|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
บุพกรรมพระยสกับสหาย
บุพกรรมพระยสกับสหาย
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
วันนี้ก็จะขอกล่าวบุพกรรมของบุคคล 55 คน มีท่านยส เป็นต้น เนื้อแท้จริงๆ ของเรื่องนี้ได้เล่ามาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ว่าหมวดนี้เป็นหมวดของบุพกรรม ก็มีความจำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวตามลำดับ เพื่อไม่ตัดลัดให้ขาดความ
ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านที่ได้มโนมยิทธิ ลองทำจิตของท่านให้เข้าถึงอารมณ์เดิม และเวลาสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา ขอให้จับเอากระแสจิตของตนขึ้นมา จับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสรณะ และก็ยึดภาพตามความเป็นจริง และขอบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
“ข้าพระพุทธเจ้าทั้งชายและหญิง ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพอันใดที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงพระธรรมเทศนาในตอนนั้น ขอบารมีขององค์สมด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จงช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนแจ่มใส”
ถ้าสร้างกำลังใจแบบนี้ ก็จงงดคำภาวนา ตั้งใจสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา และจับกระแสภาพนั้นตามไปจะเห็นได้ทุกอย่าง อย่างนี้ท่านเรียกว่า อตีตังสญาณ
เป็นอันว่าในตอนนั้น เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทราบความดังนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจึงได้ตรัสว่า
“ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย บรรดาพระอรหันต์ 55 องค์ มีพระยส เป็นประธานนั้น ความจริงท่านบำเพ็ญบารมีมา ไม่ต้องการเป็นอัครสาวก ต้องการอย่างเดียวคือบรรลุมรรคผล ได้แก่การเป็นพระอรหันต์ มาในศาสนาขององค์สมด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์ด้วยกัน”
แต่ว่ามีความสำคัญอยู่ตอนหนึ่ง เพราะการบรรลุมรรคผลของแต่ละบุคคลย่อมไม่เสมอกันคือไม่เหมือนกัน แต่ความเป็นอรหันต์นั้นน่ะเป็นเหมือนกัน คือตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานเท่านั้น แต่ว่าจริยาหรืออารมณ์ใจที่ตัดกิเลสนั้นย่อมไม่เหมือนกัน สุดแล้วแต่กรรมดิม
อย่างท่านอัญญาโกณฑัญญะนั้น ถวายทานเพื่อเป็นอรหันต์ องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา ก็ต้องเทศน์พระธัมมจักกัปปวัตนสูตร เพราะว่าพระธัมมาจักกัปปวัฒนสูตรนี้เป็นสูตรที่ยาวมาก และก็ใหญ่มาก มีความละเอียดลออมาก ทั้งนี้ก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัย เพราะว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะบำเพ็ญทานถึง 9 วาระ ตั้งแต่ข้าวเป็นน้ำนม เป็นต้น
ในเมื่อท่านมีความละเอียดลอออย่างนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็เทศน์ตามอัธยาศัย ในที่สุด เมื่อจบภาคคำเทศน์ขององค์สมเด็จพระจอมไตร ท่านอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาใช้ปกิณกะเทศนาเล็กน้อย ท่านก็เป็นอรหันต์
สำหรับท่านพระยสนี้นั้นกับพวก 55 คน องค์สมเด็จพระทศพลแทนที่จะแสดงพระธัมมจักกัปปวัฒนสูตร กลับเทศน์อนุปุพพิกถา พรรณนาผลของทาน การให้ศีล การรักษา พรรณนาผลของสวรรค์และก็พรรณนาโทษของกาม และพรรณาการบวช นี่เป็นเนกขัมมบารมี เป็นการตัดกิเลสทั้งหมดนี้ให้สิ้นไป
นี่จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา เวลาเทศน์โปรดพระ เทศน์ไม่หมือนกัน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงทราบว่า บุญบารมีเขาทำมาอย่างไรก็ต้องเทศน์แบบนั้น
องค์สมเด็จพระภควันต์จึงได้กล่าวว่า “ภิกขเว ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระยสกับเพื่อนอีก 55 คนไซร้ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นอัครสาวก ตถาคตจึงไม่ได้แต่งตั้ง ความเดิมคือบุพกรรมของพระยสกับพื่อน 55 คน มีดังนี้”
Create Date : 18 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 22:46:37 น. |
|
3 comments
|
Counter : 341 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
เป็นอันว่าจะเป็นใครที่ไหนก็ตามที่เจริญสมถวิปัสสนา แบบไหนก็ตาม ถ้าจะเป็นพระอริยเจ้าได้โดยไม่อาศัยกายคตานุสสติกรรมฐาน เป็นไปไม่ได้แน่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าจะเป็นพระอรหันต์ ถ้าเขาบอกว่า กายคตานุสสติกรรมฐานไม่เคยทำ นั่นก็แสดงว่า เป็นพระอรหันต์นอกพระศาสนา
เพราะว่ากรรมฐานกองนี้เป็นกรรมฐานที่มีกฎบังคับว่า คนจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ต้องพิจารณากายคตานุสสติกรรมฐาน ในสมถภาวนา ก็พิจารณาแต่เพียงว่า ร่างกายนี้เป็นของสกปรกแล้วก็ไม่มีการทรงตัว ต่อไปในด้านวิปัสสนาภาวนา เห็นว่าร่างกายนี้นอกจากจะสกปรก มันก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา จิตเข้าถึงระดับก็เป็นพระโสดาบันบ้าง สกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ตามลำดับ
ต่อไปนี้ก็จะนำบุพกรรมของบรรดาท่านทั้ง 55 คน มากล่าวแก่บรรดาพุทธบริษัทพอสมควร
ความมีอยู่ว่า ในสมัยชาติก่อน ตอนหนึ่ง (เฉพาะบางตอนนะ) ตอนที่มีความสำคัญ ในสมัยนั้น ท่านพระยสกับเพื่อนอีก 55 คน ต่างคนต่างเป็นสมาชิกกัน เป็นสัปเหร่อสาธารณะ (เหมือนกับอย่างที่ปอเต็กตึ๊งเขาทำเวลานี้ คือใครตายที่ไหน ถ้ามีความยากจนเข็ญใจ ไม่สามารถจะปลงศพได้เผาศพได้ เขาก็ช่วย ช่วยโดยไม่คิดการเงินไม่คิดการทองด้วยประการทั้งปวง) ทำอย่างนี้ตลอดมา
ภายหลังในวันหนึ่ง ปรากฎว่ามีศพสตรีท่านหนึ่งกำลังตั้งครรภ์ และก็ตายลอยน้ำมา มาพะอยู่บริเวณใกล้สถานถิ่นที่นั้นกำลังขึ้นอืด ปรากฎว่ามีชาวบ้านไปเห็นเข้า จึงไปแจ้งให้พระยสกับบรรดาสหาย 55 คนทราบว่า
“วันนี้มีศพสตรีกำลังตั้งครรภ์ด้วย แล้วก็ขึ้นอืดเหม็นเน่า ขอบรรดาท่านทั้งหลายพากันไปทำฌาปนกิจศพ” คำว่าฌาปนกิจ นี่แปลว่า การเผา คือเผาศพ
ท่านพระยศพร้อมไปด้วยคณะบางคน (ไม่ได้ไปพร้อมทั้ง 55 คน) ก็ไปจัดการฌาปนกิจศพ นำศพขึ้นสู่เชิงตะกอน และก็เอาฟืนใส่ตามประเพณี เพราะฟืนเท่านี้มันต้องไหม้ศพแน่นอน เมื่อไฟติดดีแล้ว เผาแล้วมีความมั่นใจว่ายังไง ๆ ศพก็ไหม้หมด จึงได้กลับมาสู่บ้านของตน