|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ใคร่ครวญตามวิถีพุทธศาสน์ เปิดตำนานจตุคามรามเทวราชโพธิสัตว์
ใคร่ครวญตามวิถีพุทธศาสน์ เปิดตำนานจตุคามรามเทวราชโพธิสัตว์
โดย เอกอิสโร วรุณศรี ชุมนุมฟื้นธรรมฟื้นไทยแห่งยุคหลังกึ่งพุทธกาล
กระแสแห่งความเลื่อมใสนิยมศรัทธาใน "องค์พ่อจตุคามรามเทพ" ที่พุ่งขึ้นแรงสุดสุด ชนิดไม่มีอะไรจะฉุดหรือหยุดยั้งได้ จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ และถึงขั้นติเตียนตีกล่าวหา ว่าผู้ที่เลื่อมใส ศรัทธาใน "องค์พ่อจตุคามรามเทพ" เป็นพวกโง่เขลา เบาปัญญา โง่แล้วยังอวดโง่ด้วยการแขวนองค์พ่อเอาออกมาโชว์ไว้นอกเสื้ออีก ไม่สมกับเป็นชาวพุทธ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้มีปัญญา
ดังนั้น เพื่อที่จะได้ขึ้นชื่อว่า เป็นชาวพุทธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้มีปัญญา ก็จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะได้นำปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มาใคร่ครวญพิจารณา
ซึ่งเรื่องราวที่จะได้นำมาเสนอต่อจากนี้ ก็เป็นเพียงความเห็นและความเชื่อของผู้เขียน และอาจจะไม่เหมือนความเชื่อที่ท่านทั้งหลาย เคยได้ยินได้ฟังมา
อีกทั้งไม่กล้ายืนยันด้วยว่า จะเป็นความเห็นหรือความเชื่อที่ถูกหรือไม่?
ได้แต่ตั้งสัตยาธิษฐานว่า แม้นว่าได้รับอาณัติสัญญาณให้มาเปิดเผยเรื่องนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกที่ตรง ก็ขอให้ประสบแต่ความจำเริญยิ่งๆ ขึ้นไป
แต่หากการเปิดเผยเรื่องนี้จะเป็นการสร้างความเห็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง ก็ขอให้เทพยดาฟ้าดิน จงได้ลงโทษลงทัณฑ์ แก่ตัวภายใน 3 วัน 7 วันด้วยเทอญ
เพื่อไม่ให้ต้องสิ้นเปลืองพื้นที่หน้ากระดาษ ขอประกาศว่า แท้ที่จริงแล้ว "องค์พ่อจตุคามรามเทพ" ที่เรากำลังเลื่อมใสศรัทธา ให้การเคารพบูชา กันอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้แล้ว องค์ท่านก็คือ "พระรามโพธิสัตว์" ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าลำดับที่สอง รองจากพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งปัจจุบันองค์ท่านสถิตอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดุสิต และได้แผ่กระแสเมตตาบารมีไม่มีประมาณ สงเคราะห์มายังมนุษยโลกผู้มีความศรัทธาในองค์พ่อ โดยเฉพาะลูกหลานและผู้ที่ตั้งความปรารถนาจะมาเกิดร่วมยุคเมื่อถึงกาลสมัยตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของท่านในอนาคต หลังสิ้นศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย
โดยเหตุที่ท่านต้องมาสงเคราะห์ในวาระนี้ ก็ด้วยเหตุที่จะเกิดมหันตภัยพิบัติใหญ่ขึ้นบนโลกใบน้อยๆ ของเรา ในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ ก็ด้วยเหตุที่ในภพชาติก่อน เมื่อครั้งที่ท่านเกิดเป็นเจ้าชายรามเทพได้เคยศึกษาเล่าเรียนวิชา จตุคามศาสตร์ จากพระราชมารดาจนเจนจบ สามารถสยบฟ้า สยบดินได้ตามปรารถนา วาจาเป็นประกาศิตเหนือมวลชีวิตทั้งหลายอันเป็นที่มาของนามาภิไธยราชฐานันดรว่า "องค์ราชันย์จตุคามรามเทพ"
แต่เหตุปัจจัยที่สำคัญยิ่ง ที่การมาสงเคราะห์โลกของท่านครั้งนี้แม้จะไม่ได้มาด้วยกายหยาบ แต่ก็สามารถสร้างความสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งแผ่นดิน ผู้คนทั้งหลายที่ยังเข้าไม่ถึงซึ่งพระรัตนตรัย ก็ได้อาศัยกระแสเมตตาบารมีขององค์พ่อชักจูงให้ เข้ามาสู่วิถีของพุทธศาสน์ ด้วยการรู้จักรักษาศีล สร้างบารมีทานและบำเพ็ญจิตภาวนาถวายเป็นกุศลแด่องค์พ่อ
จึงนับว่าเป็นกุศโลบายที่องค์พ่อท่าน สงเคราะห์ลูกหลานของท่านอย่างแยบยลยิ่ง
ซึ่งการที่ท่านได้รับความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมืดฟ้ามัวดินเช่นนี้ก็มิใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเพราะในอดีตเมื่อครั้งที่ท่านได้บำเพ็ญบารมี เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณนั้น ท่านได้กระทำปรมัตถบารมีคือการบำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามกัสสปะพุทธเจ้า ก่อนถึงสมัยกาลแห่งพระพระพุทธเจ้าโคดมองค์ปัจจุบันของเรา ปรากฏใน คัมภีร์พระอนาคตวงศ์ ซึ่งโบราณจารย์ สืบทอดรักษากันมา
เป็นเรื่องกล่าวถึงประวัติย่อของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายผู้บำเพ็ญพระบารมีในชาติหนึ่ง ซึ่งปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เกิดสำเร็จผล ทรงพระอภินิหาร ประกอบด้วยพระเดชามหานุภาพเป็นพุทธสมบัติที่จะมาอุบัติตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลภายหน้า ตามอนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา
อันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ตรัสแก่พระสารีบุตร มีปุพพาปรสืบเนื่องมาโดยลำดับ ถึง "องค์พระรามโพธิสัตว์" ความว่า
ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเทศนาแก่พระสารีบุตรสืบต่อไปว่า ในกาลเมื่อพระพุทธศาสนา แห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยเสื่อมสูญสิ้นแล้ว อันว่าประทีปแก้ว คือพระสัทธรรมนั้น ก็สูญสิ้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายก็มืดมัวไป ไม่รู้จักบาปและบุญ คุณและโทษ ประโยชน์และไม่ประโยชน์ประการใด จนถึงไฟบรรลัยโลกล้างวินาศฉิบหายสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล เพลิงบรรลัยกัลป์เกิดขึ้นไหม้แผ่นดินภัททกัปอันนี้ฉิบหายหมดแล้ว สิ้นกาลช้านาน จึงบังเกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นมา มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีกับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่ากับแผ่นดินที่มีมาในเบื้องหน้านั้น เป็นสูญญกัปป์นับได้อสงไขยแผ่นดิน จะได้มีสมเด็จพระพุทธเจ้า ปัจเจกโพธิเจ้า และพระยาจักรพรรดิ์ผู้ประเสริฐ จะบังเกิดมีมานั้นก็หาไม่ จึงมีนามว่าสูญญกัปป์ เกิดมีแต่มนุษย์ทั้งหลายหาบุญมาวาสนาบารมีบ่มิได้ฯ เมื่อแผ่นดินเกิดขึ้นมาสูญเสียจากท่านผู้ทรงพระคุณแล้ว ฉิบหายไปด้วยไฟ ด้วยน้ำ ด้วยลม แล้วเกิดขึ้นใหม่อีกเล่า จนถ้วนอสงไขยแผ่นดินล่วงลับไป นับด้วยอสงไขยแผ่นดินแล้วฯ
ในกาลนั้น บังเกิดแผ่นดินขึ้นมาใหม่เรียกชื่อว่ามัณฑะกัปป์ พระพุทธเจ้าจะได้บังเกิด 2 พระองค์คือ พระรามโพธิสัตว์ 1 พระเจ้าปัสเสนทิโกศล 1 แรกประถมกัปป์เกิดก็มีอายุยืนได้อสงไขยหนึ่ง แล้วลดน้อยถอยลงมาอยู่เพียง 9 หมื่นปี ครั้งนั้นพระรามโพธิสัตว์ จะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าก่อนพระเจ้าปเสนทิโกศล พระสรีรกายสูงประมาณ 80 ศอก ไม้จันทน์เป็นไม้พระศรีมหาโพธิ มีพระรัศมีส่องสว่างในอากาศอยู่เป็นนิจกาล ปรากฏงามเปรียบด้วยรัศมีของพระจันทร์สว่างทั่วโลกธาตุ ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพนั้น โลกทั้งปวงบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ มหาชนได้อาศัยไม้ทิพย์นั้นประพฤติเลี้ยงชีวิต เป็นบรมสุขทุกเมื่อมิได้ขาด ครั้งเมื่อพระพุทธศาสนาพระรามโพธิสัตว์สัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ฝูงสัตว์ทั้งหลายได้บังเกิดในสวรรค์เป็นอันมาก
ดูก่อนสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์เจ้าได้บำเพ็ญกองบารมีทั้งหลายมาช้านานเป็นอันมากแล้ว แต่กองบารมีธรรมครั้งหนึ่งนั้น ปรากฏเป็นยอดปรมัตถบารมีอันประเสริฐ เพราะเหตุดังนี้ พระรามสัพพัญญูเจ้าจึงได้พระพุทธสมบัติเห็นปาน ดังนี้
สมเด็จพระศรีสรรเพชร จึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา แก่พระสารีบุตรว่า ในเมื่อครั้งพระศาสนาพระพุทธกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระรามองค์นี้เป็นบรมโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีนามว่านารทมาณพ
วันหนึ่งนารทมาณพได้ทัศนาการ เห็นองค์พระพุทธกัสสปะสัพพัญญูบรมครูเจ้าครั้งนั้น ก็มีความโสมนัสยินดีเป็นอันมากคิดว่า จะกระทำสักการบูชาแก่พระองค์ ให้เห็นศรัทธาของอาตมา มิได้คิดแก่ชีวิตอินทรีย์ คิดแล้วจึงเอาผ้า 2 ผืนชุบน้ำมัน พันสรีรกาย ตั้งแต่เศียรเกล้าตลอดปลายเท้าทั้ง 2 แล้วก็จุดไฟขึ้นบนศีรษะเป็นประทีป กระทำสักการบูชา ถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า
แล้วตั้งปณิธานความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม อันว่าองค์อวัยวะน้อยใหญ่ในสรีรกายของข้าพระพุทธเจ้า คือเลือดเนื้อเป็นอาทิ กระทำเป็นทาน แก่พระองค์ในกาลบัดนี้ ปัจจะโย โหตุ จงบังเกิดมีเป็นปัจจัย ให้อุปการคุณอุปถัมภกยกชูข้าพเจ้า ให้ได้สำเร็จแก่พระสร้อยสรรเพชรชุดาญาณในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้นเถิดฯ
ครั้งนั้น องค์สมเด็จพระพุทธกัสสปเจ้า จึงตรัสพยากรณ์ทำนายนารทมาณพในท่ามกลางบริษัททั้ง 4 มีพระพุทธฎีกาว่า
ดูกรมาณพผู้เจริญ ในเมื่อภัททะกัปป์นี้ฉิบหายไปแล้ว ก็บังเกิดมีกัปป์ตั้งขึ้นใหม่ เป็นสูญญกัปป์อยู่สิ้นช้านาน นับได้อสงไขยแผ่นดินล่วงไปแล้ว ครั้งนั้นจึงบังเกิดมัณฑะกัปป์ในกาลเบื้องหน้า คือตัวของมาณพนี้ จะได้บังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อว่า พระรามสัพพัญญู ในมัณฑะกัปป์อันนั้น
พระองค์ทรงพยากรณ์ทำนายมาณพดังนี้แล้ว ครั้นเวลาราตรียังรุ่ง ก็กระทำกายของมาณพเป็นประทีปถวายต่างเครื่องสักการบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอันดี
ครั้นนารทมาณพดับจิต ก็ได้ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์เทวโลก ในที่เผาสรีรกายกระทำสักการบูชาแห่งมาณพนั้น ก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา มหาชนเห็นเป็นอัศจรรย์จึงกล่าวสรรเสริญชมว่า จะหามนุษย์ผู้ใดเปรียบเสมอสองหามิได้ นานไปในอนาคตเบื้องหน้า จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูเจ้าพระองค์หนึ่งมั่นคงนักหนา ฝูงมหาชนก็ชวนกันมากระทำสักการบูชา ในที่เผาสรีรกายแห่งมาณพ
ดูกรสำแดงสารีบุตร พระรามโพธิสัตว์นั้น นานไปจะบังเกิดเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ด้วยผลอานิสงส์ที่ท่านมิได้เอื้อเฟื้อแก่สรีรกาย และชีวิตของอาตมากระทำเป็นมหาบริจาค เจตนาอันใหญ่ยิ่งกว่าบารมีทั้งหลายทั้งปวง เป็นยอดปรมัตถบารมี
ด้วยเดชะอานิสงส์ที่บูชาสรีรกายของอาตมานั้น เมื่อได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า มีสรีรกายสูงได้ 80 ศอก สละชีวิตเป็นทานเป็นปรมัตถบารมีอันอุดมอุกฤษฏ์นั้น จะมีพระชนมายุได้ 9 หมื่นปีเป็นกำหนด เวลาราตรียังรุ่งตามประทีปแก้ว คือ สรีรกายของอาตมากระทำสักการบูชานั้น จะบังเกิดพระรัศมีรุ่งเรืองงามสว่างไปทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นนิจกาล อาจปกปิดเสียซึ่งแสงพระจันทร์และพระอาทิตย์ กระทำให้อัปภาคแพ้พระพุทธรัศมีของพระองค์ฯ
สำแดงมาด้วยเรื่องราว พระรามบรมโพธิสัตว์คำรบ 2 ก็ยุติแต่เพียงนี้ฯ
การที่ได้สาธกยกเอา ประวัติของพระรามโพธิสัตว์เจ้า มาแสดงที่นี้ ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ได้รู้เหตุที่ "องค์พ่อจตุคามรามเทพเทวราชโพธิสัตว์" มีบารมีอย่างยิ่งยวด
และการที่ท่านได้รับความเลื่อมใสศรัทธา อย่างยิ่งนี้ จึงไม่เป็นที่น่ากังขาสงสัยแต่อย่างใด เพราะแม้ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า ที่องค์พ่อท่านได้เผาสรีรกายถวายเป็นพุทธบูชานั้น ในที่เผาสรีรกายขององค์ท่าน ก็บังเกิดดอกบัวผุดขึ้นมา ฝูงมหาชนทั้งหลายก็ชวนกันมากระทำสักการบูชา ในที่เผาสรีรกายแห่งองค์ท่านนั้น
ไม่ต่างจากปัจจุบัน ที่มหาชนทั้งหลายได้พากันหลั่งไหล มาสักการบูชา แสดงออกถึงความศรัทธาต่อ องค์พ่อจตุคามรามเทพ จนเป็นที่หวั่นไหวและริษยาของผู้เข้าไม่ถึงและไม่ศรัทธา
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ดังนี้แล้ว วิญญูชนพึงใคร่ครวญดูเอาเถิด ว่าเราจักควรสรรเสริญหรือติเตียน ผู้ที่เคารพและศรัทธาต่อ "องค์พ่อจตุคามรามเทวราชโพธิสัตว์" ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างเที่ยงแท้ในอนาคต
และปรารถนาที่จะสงเคราะห์ลูกหลานผู้ยังไม่เข้าถึงคุณพระรัตนตรัย ให้เขยิบเข้ามาอยู่ใกล้คุณพระรัตนตรัยวางตนเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่ดี ในวาระกาลมหากลียุค ที่กำลังจะมาเยือนในเร็ววันนี้
จาก มติชน รายวัน ฉบับวันที่ 3 กรกฎาคม 2550
//www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act01030750&day=2007/07/03§ionid=0130
Create Date : 04 กรกฎาคม 2550 |
|
6 comments |
Last Update : 4 กรกฎาคม 2550 17:36:26 น. |
Counter : 1094 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พระนาย. IP: 58.10.68.191 25 กรกฎาคม 2550 8:48:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: คน IP: 124.120.178.205 30 กรกฎาคม 2550 22:27:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปู่ฤๅษี IP: 118.173.221.41 30 มกราคม 2554 8:44:58 น. |
|
|
|
| |
โดย: วิญญาน IP: 101.109.136.18 25 พฤศจิกายน 2555 2:16:42 น. |
|
|
|
|
|
|
|
พระโพธิสัตว์จตุคามรามเทพ=พระวิษณุ=พระรามพุทธเจ้า ตรัสรู้หลังพระพุทธศรีอารยเมตไตรย์
พระพุทธเจ้า 10 พระองค์
1.พระอชิตราชกุมาร เป็น พระศรีอาริยเมตไตรย์
2.พระราม เป็น พระรามสัมพุทโธ
3.พระเจ้าปัสเสนทิโกศล เป็น พระธรรมราขสัมพุทโธ
4.พระยามาราธิราช เป็น พระธรรมสามีพุทโธ
5.พระยาอสุรินทราหู เป็น พระนารทสัมพุทโธ
6.พระโสณะพราหมณ์ เป็น พระพุทธรังษี
7.พระสุภะพราหมณ์ เป็น พระเทวเทพพุทโธ
8.พระโตเทยยะพราหมณ์ เป็น พระนรสีหะ
9.ช้างนาฬาคีรีหัตถี เป็น พระติสสะพุทโธ
10.ช้างป่าเลไลยก์ เป็น พระสุมังคะละ
//www.chaiyongvision.com
ส่วนที่จะทำให้ดีหรือไม่ดีอยู่ที่คนทั้งนั้น พระท่านอยู่เฉยๆ
ภาครัฐก็ผิดด้วย ที่ไม่ควบคุมจัดระเบียบการสร้างพระเครื่อง คนเลยปั่น ใช้เป็นช่องทางทำมาหากินกันไปเลย