ไม่สำคัญว่าสวยที่สุด ดีที่สุดหรือเปล่า แต่สำคัญที่เราพยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว
|
|||
หมดเวลาฟุ้งเฟ้อ (ที่จริงไม่ควรจะฟุ้งเฟ้อเลยต่างหาก) PART II เข้ามาสู่ช่วงเรียนจบและทำงานแล้วนะคะ จากช่วงเรียนที่มีเงินใช้หลักพัน มาช่วงทำงานที่มีเงินหลักหมื่น ก็สนุกเลยสิ เริ่มซื้อของตามใจตัวเองมากขึ้น ราคากระเป๋าก็อัพมากขึ้น เริ่มมีแบรนด์เป็นพวก HI STREET ทั่วไป HI-EN ก็ได้แต่สนใจค่ะ รายได้ยังไปไม่ถึง เริ่มไปกินร้านอาหารดีๆราคาแพง เริ่มไปเที่ยวตจว.เป็นทริปใหญ่บ่อยๆ และยิ่งเรียนจบแล้วมีแฟนนี่ก็ไปกันใหญ่เลยค่ะ เงินเดือนเราไม่ได้ให้ที่บ้านนะคะ แต่เรารับผิดชอบค่าอาหารหมาเราตกเดือนละ1,500-2,000 ซื้อของที่แม่-ยาย อยากได้ให้เป็นเคสๆ และให้เงินพิเศษตอนโบนัสเราออกค่ะ รายเดือนเราไม่ได้ให้ เงินเก็บไม่มี ในแต่ละเดือน ไม่รู้หมดไปกับอะไรบ้าง แถมติดหนี้บัตรเครดิตอีกต่างหาก เราเคยมีบัตรเครดิต 4 ใบ เต็มทุกใบ ปัจจุบันปิดหนี้ได้ 2 ใบและยกเลิกไปแล้ว เหลืออีก 2 ใบที่เราจะจัดการให้จบในปีนี้ **สำหรับเรา บัตรเครดิตมีไว้สำหรับคนที่รู้จักใช้ รู้จักเลือกและควบคุมการจับจ่ายใช้สอยของตัวเองได้ ซึ่งไม่ใช่เราแน่ค่ะ เราไม่เหมาะกับบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดจริงจัง เรายอมรับค่ะ และขอเลือกที่จะไม่มีดีกว่า ถ้าไม่อยากก่อหนี้ไม่จบไม่สิ้น** พออายุมากขึ้น มองกลับไปจุดเดิมก็พบว่าเราเองที่เป็นคนก่อหนี้ขึ้นมาเองทั้งนั้น เพราะความอยากได้อยากมี อยากทันสมัย ทันกระแส อยากอวดตัวเอง ฯลฯ กว่าจะคิดได้ ก็หลงระเริงไปหลายปีค่ะ เสียดายเงินชะมัด T^T แต่ทุกวันนี้ความอยากได้อยากมีของเราก็ไม่ได้แห้งเหือดไปนะคะ ยังคงมีเรื่อยๆ แต่เราเลือกที่จะควบคุมมันค่ะ กระเป๋าเราก็ยังอยากได้อยู่เรื่อยๆ แต่เราไม่ได้ซื้อแล้วล่ะค่ะ ใช้ของเดิมทีมีจนกว่าจะหมดอายุของมันไป ทีนี้เรามาวิเคราห์กันค่ะ ว่าทำไมเราถึงเก็บเงินไม่อยู่ -ไม่มีเงินออม ?? 1.เราไม่มีนิสัยรักการออม เพราะ เราไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอนให้เก็บเงินเลยค่ะ อันนี้ไม่ได้โทษครอบครัว แต่ครอบครัวเราเป็นครอบครัวหาเช้ากินค่ำ(เมื่อสมัยก่อน..ปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมากแล้วค่ะ ทุกคนมีเงินออมถึงจะไม่มากมายแต่ไม่มีหนี้ เราก็ยินดีมากๆค่ะ) เพราะฉนั้นการเก็บออมนี่ลืมไปได้เลย แค่หาให้พอใช้จ่ายก็เป็นเรื่องยากแล้ว เราเลยไม่ได้รับการสั่งสอนเรื่องนี้เลย ตอนเด็กๆการใช้เงินค่อนข้างจำกัด ทีนี้พอมีเงิน อยากได้อะไรก็ซื้อ โดยไม่เคยคิดว่าถ้าไม่มีเงินแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าเจ็บป่วยแล้วจะทำอย่างไร ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดแล้วจะทำอย่างไร อย่าสงสัยว่าคนแบบนี้มีจริงด้วยเหรอ....มีจริงค่ะ...เรานี่ไงคะ ความคิดเรื่องต้องเก็บออมของเรามาตกผลึกเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ได้คิดได้เองด้วยซ้ำไป(ละอายใจชะมัด) แต่มีผู้อื่นมาจุดประกาย ต้องขอบคุณพี่สาวเหล่านั้นมากๆ ที่ทำให้เราหลุดพ้นวังวนอันตรายมาได้ บทเรียน : การเก็บเงินเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่อง รองมาจากการสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี อันนี้เมื่อเราได้เรียนรู้ด้วยตัวเราเองแล้ว ในอนาคตเมื่อเรามีครอบครัว เรื่องนี้สำคํญมากที่เราต้องปลูกฝังลูกตั้งแต่เด็กค่ะ 2.อยากดูดี เพียบพร้อมในสังคม ข้อนี้ มาเป็นในวัยเรียนและวัยทำงานของเรานะคะ วิเคราะห์ได้ว่า เมื่อเราอยู่ในสังคมที่ใหญ่มากขึ้น หลากหลายมากขึ้น ปฎิเสธไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเราทุกคน ล้วนอยากมีที่ยืนในสังคม อยากดูดีมีรสนิยม เป็นที่ชื่นชม เมื่อเรียนจบ การทำงานของเราอยู่กับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ สื่อ INTERNETและ Social network มีอิทธิพลกับเราค่อนข้างมากค่ะ เราชอบอ่านบทความ รีวิวต่างๆ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร กระเป๋า แฟชั่น เครื่องสำอางค์ และก็มักจะตามรอยในสิ่งนั้นๆเกือบ100% ยิ่งช่วง 2 ปีหลัง เริ่มอยากสวยอยากงาม ก็เข้าไปขลุกอยู่ในห้องแป้ง มากกว่าก้นครัว ห้องบลูและห้องจตุจักร ยิ่งทำให้ความอยากได้อยากสวย พุ่งสูงแตะเพดานเลยค่ะ วิธีเสียเงินง่ายๆ ทั้งที่ไม่ได้ก้าวเท้าไปไหนของเราคือ Shoping online ช่วงนึงเราติดมากๆ ซื้อสารพัดอย่างเยอะไปหมด พี่บุรุษไปรษณีย์มาหาเราเกือบทุกวัน จนเงินเราหมดนั่นแหละค่ะ ถึงมีสติขึ้นมาว่า นี่เราทำอะไรอยู่......... ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าห้องแป้งไม่ดีนะคะ สำหรับเราได้สิ่งดีๆและข้อคิดมากมายจากห้องแป้ง เพียงแต่เราต้องมีสติมากขึ้น อย่าเตลิดเปิดเปิงไปเพราะความอยากเสียหมด ทุกวันนี้เราก็อ่านห้องแป้งทุกวัน เป็นความรู้ค่ะ ไว้พิจารณาเปรียบเทียบก่อนเราจะซื้อเครื่องสำอางค์และอะไรอื่นๆ อ่านมาก รู้มากค่ะ พยายามจะเป็นพหูสูตร (เจ็บมาเยอะ หมดไปเยอะค่ะ กว่าจะคิดได้ขนาดนี้ ) วนเข้ามาเรื่องการอยากดูดีในสังคม ปฎิเสธไม่ได้หรอกค่ะ ว่าเราต่างอยากได้รับคำชม ทั้งความทันสมัยใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนราคาสูง( บีบี โอโฟน ฯลฯ ) เสพย์ติดเฟสบุ๊ค การไปเช็คอินในร้านอาหารดีๆ ราคาแพง หรือแม้แต่อัพรูปกระเป๋าใบใหม่.......ทั้งหมดนี้เราผ่านมาหมดแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครก็ทำกัน แต่ปัจจุบันนี้ เรายอมรับค่ะว่าสื่อโซเชียลนั้น เร่งแสดงความอยากโอ้อวด สร้างภาพในส่วนลึกของเราออกมา.......ทั้งที่สังคมออนไลน์ มันก็แค่เปลือกอีกเสี้ยวหนึ่งในความจริง ทุกวันนี้เราก็ใช้สื่อออนไลน์อย่างมีวิจารณญาณ ไม่ได้อยากได้อยากมีในสิ่งที่คนอื่นเขามาโชว์แบบเมื่อก่อน....ภาษาทางธรรมะ ก็คือปลงนั่นและค่ะ 5555555 หมายเหตุ :เนื้อหาเริ่มยาวขึ้น(อีกแล้ว) ต่อที่บทสรุปในPART III นะคะ |
Coast Starlight 1984
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] Group Blog All Blog
Friends Blog Link |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |