวกใกล้ๆกัน เสียค่ารถในราคาคนไทยด้วยกันไปเกือบหนึ่งพันบาท คิดว่าถ้าเหมาแท็กซี่จริงๆคงไม่เสียเงินมากเท่า และ (อย่างน้อยก็ไม่) เจ็บใจเท่านี้

แถมท้าย เราอยากแวะส่งไปรษณียบัตร พี่เขาบอกว่าที่ท่าเรือก็มี เดี๋ยวแวะส่งให้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ โน่น ขับปรู๊ดเดียวไปจอดท่าเรือ ถามว่าไม่แวะให้เหรอ เขาก็ยักไหล่ บอกง่ายๆว่า อยู่ตรงนั้นเอง เดินไปก็ได้ แล้วก็จากไป เฮอะ พูดง่ายนี่ เป้กรูน่ะไม่ได้ใส่นุ่นมานะเฟ้ย กว่าเราจะซื้อตั่วเรือและหาที่ฝากกระเป๋าเจอ (ซึ่งปรากฏว่าเต็ม ไม่มีบัตรเหลือให้ฝาก) ไปรษณีย์ก็ปิดทำการแล้ว เศร้าใจ โชคดีที่ไปเจอพี่เจ้าของแผงขายไปรษณียบัตร รับอาสาเอาไปส่งให้ เราเสื่ยงด้วยการให้เงินค่าแสตมป์เขาไปสำหรับติดไปรษณียบัตรสองฉบับ และเมื่อกลับมาเห็นหนึ่งในสองมาถึงจุดหมายที่บ้าน ก็ให้รู้สึกรักคนมาเลย์เสียนัก

ปีนังยังหวาน แต่รอน้าน...นาน อยู่
ปีนังเป็นเมืองน่ารัก มีทั้งตึกรามทันสมัย ย่านเก่าแก่ และร้านอาหารอร่อย ถ้าเที่ยวไปพักไปกินไป ก็น่าจะละเลียดได้หลายวัน ถ้าคิดจะแวะศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว แนะนำให้ไปที่ห้องเล็กๆตรงท่าเรือ มีข้อมูลมากมายของปีนังและเมืองอื่นๆ (ที่อาจหาไม่ได้เมื่อไปถึงเมืองนั้นๆ)

ทอดหุ่ยอยู่สองวันสามคืน แต่ใช้เกสต์เฮาส์เปลืองมาก (หนีเสือปะหมาน่ะ) เพราะเกสต์เฮาส์แห่งแรกแม้ว่าจะใหม่เอี่ยม สะอาดสะอ้าน แต่เสียงคุยของข้างห้องลอดเข้ามาสนั่นลั่นหู พ่อคุยกะแฟนหรือไงไม่รู้ตั้งแต่เที่ยงคืนยังตีสอง พอตัดสินใจย้ายไปที่ใหม่ เป็นอารมณ์เก่าๆ แอนทีค ดูมีบรรยากาศ ปรากฏว่าเสียงฝน เสียงรถ และเสียงมอเตอร์ไซค์จากถนนดังยิ่งกว่าเดิม (แถมดังทั้งคืน) เพราะได้ห้องติดถนน ไม่ซวยก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว

ปีนังมีรถเมล์ให้เลือกนั่งเที่ยวได้ไม่ยาก แต่ต้องเตรียมค่ารถให้พอดี เพราะคนขับไม่มีทอน (ไม่มีกระเป๋ารถเมล์) ที่สำคัญ โปรดดูเวลาทำการเที่ยวสุดท้ายด้วย นั่งรถเมล์ไปปีนังฮิลล์ มีหลายสายให้เลือก แต่ขากลับไม่ได้ดูเวลารถหมด แล้วก็ติดค้างอยู่บนนั้นเพราะคนเยอะมาก ทั้งนักท่องเที่ยวและนักเรียน กว่าจะต่อคิวลงเคเบิลมาได้ก็สองทุ่ม เมื่อไม่ได้เช็คเที่ยวรถเมล์ให้ดีก่อน ก็นั่งรอไปสิ ตั้งแต่สองทุ่มถึงห้าทุ่ม ไม่มีรถมาสักคัน โชคดีที่มีคุณลุงแท็กซี่ป้ายดำนั่งหาลูกค้าอยู่ที่ป้ายรถ เมื่อไม่มีรถมาจริงๆ ก็อาศัยคุณลุงนี่ล่ะพาไปส่ง แล้วก็ลงรถก่อนฝนห่าใหญ่ตกลงมาเพียงเสี้ยววินาที

จิบชาท้าหนาวที่ยอดเขาแคเมอรอน
ชั่งใจอยู่ว่าจะไปไหนดีระหว่างแคเมอรอนไฮแลนด์กับเกนติ้ง (ซึ่งก็ไม่ควรต้องชั่งเล้ย ในเมื่อไปคนเดียว เกนติ้งก็คงไม่เวิร์ก) แต่ถ้าใช้เหตุผลนี้ แคเมอรอนไฮแลนด์ก็ไม่น่าเวิร์กเหมือนกัน เพราะต้องนอนหนาวววว...เปล่าเปลี่ยวเอกา แต่กัดฟันบอกตัวเองว่า เอาเถอะน่า มีถุงนอนมาด้วย มันจะหนาวอะไรนักหนา และเมื่อรถบัสคดซ้ายเคี้ยวขวาเลียบป่าเลาะเหวไปจนถึง...ก็ได้เข้าใจว่าอากาศสามารถหนาวจริงจังได้บนเขา โดยเฉพาะเมื่อฝนตก แม้ว่าชายทะเลปีนังจะร้อนจนตับแทบแลบก็ตาม

แคเมอรอนไฮแลนด์เป็นหมู่บ้านเล็กๆบนเทือกเขาสูง บัดหนึ่งที่ฝนนึกอยากตกก็ตกซู่ลงมา แล้วบัดหนึ่งก็ขาดเม็ดไปแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ทำให้อากาศที่หนาวอยู่แล้วยิ่งยะเยือกหนักเข้าไปได้ง่ายๆ โชคดีที่ได้ชาร้อนๆและอาหารแขกอร่อยๆเติมกำลัง โชคดีอีกเหมือนกันที่กินอาหารแขกได้และออกไปในทางชอบ ไม่งั้นอาจต้องอ้าปากรองน้ำฝนกินประทังชีวิต (ล้อเล่นจ้า คนเกลียดแขกไม่ต้องตกใจ ร้านอาหารอื่นก็พอหาได้)

บนเขามีหมู่บ้านสองสามแห่ง ลดหลั่นไปตามลำดับความสูง สถานที่ท่องเที่ยว (เชิงพาณิชย์) ทั้งหลายก็แทรกตัวอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ที่เชื่อมต่อกันด้วยถนนคดเคี้ยวสายนั้นนั่นเอง

ไปเคแอล...แอ่วปุตรา
เวลาไปเที่ยวบ้านไหนเมืองไหนคนส่วนใหญ่ก็ต้องเริ่มต้นที่เมืองหลวง อาจจะยกเว้นเฉพาะคนผ่านทางจนๆที่เลาะตะเข็บชายแดนข้ามมาราวกับผู้ลี้ภัยเท่านั้นที่แวะไปตามรายทาง เมื่อกัวลาลัมเปอร์อยู่ตอนกลางของประเทศ จึงได้คิวเป็นเมืองอันดับสี่ไปเป็นธรรมดา แต่นอกจากจะเป็นเมืองหลวงที่มีอาคารสถานที่ราชการใหญ่โตโอ่อ่าแล้ว เคแอลก็ไม่ได้มีอะไรเตะใจเราเป็นพิเศษนอกจากคนเฝ้าเกสต์เฮาส์นิสัยดี (เพราะให้เรานอนห้องสองเตียงในราคาห้องเดี่ยวตั้งสองคืน อิอิ)

นอกจากจะเก๋ไก๋ด้วยภาพสีน้ำมันแล้ว เกสต์เฮาส์ที่พักในเคแอลยังอยู่ในทำเลที่จัดว่าดี ไม่ไกลจากสถานีรถบัส ไชน่าทาวน์ จัตุรัสกลางเมือง และธนาคารกรุงเทพ อันสุดท้ายนี่ไม่ได้จะไปแลกเงินหรือคิดถึงบ้านขนาดต้องดูธนาคารสัญชาติไทยต่างหน้าแต่อย่างใด แต่เพราะที่ตั้งของธนาคารแห่งนี้อยู่ใกล้ท่ารถเมล์หลายสาย จึงสะดวกต่อการไปโน่นมานี่ ทั้งถ้ำบาตูและปุตราจายา สามารถหารถขึ้นได้ในละแวกนี้ (ในราคาสบายกระเป๋า)

มะละกา เมืองท่าปลายแหลม
จริงๆแล้วมะละกาคือเมืองที่อยากมาเยือนที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ แต่กลับเป็นที่หมายสุดท้ายในมาเลเซีย ค่าที่มันตั้งอยู่ห่างไกลถึงปลายแหลมมลายูโน่น แต่ถ้าโตมากับคำขวัญโฆษณาว่า “อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ” ก็จะระหกระเหเร่ร่อนไปถึงมะละกาได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนเท่าใดนัก

แต่จะมาช้ามาเร็วก็ไม่ผิดหวัง เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายตะวันตก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโบสถ์สีชมพูข้างถนน ป้อมและซากวัดบนภูเขา กังหันริมลำน้ำสายน้อย หรือเรือสำเภาที่ทอดสมออยู่กันแน่ ขณะเดียวกันบรรยากาศแบบจีนมาเลย์ก็ชัดเจน เพียงแค่ข้ามสะพานไปก็จะเจอเรือนแถวหลังเล็กๆที่ขายสินค้านานาชนิด ทั้งเสื้อผ้า อาหาร ของที่ระลึก และงานศิลปะ หรือถ้าเบื่อๆ พอแดดร่มลมตก ก็นั่งสามล้อสารพัดสีที่บางคันก็เปิดเพลงสนุกประกอบการปั่นให้คนหันไปมองจนเหลียวหลัง รอให้มืดหน่อยก็จะได้สนุกกับการต่อรองราคาบนถนนคนเดิน...ที่ไม่ชวนเหนื่อยใจเหมือนเมืองจีนต้นตำรับ นี่ยังไม่นับร้านอาหารอร่อยๆกับรายการอาหารและขนมเฉพาะถิ่นยาวเป็นหางว่าวให้เลือกชิมอีกต่างหาก อืมม์...พูดแล้วก็หิวขึ้นมารำไร

ระหว่างที่นั่งพักหน้าซากวัดบนเนิน แอบฟังนักดนตรีเปิดหมวก (ในที่นี่คือนักกีตาร์เปิดกล่องกีตาร์) เล่นเพลงแผ่วหวานส่งไปตามสายลม และแอบดูนักท่องเที่ยวคนอื่นๆชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ เราก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันคืนในอดีต ในยามที่ผู้คนต่างชาติต่างภาษาอยู่รวมกันในเมืองท่าริมทะเลแห่งนี้ ชีวิตของผู้คนที่เป็นต้นกำเนิดวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมที่ผสมผสานอย่างดูเหมือนจะลงตัวในปัจจุบันจะสงบสุขและสันติเช่นนี้...หรือผิดแผกแตกต่างอย่างไรหนอ

สิงคปุระ
ทริปนี้จะถึงมา-ลา-ยูอย่างไรได้ถ้าไปไม่ถึงสิงคโปร์ ประเทศใหม่ที่สร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองด้วยการรวบประวัติความเป็นมาของชนชาติต่างๆในภูมิภาคนี้ไว้ในพิพิธภัณฑ์ได้อย่างน่าสนใจ

จากมะละกาใช้เวลาแค่งีบเดียวก็ข้ามฟากไปถึงสิงคโปร์แล้ว แต่กว่าจะผ่าน ตม. สิงคโปร์วันอาทิตย์เข้าไปได้ ก็ใช้ต่อคิวกันนานเกือบครึ่งของเวลาเดินทางมา ผ่านเข้าไปได้เมื่อไร ก็จงเกาะรถใต้ดินไว้ให้แน่นๆ เพราะชีวิตจะง่ายและเร็วขึ้นเยอะ แต่มีโอกาสก็ลองขึ้นรถเมล์ดูบ้าง ไม่เสี่ยงตายและไม่โลดโผนเหมือนรถเมล์บ้านเราแน่ๆ (อย่างน้อยก็ไม่มีรถฟรีให้แย่งกันขึ้นอ่ะนะ)

สำหรับที่นี่ เราไม่ได้อยากอะไรมากไปกว่าการได้เดินพิพิธภัณฑ์และย่านเมืองเก่า แล้วถ้าได้ชิมอะไรแปลกๆด้วยก็จะดี นี่อาจเป็นความอยากที่ดูผิดที่ผิดทางในประเทศที่ใครต่อใครพากันตบเท้าเข้าไปเพื่อช็อปปิ้งและเข้าสวนสนุก ซึ่งเป็นจุดหมายอันตรงกันข้ามกับการเดินทางของเราลิบลับ

การเดินทางของใครคนนั้นเป็นคนกำหนด และแม้จุดหมายปลายทางจะเหมือนกัน ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้ก็ไม่เหมือนกัน สิงคโปร์ของเราจึงไม่มีเรื่องช็อปปิ้งมาเล่า ไม่มีภาพจากสวนสนุก สวนสัตว์ สวนน้ำ และสวนนกมาฝาก ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นสิงคโปร์ที่น่าเบื่อมากทีเดียว (ยอมรับ) แต่ขอบอกว่าสิงคโปร์มีพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่น่าสนใจพอๆกับที่มีห้างร้านหลายยี่ห้อ มีถนนและย่านวัฒนธรรมหลายสายที่เดินสนุกและมีชีวิตชีวาไม่ต่างจากการนั่งเคเบิลข้ามไปเซนโตซา อยู่สองสามวันยังเที่ยวไม่อยากจะทั่วเลย

ถ้าวันไหนเบื่อเข้าห้าง ลองไปแวะพิพิธภัณฑ์ของสิงคโปร์ดูบ้างเป็นไร สิ่งจัดแสดงข้างในอาจไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมหรือข้าวของที่ขุดได้จากแหล่งโบราณคดีในประเทศ แต่ทุกอย่างที่ประกอบกันจะทำให้เรารู้จักสิงคโปร์ดีขึ้น ไม่ใช่ในฐานะอู่อารยธรรม พ่อค้า หรือคนกลาง แต่ในฐานะนักจัดการและนักวางแผนที่น่าทึ่ง แล้วจะรู้ว่าสิงคโปร์พาประเทศที่อาจเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลยมาแข่งขันกับประเทศอื่นๆที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวมากมายมหาศาลได้อย่างไร



Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 3:07:42 น. 0 comments
Counter : 280 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.