บันทึกการเดินทาง สนุกๆ ของแมวตัวน้อย

<<
กุมภาพันธ์ 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
 
27 กุมภาพันธ์ 2549
 

ถึงมิลานแ้ล้วค่ะ รวยยอด 2 วันนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2549

เดินทางมาถึงมิลานเรียบร้อยแล้วค่ะ อากาศที่นี่หนาวดีมากค่ะ ตอนที่เครื่องจะลงกัปตันประกาศว่า ลบสอง แต่ พอลงมาจริงก็ประมาณบวกสองค่ะ เรามาถึงแต่เช้า ทัศนวิสัยบนถนนแย่มาก ขนาดตอนเราออกจากสนามบินเกือบแปดโมงแล้ว ยังมองอะไรไม่เห็นนอกจากก้นรถคันข้างหน้ารำไรๆ ตอนออกจากสนามบินดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นดารามาก เพราะว่าคนขับรถเขาเอาป้ายมายืนต้อนรับ เขียนชื่อเราตัวใหญ่ นามสกุลยาวๆอีกบรรทัด เรามองไปเจอขำดีค่ะ แต่เขาไม่พูดภาษาอังกฤษนะคะ เราเลยใช้ภาษาใบ้คุยกัน เพราะเป็นภาษาเดียวที่ใช้ได้ทั่วโลก ส่วนที่คุณก่อเกียรติเป็นห่วงว่า ตม. ของอิตาลีจะถามเรื่องวีซ่านั้น เขาไม่ถามอะไรเลยค่ะ ผ่านฉลุย


ก่อนออกเดินทางจากกรุงเทพฯมีเรื่องตื่นเต้นนิดหน่อยค่ะ คุณสามีไปส่งที่สนามบิน ขณะที่รถติดเครื่องอยู่เราสองคนลงรถพร้อมๆกัน เดินไปเปิดท้ายรถ ประตูรถเลยล็อค อัตโนมัติ!! ยามมาเรียกให้เลื่อน เราก็บอกว่าไม่อยากขวางหรอก แต่เลื่อนไม่ได้ เพราะ กุญแจติดอยู่ข้างใน โชคดีที่น้องสาวอยู่บ้านเลยเอากุญแจสำรองมาให้ได้ ไม่งั้นได้ทุบกระจกแน่ๆค่ะ สิริรวมเครื่องติดอยู่ชั่วโมงหนึ่งได้ค่ะ เสียดายน้ำมันจริงๆ


สนามบินดอนเมืองคงรองรับผู้โดยสารไม่ไหวแล้วละค่ะ ไม่รู้ว่าคนจัดตารางการบินเขาทำอย่างไร รถติดก่อนเข้าสนามบินเลยขึ้นไปถึงทางลง โทลล์เวย์ คุณพี่ชายเธอว่าติดอยู่เกือบชั่วโมง พอเข้ามาแล้ว บริเวณเช็คตั๋ว คนเยอะเหมือนตลาดจตุจักรตอนบ่ายๆ ผ่านการเช็คตั๋วแล้ว เช็คพาสปอร์ต แถวก็ยาวอีกทั้งๆเราเป็นช่องพิเศษของชั้นธุรกิจ ต้องรอประมาณยี่สิบนาที ที่เด็ดสุดคือการขึ้นเครื่อง เราต้องใช้ Bus Gate ทำให้ต้องลงไปด้านล่าง ที่นี่มีเครื่อง x ray สามเครื่อง แต่คนไม่เข้าแถว ยัดทะนานเหมือนเดินบนกำแพงเมืองจีนคือต่างคนต่างจะไปก่อน ไม่มีใครยอมใคร ไทย จีน แขก ฝรั่ง สนิทสนมกันแบบ ไม่เคยเป็นมาก่อน ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมงจึงผ่านมาได้ ดิฉันเจอเจ้าหน้าที่ที่บริเวณนั้น ถามว่าทำไมไม่เอาเชือกมากั้น ทำให้มันเป็น single queue and multiple servings ขดๆแถวเสียแบบการซื้อตั๋วหนัง เขาบอกว่าจนปัญญาครับ คนเดียวทำอะไรไม่ได้ เราแจ้งใครได้ไหมคะ? มันดูแย่เอามากๆเลยน่ะค่ะ ประเทศเราพัฒนามาได้ขนาดนี้ แต่แค่จัดให้เข้าแถวไม่มีใครทำ เศร้าจริง


ที่นั่งบนเครื่อง Airbus A340-500 ค่ะ
ขณะนี้การบินไทยมีประจำการอยู่ 3 เครื่อง


เก้าอี้ safety ค่ะ แม้นอนหลับยังต้องรัดเข็มขัดนิรภัย

บนเครื่องบิน งานนี้ให้คะแนนการบินไทยเก้าจากสิบค่ะ เครื่องใหม่สะอาดสะอ้านมาก ที่นั่งสะดวกสบายมาก มีหนังให้ดูหลายสิบเรื่อง ไล่กันไปไทยจีนฝรั่ง หนังเก่าใหม่ มีหมด มีเกมให้เล่นด้วย แต่ที่ขอหักคะแนนไว้คะแนนหนึ่งคือเก้าอี้ที่ว่า 180 องศาน่ะค่ะ เวลาเอนแล้วส่วนที่วางเท้ามันไม่ได้ยกขึ้นมาสูงนัก คือทำให้ส่วนหัวสูงแต่เท้าต่ำ เวลานอนจริงๆเราจะไหลลงไปกองอยู่ด้านล่างน่ะค่ะ ต้องแก้ปัญหาด้วยการเอาเข็มขัดรัดตัวเองเอาไว้แล้วค่อยนอน ตอนแรกนึกว่าเราเป็นคนเดียว แอบหันไปดูฝรั่งซ้ายขวาทุกคนพร้อมใจกันไหลลงไปกองที่เท้าเหมือนกันหมดค่ะ อ้อ..แอบถ่ายรูปเก้าอี้มาให้ดูด้วยนะคะ น่าจะเหมือนกับเก้าอี้ของ Lufthansa แต่ดีกว่าตรงที่เก้าอี้เราไม่เสียกลางอากาศแบบที่เคยเล่าให้ฟังคราวก่อนค่ะ



หน้าโรงแรมที่เข้าพักค่ะ

เอาละค่ะ น้อง Reception ที่โรงแรมเขาเรียกแล้ว คือตอนมาถึงมันยังเช้ามากเขายังจัดห้องไม่เสร็จ นี่เขาให้รอจนเก้าโมงครึ่งดิฉันเลยใช้เวลานั่งโม้อยู่นี่ละค่ะ


หลังจากเช็คอินแล้ว ก็เดินทางไปส่งคุณพี่ชายที่ที่พักของเธอค่ะ โรงแรมเขาอยู่ใกล้สถานีรถไฟกลาง หรือ หัวลำโพงของมิลานขนาดเดินไปได้น่ะค่ะ ส่วนโรงแรมของเรานั้น พออยู่ได้ค่ะ เขาเอาชื่อเรียกยากๆ ออกจากหน้าโรงแรมไปแล้ว เหลือเพียงชื่อเรียกง่ายๆว่า Hotel Milton Milano โรงแรมใช้ได้ค่ะ วิวไม่ค่อยมีเท่าไร ดูรูปที่ถ่ายจากห้องพักละกันค่ะ



มองออกไปไม่มีวิวค่ะ แต่อยู่กลางเมืองมิลาน



ซอยข้างๆ โรงแรม เป็นถิ่นพักอาศัยเสียส่วนใหญ่



ถนนหน้าโรงแรมค่ะ



จตุรัสหน้า Duomo ขึ้นจากรถไฟใต้ดิน



รูปเก่าสองปีที่แล้วหน้า Prada

จากโรงแรมคุณพี่ชาย เราก็เดินไปขึ้นรถใต้ดินที่สถานี Centrale ไปลง Duomo โผล่ขึ้นมากลางจตุรัสหน้าโบสถ์เลยค่ะ คนเยอะมากคงเป็นเพราะว่าเป็นวันอาทิตย์ เดินไปเดินมาหลงกันได้ง่ายๆ เราไปหาอะไรกินกลางวันก่อน เคล็ดลับคืออย่าเดินเข้าร้านแรก ให้เดินๆ เลียบเคียงไปก่อนถึงเจอร้านที่อยู่ด้านหลังๆหน่อย มีคนเต็มๆร้าน น่าจะเชื่อใจได้ว่าอร่อย ก็ไม่ผิดหวังนะคะ อร่อยใช้ได้ค่ะ ต้องขออภัยที่ไม่ได้เอากล้องติดไปด้วยเพราะว่าตั้งใจจะไปชอปปิ้ง ขอส่งรูปเก่ามาให้ดูละกันค่ะ



ถึงแล้วค่ะ ถนนมอนเต้ นาโปลิโอเน่



ด้านหน้าของ Galleria Vittoria Emanuele



ภายใน Galleria Vittoria Emanuele

เป็นที่น่าสังเกตคือร้านค้าเริ่มเปิดขายวันอาทิตย์มากขึ้น เมื่อสองปีที่แล้ว มีแต่ร้าน หลุยส์ วิตตอง เปิดอยู่ร้านเดียวที่ถนนชอปปิ้ง Monte Napoleone แต่เดี๋ยวนี้ ร้านที่ Galleria Vittoria Emanuele เปิดกันหลายร้านโดยเฉพาะร้าน Prada (ที่เห็นในรูปเมื่อสองปีที่แล้วมันปิด) ที่ Galleria นี้เป็นร้านแรกของเขาตั้งแต่ปี 1913 เขาแต่งร้านสวยจริงๆ มีสองชั้น คือชั้นที่เราเดิน และ ชั้นใต้ดิน มีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา พนักงานขายก็หน้าตาน่ารักแต่งตัวดูภูมิฐาน รับแขกดีมากๆ แม้จะขอดูของแต่ไม่ซื้อก็ตาม กระเป๋าสตางค์ใบละสองร้อยยูโร เขาจัดวางไว้ในกะบะซะงั้น ส่วนของอื่นก็แพงตามสภาพค่ะ กระเป๋าเดินทางที่เป็นหีบๆ ที่เราเคยเห็นแต่ในรูป ก็มีโชว์ไว้นะคะ ใบละหมื่นห้าพันเหรียญเท่านั้นเอง



หน้าร้าน Pradaค่ะ



Prada หญิงค่ะ



Prada ชายค่ะ


เราเดินจากที่นี่ไปจนถึง ที่ถนนมอนเต้ ดูว่าไกล คนมากๆ เดินไปเรื่อยก็เพลินดีค่ะ ปรากฏว่าร้านค้าเปิดกันหลายร้านและคนเยอะมาก ถามแล้วได้ความว่าเรามาได้จังหวะ เป็นแฟชั่นวีคพอดีหลายร้านเลยเปิดขาย ร้านปราด้าที่มอนเต้นี่มีแยกร้านผู้หญิง ผู้ชาย ร้านที่ขาย Sport Collection ร้านขาย Lingerie แต่คนเยอะทุกร้านค่ะ เยอะจนสงสารคนขายคงเหนื่อยน่าดู ได้คุยกันคนขายเขาว่าคนเยอะแต่ไม่ใช่ทุกคนซื้อ ตอนที่คุยนั้นเกือบจะได้เวลาร้านปิดอยู่แล้ว คนขายยังยิ้มแย้มทักทายดีนะคะ



แต่ร้านที่น่าอิจฉาที่สุดน่าจะเป็นร้านกุชชี่ค่ะ เราเดินเข้าไปดู บรรยากาศเหมือนเดินเข้า เซเว่นอีเลฟเว่นเมืองไทยไงงั้นเลยค่ะ คนเยอะมาก แต่ละคนก็ซื้อนะคะ เพียงแต่เค้าไม่ได้ขายขนมจีน ซาลาเปาด้วย ไปเล็งกระเป๋าสะพายไว้ใบหนึ่ง เห็นคุณสองดีเธอใช้ สวยดี หมายมั่นปั้นมือมากว่าที่นี่น่าจะราคาดีกว่า มีให้เลือกเยอะกว่า เข้าไปแล้วมีแต่สีอ่อนๆ ที่เราใช้ค่อนข้างยาก คนขายเลยบอกว่าให้มาใหม่วันไหนก็ได้ในสัปดาห์นี้ เพราะว่าเมื่อวานขายของไปหมดร้านเลย เป็นแฟชั่นวีค คนมาซื้อของเยอะมาก เขาต้องสั่งมาใหม่จากในสต็อค ไม่รู้ว่าของที่เบิกมาเพิ่มจะได้แบบไหนมาบ้าง



Botega Veneta ฝ่ายหญิง



Botega Veneta ฝ่ายชาย

ร้านที่จัดสวยอีกร้านคือ Botega Veneta เป็นเครือเดียวกันกับกุชชี่ แต่ขายกระเป๋าหนังสาน ดูแล้วใช้เทคนิคโอทอปเดียวกับตระกร้าผักตบชวาบ้านเราน่ะค่ะ แต่หนังที่เขาใช้เป็นหนังลูกวัวบ้าง หนังนกกระจอกเทศบ้าง สานกันสองสามวันไม่มีรอยต่อเลย ทุกใบมี serial number เป็นแบบ limited edition ราคาก็แพงจนต้องกลั้นหายใจฟัง ธรรมดาอาจจะ พันสาม พันห้า แต่ไอ้หนังลูกวัวนี่สามพัน ส่วนพี่นกกระจอกเทศก็แค่หมื่นห้าค่ะ ทั้งหมดนี้หน่วยยูโรนะคะ ไม่ใช่บาท เราดูแล้วก็ได้แต่ขอบคุณเขาที่เอามาให้เราดูเป็นบุญตา และรีบลาเขาออกมา



อ่านมาแล้วมีแต่ไปชอปปิ้ง อาจจะกำลังนึกว่าเอาเงินมาจ่ายตั้งแต่ยังไม่ได้เปิดร้านขายของเลย ขอบอกว่า Window shopping ล้วนๆค่ะ เงินตรายังไม่รั่วไหลไปไหน ขอจบฉบับนี้เท่านี้ก่อนนะคะ ต้องออกไปจัดบูธแล้วค่ะ

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2549

วันนี้หลังจากใช้ความพยายามปลุกปล้ำกับอินเตอร์เน็ตของโรงแรมอยู่เป็นนานสองนานและไม่สำเร็จ กว่าจะออกจากโรงแรมได้เกือบเพล นั่งรถไปดูโอโมค่ะ อยากไปเดินถ่ายรูปร้านค้า และตึกสวยๆ ได้รูปมาเยอะเลย เอาไว้จะทยอยส่งไปให้ดูนะคะ


:::

Louis Vuitton



Ferragamo



Ralph Lauren



Bernasconi



เดินจนหิวก็ไม่ต้องกล้วค่ะ McDonlad

เดินๆ ไปแถวถนนมอนเต้ ร้านชอปปิ้งดังๆ เริ่มเปิดแล้ว วันจันทร์อย่างนี้จะเปิดสายหน่อยสัก สิบเอ็ดโมง ได้ค่ะ คนยังไม่เยอะ ถ่ายรูปได้สบาย เดินๆไปเจอกลุ่มทัวร์ชาวเกาหลีส่วนใหญ่เป็นวัยทำงาน ไม่เด็กแต่ก็ยังไม่แก่ มีคนนำทัวร์บอกว่าร้านไหนอยู่ตรงไหน ร้านค้าที่นี่คนเอเซียเช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกงหรือพี่ไทย มาเยี่ยมกันมาก ร้านอย่าง หลุยส์วิตตอง หรือ กุชชี่ มีพนักงานขายหน้าหมวยๆ อยู่เต็ม ไม่เหมือนปราด้าเมื่อวาน (ที่คนขายอุตส่าห์ทายถูกว่าเรามาจากเมืองไทย) ร้านนั้นมีแต่คนสวย คนหล่อฝรั่งล้วนๆ อย่างที่เล่าไปแล้ว



หน้าร้าน Cova



ในร้าน Cova



มาถึงที่ ต้องชิมชาของเขาเสียหน่อยค่ะ

เดินเข้าร้าน COVA เป็นขายขนมชื่อดังของมิลานอยู่ติดกับร้านปราด้าของผู้หญิง ขอบอกว่าขนมอบอร่อยมาก เขาตั้งมาตั้งแต่ปี 1871 (อันนี้ต้องเช็คนะคะ ไม่มั่นใจ) นอกจากขนมแล้วยังมีชาที่ผสมพิเศษโดยเฉพาะของเขา อยู่ในซองผ้าโปร่งสีขาว ดูแล้วคล้ายบุหงารำไปของเรา เรียกว่า Cova Special Blended Tea ภายในร้านตกแต่งสวยมาก เป็นไม้ มีภาพเขียน และ ตู้เฟอร์นิเจอร์ที่มองเผินๆนึกว่าตู้ไม้ธรรมดาแต่จริงๆคือตู้เย็น เข้าร้านนี้กินขนมไปสองชิ้น ชาอีกหนึ่งกา ค่าเสียหายสิบยูโรพอดี



จากที่นั่นก็เดินไปถ่ายรูปที่ดูโอโม แก้ตัวที่เมื่อวานพลาดไม่ได้เอากล้องไป วันนี้กลับกลายเป็นดีกว่าเพราะไม่ค่อยมีคนแต่แดดสู้เมื่อวานไม่ได้ สักพักพอเมื่อยๆขา คุณโอก็ส่งข้อความมาว่ามาถึงแล้ว หมดเวลาเที่ยวเล่นเลยต้องรีบขึ้นรถไฟไปที่บูธ นั่งรถไปสุดสายเลยค่ะ นั่งจากคนเต็มๆเบียดๆ ไปจนเหลือกันสามคนในโบกี้ ใจโหวงๆเหมือนกันว่าเราจะไปถึงไหมเนี่ย เดินไปถึงหน้าประตู Fiera Milano - Rho พี่ยามไม่ให้เข้าอีก บอกว่าต้องมีบัตรผ่าน โชคดีที่นึกเผื่อไว้แล้ว เมื่อเช้าเลยติดต่อกับสำนักงาน Thai Trade ที่นี่ได้เบอร์โทรศัพท์ของคุณน้องที่มาเป็นล่าม ต้องรบกวนให้เขาเดินออกมารับ แต่ในที่สุดเราก็พบกับคณะเรียบร้อยค่ะ



ด้านบนคือใส่ทิชชู ด้านล่างคือใส่หมวกคลุมผมอาบน้ำ
..แล้วดิฉันจะรู้ไหมค่ะเนี่ย?

มีเรื่องขำสุดๆ คือเมื่อเช้านี้ด้วยความที่เราอยู่ในห้องจนสาย แม่บ้านที่ไม่พูดอังกฤษ เขามาเปิดประตูจะทำห้องแต่ต้องบอกให้เขาไปทำห้องอื่นก่อน ตอนที่จะออกไปข้างนอกเขาคงรออยู่นานแล้ว พอได้ยินเสียงเราเปิดประตูก็รีบเข้ามาเลย เราหันไปหยิบซองทิชชูแบบพกได้ที่โรงแรมมีไว้ให้ในห้องน้ำ นึกสรรเสริญในใจว่าแหม เข้าใจเตรียมให้เราดีจัง อารามรีบอยากออกไปเร็วๆ ไม่ได้ดู พอจะเอามาใช้ ปรากฏว่าเป็นหมวกคลุมผมอาบน้ำค่ะ ไม่ใช่ทิชชู ซองมันเหมือนกัน พอกลับมาถึงห้องถึงได้เห็นว่าคุณแม่บ้านแสนดีแกเติมให้อีกสองห่อ เป็นหมวกคลุมผมอาบน้ำทั้งหมด แกคง งง งง นะคะ เราเอาหมวกคลุมผมอาบน้ำไปทำไม เราเองหยิบมายังงงๆ เหมือนกันค่ะ




เอารูปในห้องพักมาฝากค่ะ



เตียงห้องพักเดี่ยวค่ะ





Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 29 มีนาคม 2549 14:48:46 น. 2 comments
Counter : 1534 Pageviews.  
 
 
 
 
เสียดายเนาะ ไม่ได้ติดตามคุณนายไปท่องมิลาโน
รอดูรูปอยู่นะจ๊ะ...
 
 

โดย: สองดี วันที่: 4 มีนาคม 2549 เวลา:23:43:08 น.  

 
 
 
คุณสองดี จรไปอเมริกาแล้วค่ะ

น่าจะมีรูปสวยๆมาฝากเหมือนกันนะคะ เพราะงานนี้หายไปสองอาทิตย์นะคะ ไปเท็กซัสและ ดีซีค่ะ
 
 

โดย: แมวตัวเดิม IP: 221.128.106.122 วันที่: 23 มีนาคม 2549 เวลา:10:24:40 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

mrlamud
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add mrlamud's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com