|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
บุพกรรมของคน 3 คน
บุพกรรมของคน 3 คน
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ลำดับ ต่อไปนี้อาตมาภาพจะได้นำพระสูตร เนื่องด้วยกฎของกรรมมาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีบรรดาประชาชนทั้งหลายสงสัยกฎของกรรมเป็นอันมาก มักจะมีบุคคลทั้งหลายมาถามว่า ชาตินี้ไม่ได้ทำความชั่วอะไร ทำแต่ความดีทุกอย่าง บุญก็ทำ กรรมก็สร้าง หมายถึงบุญกุศลก็ทำ พระธรรมเทศนาก็ฟัง และการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำ เมื่อทำแล้วทุกอย่างในด้านของความดี ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงสรรเสริญ แต่ก็กลับมาถูกกรรมชั่วสนองให้เกิดมีความทุกข์อย่างนี้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความสงสัยว่า การทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาไม่มีผล
เพื่อจะเปลื้องความสงสัยของบรรดาพุทธศาสนิกชน จึงได้ขอนำพระสูตรที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ มาให้บรรดาท่านพุทธบริษัทได้สดับ สำหรับตอนนี้ขอนำเรื่องของคน 3 คน ที่มีกรรมตามสนองเป็นกรรมจากชาติก่อน มาแสดงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความตามพระบาลีมีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภชน 3 คน จึงได้แสดงพระธรรมเทศนานี้ความว่า อนฺตลิกฺข สมุทฺทมชฺเฌ เป็นต้น ความมีอยู่ว่า
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับยับยั้งสำราญอิริยาบถอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร บรรดาภิกษุหลายรูปด้วยกันมาเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้เข้าไปสู่บ้านตำบลหนึ่งเพื่อจะบิณฑบาต อันเป็นปกติของบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลาย เพราะว่าบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ด้วยชาวบ้านเป็นผู้เลี้ยง เมื่อชาวบ้านรับบาตรของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ก็นิมนต์ให้นั่งฉันที่สำหรับเป็นที่ฉัน คือเขาจัดสถานที่ไว้ตามสมควร เมื่อถวายข้าวยาคูและของเคี้ยว (สำหรับยาคู ท่านแปลว่า ข้าวต้ม ของเคี้ยวก็คงเป็นกับข้าว) เป็นต้น เมื่อถวายของท่านแล้ว ก็รอเวลาให้พระฉันเสร็จเพื่อจะฟังธรรม
ในขณะนั้นเองปรากฎว่า เปลวไฟลุกขึ้นจากเตาของหญิงคนหนึ่ง สำหรับหญิงคนนั้นเป็นผู้หุงข้าวและปรุงกับข้าว ท่านบอกว่า สูปะ และพยัญชนะ (แกงและกับ) อยู่ที่เตาไฟ ไฟนั้นได้ลุกขึ้นติดชายคา เสวียนหญ้าอันหนึ่งปลิวขึ้นจากชายคานั้น (สำหรับเสวียน เขาทำกลม ๆ ทำด้วยหญ้าสำหรับรองหม้อข้าว) ถูกเปลวไฟ ลมพัดมาเสวียนหญ้าอันนั้นก็ปลิวขึ้นไปบนอากาศ ในขณะนั้นเองปรากฎว่า มีกาตัวหนึ่งบินมาในอากาศ เสวียนหญ้าอันนั้นก็สอดเข้าไปในคอกาพอดี หมายความว่า เวลาที่กาบินมา เสวียนหญ้าก็ลอยขึ้นไป กาตัวนั้นก็บินมาเอาคอสอดเข้าไปในเสวียนหญ้านั้นพอดี เป็นอันว่าเสวียนหญ้านั้นก็ติดคอกา เกิดไฟไหม้ขน ไฟไหม้ตัว กาตัวนั้นก็ทนความร้อนไม่ไหว ก็ตกลงกลางบ้านบินต่อไปไม่ได้ ก็เป็นอันว่าต้องตายกัน กรรมอันนี้ไม่มีใครเขาทำ ไฟลุกติดขึ้นมาจากชายคา เสวียนหญ้าถูกไฟไหม้ลมพัดลอยขึ้นไป กาบินมาเอาคอสวมเข้าไปพอดี ไฟก็ไหม้ตกลงมาตาย
บรรดาภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น เห็นเหตุนั้นจึงได้คิดว่า เออ..นี่เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน กรรมหนักแท้ ๆ ท่านผู้มีอายุท่านคุยกันว่า ท่านทั้งหลายจงดูอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นแก่กา ตามธรรมดากาบินมาในอากาศเฉย ๆ เสวียนหญ้าถูกไฟลุก ลอยขึ้นไปบนอากาศ เสวียนไม่มีชีวิตจิตใจ ความเร็วของกาเอาคอคล้องเสวียนหญ้าเข้าให้ แล้วก็ตกมาตาย เหตุนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เราไม่สามารถจะพยากรณ์กันได้ เว้นแต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็คงไม่มีใครสามารถจะรู้กฎของกรรมนี้ได้ จึงได้ปรึกษากันต่อไปว่า เมื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จะต้องทูลถามเรื่องนี้ เมื่อฉันภัตตาหารเสร็จโมทนาแก่ชาวบ้านแล้ว ก็พากันลาชาวบ้านไป
มาอีกตอนหนึ่งท่านกล่าวว่า เมื่อภิกษุอีกพวกหนึ่ง โดยสารเรือไปเพื่อต้องการจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน ในขณะนั้นเรือได้หยุดนิ่งเฉยในกลางมหาสมุทร ขณะที่เรือวิ่ง ๆ ไป แล้วมันก็หยุด (ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องดูว่า น้ำมันเชื้อเพลิงหมดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเหตุใด แต่ว่าสมัยนั้นเป็นสมัยเรือใบ ลมก็มี ใบก็กาง แต่ว่าเรือหยุด)
Create Date : 18 ธันวาคม 2554 |
Last Update : 18 ธันวาคม 2554 22:49:43 น. |
|
4 comments
|
Counter : 435 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
เป็นอันว่า เขาคงจะเสี่ยงทาย เขียนไว้ในสลากว่า คนไหนเป็นกาลกิณี ขอสลากนี้จงถึงแก่บุคคลนั้น แล้วก็เขียนไว้แล้วก็ม้วน ถ้าใครจับถูกสลากกาลกิณีนั้นก็ชื่อว่าเหตุร้ายนี้เกิดจากคนนั้น เป็นคำอธิษฐานของบุคคลทั้งหลาย แต่ทว่าภรรยาของท่านนายเรือเป็นหญิงสาวน่ารัก เป็นหญิงวัยรุ่น จับสลากทั้ง 3 วาระ ก็ถูกสลากใบนั้นทุกครั้ง บรรดาพวกที่ไปในเรือมองดูหน้านายเรือเพื่อจะปรารภว่า นาย นี่จะว่าอย่างไรกัน ภรรยาของท่านเห็นจะเป็นคนกาลกิณีกันแน่ ท่านนายเรือจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่อาจจะให้มหาชนฉิบหายได้ ทั้งนี้ก็หมายความว่า เมื่อเขาหารือว่า ภรรยาของท่านเป็นคนกาลกิณีแน่ เพราะการจับสลากก็ไม่มีอคติ การจับก็ไม่ได้บอกให้จับทีหลัง ตามธรรมดานายเรือกับภรรยาของนายเรือจับก่อน แต่ทว่าเจ้าหล่อนก็จับถูกสลากใบที่เป็นกาลกิณีทุกที บรรดาลูกเรือทั้งหลายจึงปรึกษานายว่า ทำอย่างไรกันแน่ จะกล่าวโทษก็เกรงว่าเจ้านายจะโกรธ ถ้าจะไม่พูดอะไรเลยก็เกรงว่าอันตรายจะพึงมี จึงหันเข้าไปปรึกษานายว่า จะทำอย่างไร สำหรับนายท่านก็ดี ท่นรักชีวิตคนมากยิ่งกว่ารักภรรยาของท่าน ท่านจึงกล่าวว่า เราไม่ต้องการให้คนอื่นฉิบหาย คนเป็นจำนวนมาก คือเมียของเราคนเดียว แต่คนในเรือนี้มากไปกว่านี้ เราไม่ต้องการให้คนทั้งหลายเหล่านี้ต้องย่อยยับไปด้วย