กว่าจะได้ไปเป็น... นักเรียนนอก [2]

หลังจากเลือกประเทศกันได้แล้ว ต่อไปก็คือ การเลือกมหาวิทยาลัย
ตรงนี้ ถ้าหากขี้เกียจนั่งหาข้อมูลเยอะๆ
แนะนำให้ ปรีกษา Agency ศึกษาต่อต่างประเทศ ซึ่งมีเยอะมากกกกก
แล้วแต่ล่ะที่ก็จะมีข้อดี ข้อเสียคละกันไป จริงๆก็ไม่มีที่ไหนดีเลิศ ไปหมดหรอก

อีกวิธีคือ ไปเดินตามงานศึกษาต่อ
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีจัดช่วงตุลา - มกรา ซึ่งเป็นช่วงที่คนจะยื่นเรียนต่อกันเยอะมาก
ในงานพวกนี้ก็จะมีมหาลัยต่างๆมาออกบูธด้วย ลองเข้าไปขอคอร์สเค้าดูก่อนได้

และอย่าลืมหาข้อมูล Ranking มหาวิทยาลัยจากเว็บต่างๆ
เช่น guardian ของทางฝั่งอังกฤษ หรือ Financial Times สำหรับสายธุรกิจ

การเลือกมหาลัยเราใช้วิธี ถาม agency ไปว่าอยากเรียนสาขานี้ มีมหาลัยไหนแนะนำบ้างมั้ย
ระบุชี้ชัดไปเลยว่าอยากอยู่บริเวณไหน ไม่เอาบริเวณไหน

อย่างเราเลือก ไม่อยู่ในตัวลอนดอน เพราะค่าใช้จ่ายจะสูงมากตามไปด้วย
หรือ อยากเริ่มเรียนเทอม Jan มีมหาลัยไหนเปิดคอร์สบ้าง
แล้วทาง agency จะสรุปข้อมูลสั้นๆง่ายๆมาให้เราตามนี้

1). ชื่อคอร์ส - มหาวิทยาลัย

ตรงนี้เราจะดูว่าคอร์สเป็น MA - Master of Art หรือ MSc Master of Sci
ซึ่งสิ่งที่ต่างกันส่วนใหญ่จะเป็นคะแนน IELTS ที่ require 

2). ช่วงเวลาคอร์ส

ที่อังกฤษระดับป.โทใช้ระยะเวลา 1 ปี และจะมีเริ่มช่วง Sep กับ Jan
มหาลัยส่วนใหญ่จะเริ่ม Sep แต่บางที่จะมีเริ่ม Jan บ้าง ซึ่ง ส่วนมากจะอยู่ใน London

3). Require IELTS

ซึ่งถ้ายู Rank 10-20 ส่วนใหญ่จะขอที่ overall 6.5 all band 6 or above
แต่ถ้าเป็น Top U จะขอที่ overall 7-7.5 คร่าวๆนะคะ

4). Course Module 

ตรงนี้ สำคัญมาก!!!!
เป็นสิ่งที่จะบอกว่าเราจะไปเรียนอะไรบ้าง ให้อ่านให้ดีๆ ถี่ถ้วน ทวนหลายๆรอบ
เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิตเลย
เช่น เราเลือกไปเรียน Marketing
U แรก จะเน้นเรื่อง Digital Marketing
U ที่สอง อาจจะเน้นเรื่อง Event Marketing
ซึ่งเนื้อหาวิชาจะไม่เหมือนกันเลย ให้อ่านรายละเอียดให้ดีๆค่ะ

5). ค่าเรียน

ตรงนี้บางทีทาง agency จะไม่ได้สรุปมาให้เรา เราต้องเข้าไปดูในเว็บไซต์เอง
ค่าเรียนของที่อังกฤษจะเป็นต่อปี
อย่างของ marketing จะอยู่ที่ประมาณ 14,000 - 17,000 ปอนด์ต่อปี ((U rank ประมาณ 10-20 นะ))


แล้วเราควรดูอะไรเพิ่มเติมบ้าง??

หลักๆคือ สภาพแวดล้อม
บางคนชอบเมือง ไปอยู่เมืองเล็กๆ เงียบๆ อาจจะเฉาตายได้
หรือบางคนอยากไปเมืองที่มีเพื่อนคนไทยอยู่เยอะ อย่าง Leeds หรือ London เนี่ย
เรียกว่าเดินชนกันเลยทีเดียว
แต่เมืองเล็กๆบางเมืองอย่าง Exeter คนไทยก็จะน้อยหน่อย
บางคนก็อยากไปเมืองคนไทยเยอะๆ พึ่งพากันได้ 
บางคนก็อยากไปแบบคนไทยน้อยๆ กลัวไปแล้วคุยกันแต่ภาษาไทย 
ก็ต้องเลือกกันดีๆ

พอเลือกยูได้แล้ว
ที่เหลือเราก็มาเตรียมเอกสารกัน 

สำหรับเอกสารสำคัญในการสมัครเรียนก็มีตามนี้ 

1). Passport 

จะออกนอกเมืองแล้ว ไปทำ/ต่ออายุ ไว้ซะ
ให้เหลืออายุพอที่เราจะไปอยู่ได้โดยไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะต้องบินกลับมาต่อมั้ย

2). Transcript

ของมหาลัยส่วนใหญ่ออกให้เป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ก็ไปแปลซะ
ใครยังไม่จบ ก็เอาเท่าที่มีส่งไปก่อน เดี๋ยวค่อยส่งเพิ่มตามทีหลังได้

3). Certification

หรือคือใบรับรองจากมหาวิทยาลัย ว่าเราเรียน/จบวุฒติอะไรมา อย่าลืมว่าต้องเป็นภาษาอังกฤษนะ

4). Resume

รูปแบบเหมือน resume สมัครงานเลย เราเคยทำอะไรมาบ้าง
ทำงานแล้วเขียนรายละเอียดงาน ส่วนใครที่ยังเรียนอยู่ก็เขียนกิจกรรมไป

แล้วขอเป็นแบบ formal นิดนึงนะ
นี่พูดจริงๆ ว่า เรียนจบทำงานมา
เคยรับ resume น้องที่จบใหม่ยื่นมาสมัครงาน น้องแปะรูปไปเที่ยวดิสนี่ย์แลนด์มาให้
มันไม่ใช่อ่ะนู๋ ไม่กล้ารับเลย = = 

5). คะแนน IELTS 

ตรงนี้ยังไม่มีก็ไม่เป็นไร ส่งตามที่หลังได้
คะแนนยังไม่ถึงก็ไม่เป็นไร สอบใหม่ หรือ ไปเรียน Pre-session ได้ 

6). Recommendation Letter จาก 2 คน

เป็นสิ่งที่ยากอันดับสองในการเตรียมเอกสาร เพราะอย่างอื่นเรามีติดตัวอยู่แล้ว 
แต่นี่ต้องไปพึ่งพาผู้อื่น ตามที่เรามีคอนเนคชั่น

ส่วนใหญ่ทางยูที่อังกฤษจะขอเป็น academic recommendation หรือจากอาจารย์นั่นเอง
แต่ถ้าทางอเมริกาจะของเป็นจากที่ทำงานฉบับนึงด้วย 

อย่างเราก็ขอจากอาจารย์หมดเลย
ด้วยความที่จบมาปีนึงแล้ว ก็โทรไปนัดแนะกับอ.ซักหน่อย
ว่านู๋จะไปเรียนต่อ เขียนให้หน่อยนะคะ จะเอากี่ฉบับก็ว่าไป

อ.บางคนก็จะให้เราไปกรอกเอกสารยื่นข้อมูลเรา และรายชื่อคอร์สที่เราจะไปเรียน
บางคนก็จะเรื่องมากหน่อย ของ course module ด้วย
พิจารณาละเอียดมาก ((ป๊าม๊ากุยังไม่เคยขอดูเลย = =))
บางคนก็ชิวมาก ให้ส่งข้อมูลไปให้อาจารย์ทาง fb เดี๋ยวทำให้ 555

ของเรานี่เจอทั้งสามแบบ ขอไว้สามคนเผื่อเอาไว้ ซึ่งดีมาก เพราะมีอ.ทำให้แค่สองคน = =
ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ได้

ความจริงคือ อ.ใช้เวลาสองวันก็เสร็จ 555 เพราะส่วนใหญ่มีฟอร์มอยู่แล้ว แปะชื่อแค่นั้นแหละ
เพราะของเราขออ.ไป ผ่านไปสองสัปดาห์ โทรไปถาม อ.เขียนให้ยัง
อ.บอก ยังไม่ได้เลย จะมาเอาวันไหน มะรืนหรอ ได้ เข้ามาได้เลย ((อ่าว = =))
เข้าไปเอาก็จ่ายตังค์ตามแต่ทางมหาวิทยาลัยจะกรุณา เป็นอันเสร็จ

7). Statement of Purpose หรือ SOP

เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในการเตรียมเอกสารนี้แล้ว
เพราะเราจะต้องกลั่นกรองบรรยายตัวเอง เหตุผลในการเลือกไปเรียนคอร์สนี้ ที่มหาลัยนี้
พร้อมบอกว่า เรามีคุณสมบัติอะไร ทำไมเค้าถึงต้องเลือกเราเข้าไปนั่งเรียนกันที่เด็กคนอื่น
ภายในความยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ A4 

สารภาพว่าใช้เวลาเกือบปีในการเขียนไอ้เรียงความสั้นๆนี่ เพราะตอนจบใหม่ไม่รู้จะเขียนอะไรจริง
ทำงานมาเรื่อยๆ เรื่องจะเขียนก็เยอะขึ้นๆ จนกลั่นกรองออกมาได้ในที่สุด
เตือนว่า อย่าเอาของคนอื่นก๊อปแปะ เค้าอาจจะจับได้ ตัดคะแนนเรา อดไปเรียน 55

ถ้ายังไม่รู้จะเขียนอะไร ดูแบบอย่าง แล้วดึงมาบางประโยคที่ดูดีๆจากของคนอื่น
มาเรียบเรียงใหม่ ให้เป็นของเราสวยงาม แบบเนียนๆ ((นี่ก็ทำแบบนี้แหละ 55))

ถ้าใครติดต่อมหาลัยผ่าน agency ก็จะมีคนที่ agency ตรวจให้ แก้ให้ฟรีๆ
ส่วนใครยื่นเอง ก็แนะนำว่า หาคนตรวจให้หน่อยเถอะ
ถ้าส่งไป grammar ผิดพลาดมากๆก็จะไม่ดี
เดี๋ยวเค้ากลัวเรามาเรียนไม่รู้เรื่อง ไม่ให้ offer เราแล้วซวย

เอกสารสำคัญก็มีเพียงเท่านี้
แต่...ทางมหาลัยอาจจะขอเอกสารอื่นเพิ่มเติมแล้วแต่กรณีไป

เช่น ของเราเลือก Marketing ไป ซึ่งก็จะเป็นวิชาเกี่ยวกับตัวเลขหน่อยๆ
แต่เราเรียนนิเทศมา ซึ่ง 4 ปีในมหาลัย ไม่ได้แตะเลขอีกเลย โบกมือลาไปตั้งแต่สอบแอดมิชชั่น
ทาง Aston ก็ขอคะแนนเลขตอนเรียนม.ปลายมาดูว่าเป็นยังไง เค้ากลัวเราเรียนไม่ไหว
ถ้ามีแบบนี้ ก็ต้องยื่นเอกสารให้เค้าตามไป 

บางที่อาจจะของสัมภาษณ์เพิ่มเติมทาง skype ก็ดูช่วงเวลา นัดแนะกับทางมหาลัยให้ดีๆ

ที่เหลือก็แค่นอนรอ แล้วทางยูจะส่ง offer letter มาให้เราเอง
ระยะเวลาก็ขึ้นกับช่วงเวลาที่สมัคร อย่างเราสมัครไปตอนปลายๆพฤศจิกา
สองวันถัดมาได้ offer ที่แรก เห้ย!!!! เร็วมาก ตกใจ ไม่ทันตั้งตัว
ช้าสุดก็ประมาณ 2 weeks 

แต่ถ้าสมัครช่วงมีนาไปแล้ว เร็วสุดอาจจะเป็น 2 weeks แทน อะไรอย่างนี้

แนะนำว่าสมัครเร็วเท่าไหร่ การได้ offer ก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น
ถ้า Profile เราไม่ได้แย่มากขนาดเรียนเกือบไม่จบ ติดโปร อะไรอย่างนี้ 
U ทางอังกฤษส่วนใหญ่จะ require เกรดไว้ที่ 3.00 up
ถ้าใครผ่านเกณฑ์ถ้าสมัครเร็วไม่น่ามีปัญหาอะไร
ส่วนที่เกรดไม่ถึงก็อาจจะต้องลุ้นๆกันนิดหน่อย ให้หัวใจกระชุ่มกระชวยเล่น

แล้วแต่ละยูก็จะมีช่วงเวลากำหนดมาด้วยว่าจะให้ตอบ offer เมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะ 4 - 12 weeks
บางทีก็ไม่กำหนด ตอบเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เต็มก่อนช่วยไม่ได้นะ ((อ่าววว = =))


ต่อไปก็เข้าสู่โหมดการสอบ IELTS อันสุขสันต์แกมหฤโหดแล้ว : DD




Create Date : 19 พฤษภาคม 2556
Last Update : 19 พฤษภาคม 2556 19:59:49 น.
Counter : 1648 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Little Tatii
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



พฤษภาคม 2556

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
22
23
24
25
26
27
28
29
31