เพราะหนังสือเปิดตา และการเดินทางเปิดใจ

ตอน จบเสียทีก็ดีเหมือนกัน

ของหายเป็นเรื่องธรรมชาติ
เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงคนนี้จะทำของหายทุกครั้งที่เดินทาง ไม่ว่าจะไปไหน ใกล้ไกลเพียงใด หล่อนจะต้องสังเวยอะไรบางอย่างให้กับเทพแห่งทางทุกครั้งไป คราวนี้ถือว่าน้อย แต่นับไปนับมาก็สามสี่อย่างเหมือนกัน แม้ว่าสองสามวันแรกจะประคองตัวได้ดี ไม่มีอะไรสูญสลายหายร่วง แต่พอเข้าวันหลังๆ สติสตังก็เริ่มเลอะเลือน

เริ่มจากผ้าเช็ดหน้าผืนโปรด จำได้ว่าผูกแขนเอาไว้ระหว่างนั่งรถเมล์ร้อนอ้าว แต่พอมาถึงเกสต์เฮาส์ แขนทั้งสองข้างก็ว่างเปล่าไปเสียแล้ว ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าปล่อยผ้าเช็ดหน้าอ่อยใครไว้ที่ตรงไหน ตามมาด้วยหมวก เออ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใส่อยู่กับหัวแล้วปล่อยให้หายไปได้ยังไง (จริงๆไม่ชอบใส่ ชอบหนีบไว้ไงล่ะ มันถึงได้หาย) สามเป็นนาฬิกาสายเชือกที่พี่สาวคนหนึ่งซื้อส่งมาให้จากอเมริกา ลางบอกเหตุมีอยู่แล้วเพราะกระดุมแป๊ะมันหลวม ทำท่าจะหล่นมาหลายรอบแล้ว ธรรมดาก็จะคอยระวัง ไม่ใส่ข้อมือ ครั้งนี้ใส่ตอนนั่งรอรถที่มะละกา (ค่าที่เช้าจัด) กะว่ารถมาจะถอด ปรากฏว่ามัวแต่ขนของขึ้นรถ ไม่รู้ไปทำร่วงตอนไหน พอรถออกก็ไม่มีนาฬิกาเสียแล้ว เสียดายจัง... (พี่เล็กจ๋า ส่งมาซ่อมใหม่ได้ป่าวเนี่ย) ส่วนชิ้นสุดท้ายไม่ได้ทำหาย แต่โดนยึดที่สนามบิน เป็นมีดพับจิ๋วที่ประกอบด้วยมีด ที่เปิดขวด และตะไบ ลืมเก็บใส่กระเป๋าที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบิน มันก็เลยร้องปี๊บๆให้เจ้าหน้าที่วุ่นวายอยู่นานสองนานกว่าจะหาเจอ และโดนยึดไปในที่สุด เฮ้อ...อันนี้ก็เสียดายเหมียนกัลล์ (จะบอกใครดีละเนี่ย)

สนุก สวย แต่ยังไม่อิ่ม
โดยสรุป ถ้าถามว่าไปเที่ยวคราวนี้สนุกไหม ก็สนุกนะ สนุกตรงที่ได้เดินทาง ได้เจอคนแปลกๆ ได้เห็นสถานที่ใหม่ๆ ได้ผจญภัย (คือออกจากบ้านก็สนุกแล้ว) แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ค่อยอิ่ม ถ้าจะให้เดา คิดว่าที่เป็นอย่างนั้นคงเป็นเพราะเราไม่ชอบเที่ยวเมือง ให้ไปดูตึกสูง ดูไฟ ดูอาคารสมัยใหม่ไฮเทค มันไม่อิ่มตาเอมใจไม่เหมือนเวลาเก็บกระเป๋าไปดูซากโบราณสถานเก่าๆ หรือสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติอย่างภูเขา ทะเล น้ำตก แล้วก็แปล๊กแปลก พอเจอบ้านเมืองที่พูดภาษาอังกฤษได้ คุยรู้เรื่อง เดินทางไม่เหนื่อยไม่ยาก ใจเจ้ากรรมก็เกิดอาลัยอาวรณ์ความสนุกท้าทายในการพยายามสื่อสารด้วยภาษาพื้นถิ่น (และภาษามือ) และคิดถึงช่วงเวลาที่ต้องพยายามทำความเข้าใจถ้อยคำและวิถีชีวิตของคนในบ้านเมืองนั้น คอยคาดเดาถนนหนทาง ป้ายบอกทาง และอะไรต่างๆ ก็เลยพลอยทำให้การเดินทางที่เรียบง่ายและสะดวกสบายในมาเลเซียและสิงคโปร์ดูจืดๆ ขาดรสชาติ เผ็ด มัน ฮา ไปอย่างไรพิกล

มาเลเซียและสิงคโปร์เป็นเมืองที่มีการผสมผสานของเชื้อชาติและวัฒนธรรมเยอะมาก ทั้งมาเลย์ จีน แขก ซึ่งนี่เป็นจุดที่สนุกและดี จะเห็นว่าไปดูย่านวัฒนรรมมันทุกเมือง เพลิดเพลินมาก โดยเฉพาะอาหาร (แขก) ถึงแม้จะรู้สึกอยู่บ้างกับการแบ่งชนชั้นและความเหลื่อมล้ำรุนแรงในหมู่คนต่างเชื้อชาติเหล่านี้ ดูจากสายตาเจ้าของเกสต์เฮาส์ตอนที่เห็นเราเดินเข้ามากับหนุ่มอินเดียก็ได้ แต่จะคิดมากไปทำไมมี การแบ่งเขาแบ่งเรา ใช้ศาสนาหรือสีผิวเป็นตัวกั้นก็เป็นอดติธรรมดาของคนในสังคมไหนๆอยู่แล้ว ดูอย่างบ้านเราปะไร ขนาดไม่มีศาสนาหรือสีผิวให้แบ่ง ก็อุตส่าห์ขุดเอาฐานะชาติตระกูลการศึกษามาแบ่งแยกกีดกันจนได้

บทเรียนว่าด้วยอคติ
ถ้าถามว่าได้อะไรจากการเดินทางครั้งนี้ คำตอบคงจะเป็นนี่เลย "จงลบอคติทุกอย่างก่อนออกเดินทาง"

ถามจริงๆเถอะว่า มีใครยังคิดว่ามาเลเซียไม่เจริญเท่าหรือล้าหลังกว่าไทยบ้าง ความคิดชาตินิยมนี่มีบ้างก็ดี แต่ถ้าหลับหูหลับตาชาตินิยมตะพึดตะพืออาจจะไม่ดีได้ ตอนนั่งรถไปมะละกา ได้ยินคนข้างหลังคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ ปรากฏว่าคนหนึ่งเป็นหนุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย อีกคนเป็นชาวมาเลย์ คนมาเลย์ถามว่ายูคิดยังไงกับมาเลเซีย คำตอบที่ลอยมาทำให้เราอึ้งไปด้วยความคิดไม่ถึง แต่พอคิดๆดูแล้ว ก็เป็นคำตอบที่อาจจะไม่แตกต่างจากคนไทยคนอื่นๆเท่าไร

น้อง (คงไม่แก่กว่าเราหรอก) ตอบยาว แต่สรุปได้ว่า มาเลเซียพัฒนาไปเร็วมาก (อันนี้โอเค) ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกไม่กี่ปีมาเลเซียต้องแซงหน้าไทยแน่นอน (อันนี้สิที่แปลกและอาจทำให้เจ้าบ้านเคืองได้) ดีที่พี่มาเลเซียคนนั้นไม่จริงจังกับคำตอบเท่าไหร่ หรือไม่ก็ถึงป้ายที่แกจะลงพอดี น้องก็เลยมีความสุขกับความคิดว่าไทยแลนด์แดนสยามของเขายังคงนำโด่งชาติไหนๆในเอเชียอาคเนย์ต่อไปอย่างปลอดภัย เราเองก็เปลี่ยนความคิดที่จะหันไปทักทายเพื่อนร่วมชาติเหมือนกัน เพราะเกรงจะอดปาก (หมา) ของตัวเองไว้ไม่ได้

ถ้าเป็นเมื่อสักหลายๆปีก่อนก็พอจะพูดได้ว่าไทยพัฒนากว่ามาเลเซีย แต่ถ้ามองในช่วงสิบปีหลัง นึกไม่ออกจริงๆว่ามาเลเซียล้าหลังไทยตรงไหนและอย่างไร คนส่วนใหญ่ยังนึกภาพว่าเป็นอย่างนั้น อาจจะด้วยอคติหรือความภาคภูมิใจในชาติของเรา อะไรบางอย่างทำให้เราคิดว่าประเทศเราดีวิเศษกว่าคนอื่น อาจจะด้วยเราไม่เคยคิดที่จะเปิดหูเปิดตาออกไปรอบๆว่าเขาทำอะไรงอกเงยไปถึงไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เหมือนที่ไม่มีคนไทยสักกี่คนอยากเรียนภาษาเขมร ลาว เวียดนาม หรือพม่า เพราะมองไม่เห็นความสำคัญ และอาจจะถึงขั้นมองว่าไม่คู่ควรที่จะรู้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับมาเลเซีย การเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษไม่ได้ทำให้การพัฒนาประเทศด้อยลง แต่กลับจะพุ่งไปในทางตรงข้าม ทั้งทางโครงสร้างพื้นฐานและภาษา ยิ่งเจอนายกรัฐมนตรีอย่างมหาเธร์เข้าไปอีก แถมการปกครองแบบสหพันธรัฐก็มีแต่จะทำให้แต่ละรัฐพัฒนาไปอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ขณะที่ศาสนาอิสลามทำให้เกิดกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม อันส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยและเป็นระเบียบของบ้านเมือง

เราไม่ได้โปรมาเลเซีย (อาจจะออกไปทางคอนๆเสียมากกว่าเมื่อพูดถึงการบ้านการเมือง) แต่ประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของเราไม่ได้ด้อยกว่าเรา เขาไม่มีวันแซงเรา เพราะเขาไม่ได้ตามหลังเราอีกแล้ว จากเกาะน้อยๆอย่างลังกาวีไปถึงติ่งใต้ชายแดนอย่างยะโฮร์บาห์รู ไม่มีอะไรสักอย่างที่แสดงความล้าหลัง โดยเฉพาะในทางวัตถุ ตึกสูงระฟ้า ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ และสิ่งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ดูแล้วกังขามากว่าเราก้าวไกลและเจริญกว่าจริงหรือ นี่ยังไม่นับความรู้ของผู้คนโดยเฉลี่ย ค่าครองชีพ อัตราการจ้างงาน รายได้ และความสามารถในการสื่อสารด้ายภาษาสากลที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด เลยนะ

ถ้าเราออกเดินทางด้วยอคติที่เราอาจไม่ทันรู้ตัวว่ามี ถ้าเราไปที่ไหนๆด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า เราจะได้อะไรจากการเดินทางอย่างที่เราควรจะได้ละหรือ เหมือนคนอังกฤษที่ฉันเจอในกัวลาลัมเปอร์ คนที่เดินทางมาทำธุรกิจ มาใช้ชีวิตในโลกตะวันออกพร้อมอคติกองใหญ่ ต่อให้อยู่มานานแค่ไหน เขาก็ยังไม่ยอมกินข้าวแกงข้างทางและไม่ดื่มน้ำอะไรนอกจากน้ำมะพร้าว (เพราะมันอยู่ในลูก ปลอดภัยและสะอาดแน่นอน) เขามองมาเลเซีย (และประเทศไทยที่แสนวิเศษวิโสของเรา) ด้วยสายตาของเจ้าอาณานิคมตะวันตกที่เหนือชั้นยิ่งกว่า นั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่สะอาด โน่นไม่ได้มาตรฐาน ฟังแล้วก็ร่ำๆจะบอกคุณลุงชาวอังกฤษไปอยู่เหมือนกันแหละว่า "คนที่ลุงคุยด้วยนี่มาจากประเทศที่ไม่สะอาดและไว้ใจไม่ได้เหมือนกัน แค่พูดภาอังกฤษได้ไม่ทำให้เรา "พัฒนาแล้ว" ขึ้นมาหรอก ขอเชิญไปคุยกับคนชาติเดียวกันที่ไว้ใจได้ดีไหม" (แฮะๆ แต่ก็ไม่กล้าพูด) เชื่อเถอะว่า คนเหล่านี้ไม่มีวันฝ่ากำแพงแห่งอคติออกมาและเข้าถึงความคิดและจิตใจของคนต่างวัฒนธรรมได้อย่างสนิทใจ เห็นแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ อาจเป็นเพราะแบบนี้กระมังที่ทำให้แม้โลกจะแคบลง แต่ความขัดแย้งแตกต่างระหว่างผู้คนกลับมิได้ลดน้อยถอยลงเลย

แต่ก็นั่นแหละ คนบางคนอาจไม่ได้ต้องการเดินทางข้ามโลกมาเพื่อทำความเข้าใจใครก็ได้ จุดหมายในการเดินทางของแต่ละคนไม่เหมือนกัน และสิ่งที่เราได้จากการเดินทางก็ต่างกัน สำหรับฉันบทเรียนที่ได้จากการเดินทางท่องคาบสมุทรมลายูก็คือบทเรียนที่ว่าด้วย "อคติ" อย่างแท้จริง

+++

ข้อมูลจำเพาะ
แถมท้ายข้อมูลคร่าวๆให้ก็แล้วกันเผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครบ้าง

มาเลย์เที่ยวง่าย ไปคนเดียวไม่ยาก และขับรถไปก็ไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อยๆ คนที่นั่นก็ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ดีในระดับหนึ่ง และกฎหมายอันเข้มแข็งและเข้มงวดก็ไม่เอื้อให้มิจฉาชีพออกกระทำการอุกอาจได้ง่ายนัก ขณะที่สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานก็สมบูรณ์แทบจะในทุกเมืองที่ผ่าน

การเดินทาง (ราคาและระยะเวลาโดยประมาณ)
รถทัวร์ในมาเลเซียค่อนข้างใช้ได้ อาจจะล่าช้าบ้าง แต่โดยรวมๆถือว่าดี รถทั่วไปจะไม่กำหนดที่นั่งตายตัว (ยกเว้นบริษัทที่มีมาตรฐานสูงหน่อย) ไปเร็วๆถ้าอยากเลือกนั่งตามชอบใจ บางเส้นทางมีหลายบริษัท ซึ่งแต่ละบริษัทจะมีราคาและระยะเวลาการเดินทางต่างกัน ควรตรวจสอบให้ดีก่อน รถไฟเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ได้ยินว่าไม่มีผ้าห่มให้ (อันนี้ไม่ยืนยัน เพราะไม่ได้ขึ้นเองเนื่องจากเวลาไม่ได้)

ส่วนการเดินทางในเมือง เกือบทุกเมืองมีรถเมล์ (ยกเว้นลังกาวี) แต่บริการรถเมล์ก็คล้ายๆบ้านเรา คือไม่มีเวลาแน่นอน ถ้ามีเวลา ก็รอแล้วรอเล่าไปตามสะดวก รถเมล์ที่ปีนังใช้ระบบหยอดตู้ จึงควรเตรียมเงินให้พอดี ส่วนรถเมล์ที่เคแอล มีกระเป๋ารถเมล์หรือเด็กรถให้บริการและมีเงินทอน (แต่ไม่แต่งเครื่องแบบ) ส่วนมะละกา จ่ายค่ารถกับกระเป๋าได้โดยตรง

ที่สิงคโปร์ ราคารถสาธารณะจะแพงกว่ามาเลเซีย แต่มีบัตรอีซีลิงก์ให้ซื้อใช้ได้ (พึงสังวรว่าต้องเสียค่าบัตรที่ไม่ได้คืนประมาณ 5 เหรียญ) รถเมล์อาจจะขึ้นยากกว่าสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะไม่รู้ว่าจะลงป้ายไหน (แต่จริงๆมันมีวิธีดูและวิธีนับนะ) รถไฟฟ้าถือว่าสะดวกที่สุด เดินไกลก็นึกว่าออกกำลังกายก็แล้วกัน

รถทัวร์ กรุงเทพ - สตูล ราคา 770-1200 ระยะเวลา12 ชม.
มอเตอร์ไซค์ ท่ารถสตูล - ท่าเรือตำมะลัง ราคา 50 บาท ระยะเวลา 10 นาที (9 กม.) โปรดพิจารณาขึ้นรถสองแถวถ้าไม่รีบร้อน
เฟอร์รี่ ตำมะลัง - ลังกาวี ราคา 280 บาท ระยะเวลา 1.5 ชม.
เฟอร์รี่ ลังกาวี - ปีนัง ราคา 500 บาท ระยะเวลา 2.5 ชม.
รถทัวร์ ปีนัง - แคเมอรอนไฮแลนด์ ราคา 250 บาท ระยะเวลา 5-6 ชม.
รถทัวร์ แคเมอรอนไฮแลนด์ส - เคแอล ราคา 180 บาท ระยะเวลา 5-6 ชม.
รถเมล์ เคแอล - ปุตตราจายา ราคา 40 บาท ระยะเวลา 40 นาที
รถทัวร์ เคแอล - มะละกา ราคา 100 บาท (แล้วแต่บริษัททัวร์) ระยะเวลา 2-3 ชม.
รถทัวร์ มะละกา - สิงคโปร์ ราคา 180 บาท ระยะเวลา 3 ชม. (ไม่นับเวลาทำเรื่องผ่านแดน)
เครื่องบิน สิงคโปร์ - กรุงเทพ ราคา - (แล้วแต่โปรโมชั่น) ระยะเวลา 2 ชม.

ที่พัก
เกสต์เฮาส์ ราคา 150-250 บาท (หนึ่งคน) 300-400 บาท (สองคน) ควรเลือกที่ใกล้ชุมชนหรือใกล้รถสาธารณะ การมีครัวเป็นข้อดีพิเศษเพราะอย่างน้อยก็จะมีตู้เย็นเก็บของ ชงกาแฟหรือต้มมาม่ากินได้ ถ้าเป็นโรงแรมก็ราคาแพงขึ้นไปตามส่วน

อาหาร
มาเลเซียมีอาหารหลากหลายให้เลือกชิม ทั้งอาหารมาเลย์ (ออกแนวคล้ายแกงมัสมั่น สะเต๊ะ ทำนองนั้น) อาหารแขก อาหารจีน และอาหารบาบา-ยอนยา (จีนมาเลย์ในปีนังและมะละกา) ราคาอาจจะแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถือว่าแพงมาก สามารถหาอาหารในร้านทั่วไปกินได้ในราคาประมาณ 30-60 บาท

+++




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2551
3 comments
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2551 2:56:11 น.
Counter : 690 Pageviews.

 

เป็นประสบการณ์ที่ดีนะคะ เหมือนเปนห้องเรียนที่หาเรียนไม่ได้จากที่ไหน ต้องทำเองค่ะ วันหลังจะได้รอบคอบมากขึ้นไงคะ


หนาวแล้วนะคะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ^_________^

 

โดย: peeshin 14 พฤศจิกายน 2551 7:25:40 น.  

 




เราเองหายประจะค่ะ แต่เหมือนกับสมองส่วนนี้ ไม่จำสักที

Photobucket

 

โดย: Sweety-around-the-world 15 พฤศจิกายน 2551 21:28:58 น.  

 

แหม ดีใจที่มีเพื่อนค่ะ อย่างน้อยก็ไม่หายอยู่คนเดียว :)

 

โดย: lunaloca 16 พฤศจิกายน 2551 20:35:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


lunaloca
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ง า น แ ป ล


ช่างเป็นนักแปลที่ทำงานได้หลากแบบหลายแนว
นามปากกาคละเคล้า เดาทางไม่ถูกจริงๆนิเรา

Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add lunaloca's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.