|
โหนรถไฟเรื่อยไป...
เด็กชายตัวน้อยจ้องมองผม....
ดวงตาคู่โตสีดำใสบริสุทธิ์คู่นั้น จ้องมองมาที่ผมแฝงด้วยความหวาดระแวงลึกๆ
ผมเจอะเจอกับเด็กน้อยคนนี้บนรถไฟสายด่วนลำนึงบนเส้นJRเคโยเซน
รถไฟขบวนนี้กำลังเคลื่อนตัวพาผมไปจุดหมายปลายทางที่สถานีไคฮินมาคุฮาริ ผมยืนเกาะราวรถไฟริมที่นั่งผู้โดยสาร เสียงเพลง Tetragrammatonของ The Mars Volta สะเทือนผ่านหูฟังเขาสู่โสตประสาทของผม สายตาสอดส่องไปรอบๆตู้รถ เห็นผู้โดยสารกลุ่มนึงซึ่งดูเหมือนจะมากันเป็นครอบครัว ต่างคนต่างเกาะเสารถไฟหรือว่าจับราวบนเพดานยืนอยู่บริเวณริมประตูทางเข้าออก ครอบครัวทานากะประกอบไปด้วย คุณปู่ผู้อาวุโสในเสื้อทีมเบสบอลlotte marinesและศีรษะอันล้านเลี่ยน คุณย่ากับแว่นตาสีชาอันโตและใบหน้าอันยิ้มแย้ม ลูกสาวคนเล็กในอ้อมกอดของคุณแม่ พี่สาวคนโตอายุราว6-7ขวบที่นั่งจุมปุ๊กบนพื้นรถไฟ คุณพ่อจูงมือลูกชายคนกลางในเสื้อยืดสีแดงและเอี๊ยมยีนส์ นอกจากครอบครัวทานากะแล้ววันนี้ทั้งตู้รถไฟก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมายหลากหลายวัย
รถไฟกำลังเคลื่อนตัวช้าๆไปตามเส้นทางแลเห็นปราสาทดีสนียแลนด์อยู่ลิบๆ พี่สาวคนโตลุกขึ้นเดินไปยืนริมประตูชะเง้อมองออกไปหน้าต่างข้างนอก ผู้เป็นพ่อจับลูกชายคนกลางอุ้มสูงขึ้นเพื่อทัศนวิสัยที่ดีกว่า คนที่เหลือคนอื่นในครอบครัวทานากะทุกคนมองไปยังยอดหอคอยที่สูงเด่นนั้น
สามพี่น้องคงสงสัยว่ามีอะไรรอคอยพวกเขาอยู่ ณ ดินแดนแห่งจินตนาการแห่งนั้น
ในความคิดของคุณพ่อคุณแม่คุณปู่คุณย่าก็คงวาดภาพเห็น รอยยิ้มของลูกๆหลานๆผุดออกมาจากใบหน้าที่ไร้เดียงสาเหล่านั้น
น้องหนูฮิเดะเด็กชายตัวน้อยในอ้อมกอดของพ่อ ยื่นแขนลำเล็กๆของเขาเพื่อไปจับราวรถไฟบนเพดาน คุณพ่อของหนูฮิเดะเมื่อเห็นความพยายามของลูกชายก็ยกลูกชายสูงขึ้นไปอีกจนถึงระดับหัวไหล่ จนในที่สุดมือน้อยๆของหนูน้อยฮิเดะก็สามารถสัมผัสกับห่วงรถไฟข้างบนได้ในที่สุด
น้องสาวคนเล็กเมื่อเห็นการกระทำของพี่ชาย ก็พยายามเลียนแบบยื่นมือไปจับห่วงรถไฟด้านบนเอาตามบ้าง แต่เนื่องจากส่วนสูงและเรี่ยวแรงที่จำกัดของคุณแม่จึงไม่สามารถยกน้องสาวตัวเล็กให้ขึ้นสูงได้เทียบเท่ากับหนูน้อยฮิเดะ น้องสาวคนเล็กยื่นมือไปสุดจนแขนตึงแล้วแต่ก็ไม่ถึงจุดหมายข้างบนสักที คุณแม่ก็พยายามที่จะยกตัวน้องสาวให้สูงมากขึ้นอีกแต่ก็เหมือนกับว่าถึงขีดจำกัดของคุณแม่เสียสะแล้ว
น้องสาวคนเล็กเริ่มร้องไห้ครวญคราง ความล้มเหลวเล็กๆอันนี้มันยิ่งใหญ่เกินกว่าเด็กน้อยวัยสามขวบจะรับได้
ผมมองอิริยาบทของหนูน้อยฮิเดะกับน้องสาวแล้วนึกถึงตัวเองสมัยเด็กๆ
(ตัดมาภาพขาวดำ) เด็กน้อยในทรงผมเกรียนสั้นท่าทางเด๋อๆด๋าๆคนนึงมองดูราวรถเมล์ในสาย203ที่กำลังมุ่งหน้าสู่สนามหลวง มือของเด็กน้อยจับตรงที่ยึดจับของที่นั่งผู้โดยสาร เด็กน้อยมองดูผู้ใหญ่รอบข้างที่ยืนจับราวรถบนเพดาน แขนที่จับราวนั้นข้อศอกงอทำเป็นรูปมุมป้าน บางคนที่ตัวสูงมากก็งอแขนเป็นรูปมุมแหลม รถเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วสูงกระชากให้มุมของข้อศอกคลายออกเป็นเส้นตรงในบางจังหวะ ในขณะที่มือข้างนึงของเด็กน้อยยังจับราวเก้าอี้ มืออีกข้างของเขาก็ยื่นขึ้นไปสูงบนเพดาน เท้าสองเท้าก็เขย่งดีดตัวเองสูงขึ้นมาราวๆครึ่งฝ่าเท้า แต่ยังไงๆก็เอื้อมไม่ถึงสักที จนต้องล้มเลิกความพยายามไปในที่สุด
(ตัดกลับมาภาพสีคมชัดแบบ High-definition) ในขณะที่มือข้างนึงยังจับห่วงรถไฟนั้น เด็กน้อยฮิเดะละสายตาจากนอกหน้าต่างแล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับความแออัดของขบวนรถไฟ ดวงตาสีดำคู่นั้นแสกนความเป็นไปรอบๆตัว ศีรษะที่ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆวาดเส้นทางเป็นวงกลมราวกับลานไขนาฬิกา จนในที่สุดสายตาคู่นั้นได้หยุดชะงักตรงที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ดวงตาสีดำคู่นั้นจ้องมามองที่ผมราวกับจะบอกผมว่า มองหน้าหาเรื่องทามมายฟ่ะ ผมจะโดนเด็กน้อยจ้องกลับ
ผมไม่พยายามที่จะแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเล่นกับเด็กน้อยคนนั้น ด้วยความที่คิดว่าหน้าผมกับแก้มอ้วนๆก็น่าจะตลกพออยู่แล้ว และด้วยประสบการณ์เก่าๆของผมที่ว่าการจ้องเด็กนานๆแล้วเด็กจะให้ความสนใจกับผมมากกว่าการพยายามทำหน้าตลกๆแล้วเด็กจะเมินหน้าหนีทันที
ผมกับเด็กคนนั้นจ้องตากันประมาณอึดใจนึง เด็กน้อยละความสนใจในตัวผมแล้วหันไปมองทางอื่นแทน ผ่านไปไม่กี่นาทีดวงตาคู่นั้นก็แสกนไปรอบๆรถไฟผ่านมาทางผมอีกเป็นครั้งที่สอง เด็กน้อยก็รู้สึกตัวว่าคนตัวโตคนเดิมยังจ้องมองเขาอยู่ เราสองคนก็ได้จ้องตาต่อตาฟันต่อฟันใจต่อใจกันอีกเป็นระยะเวลาสั้นๆ จนในที่สุดเด็กน้อยก็ละสายตาไปทางอื่น นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้มีโอกาสมองไปในแววตาสีดำคู่นั้นของเด็กน้อยในชุดมาริโอ
มัยฮามะ เดส (สถานีมัยฮามะ)
เสียงประกาศในรถไฟบอกถึงจุดหมายปลายทาง ณ โตเกียวดีสนีย์แลนด์ ผู้คนหลายๆคนเริ่มทยอยๆออกไปจากขบวนรถไฟ ครอบครัวทานากะก็เช่นกัน ผมมองครอบครัวทานากะและหนูน้อยฮิเดะเคลื่อนตัวออกจากตัวตู้รถไฟที่ผมอยู่ออกไปอย่างช้าๆ
ประตูรถไฟปิดลง ผู้โดยสารหายไปเกือบทั้งคันรถ ที่นั่งที่ว่างลงก็ถูกเติมเต็มโดยผู้โดยสารคนอื่นๆ เหลือคนยืนเกาะราวรถไฟในขบวนไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็มีข้าพเจ้าด้วย
รถไฟเคลื่อนขบวนต่อ ลำแขนที่งอเป็นมุมป้านของผมโดนกระชากให้เป็นเส้นตรงบางจังหวะ ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อทำให้ผมอยากลงไปนั่งจุมปุ๊กบนพื้นรถไฟเหมือนพี่สาวคนโตของครอบครัวทานากะ
(ตัดมาภาพสีอมส้ม มีคลื่นแซกเหมือนทีวีสีช่องสามบางจังหวะ) ผ่านไปหลายปีเด็กน้อยผมเกรียนเติบใหญ่เป็นเด็กหนุ่มสิวเกรอะในทรงผมทรงเดิม เขาอยู่บนรถเมลสาย125จากตลิ่งชันเพื่อกลับบ้านจากโรงเรียน ร่างกายสูงขึ้นมาหลายสิบเซนติเมตรเมื่อเทียบกับครั้งยังเด็ก ความหวังเล็กๆที่จะยื่นมือไปเกาะราวจับบนเพดานก็ยังเหมือนเดิม วันเวลาผ่านไป ปลายนิ้วของเขาก็เริ่มแตะโดนเหล็กของราวจับบ้าง แต่มันก็ยังไม่ยาวพอที่งอนิ้วพันรอบราวรถเมล์ได้ ในวันนี้เขาลองยื่นแขนออกไปดูแต่ก็ยังไม่ถึงอยู่ดี เขาเขย่งเท้าเพื่อที่จะเพิ่มระยะให้มากขึ้น จนในที่สุดนิ้วของเขาก็สามารถงอโอบจับราวรถเมล์บนเพดานได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ลำแขนข้างขวาของเขายืดเป็นเส้นตรง ปลายเท้าที่เขย่งตัวเขาให้สูงขึ้น นี่นับเป็นความสำเร็จครั้งเล็กๆครั้งนึงในชีวิตของเขา
เมื่อยหว่ะ
นี่เป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มนึกขึ้นมาเป็นอย่างแรกหลังจากความสำเร็จครั้งเล็กๆครั้งนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็ปล่อยมือจากราวรถไฟ เท้าที่งอเขย่งก็ปล่อยน้ำหนักตัวทั้งหมดกลับลงเต็มฝ่าเท้า มือของเขาก็ยื่นไปจับราวพนักเก้าอี้เหมือนเดิม
(ความคิด) ภาพฉากเป็นสีซีเปีย ทุกๆวันนี้ผมก็ยังโหนรถเมล์ รถไฟเหมือนเดิม แต่ไม่ได้โหนไปด้วยความอยากโหนเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ แต่เป็นเพราะว่าไม่มีที่นั่ง
โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับ เด็ก สตรี คนชรา และผู้พิการ นี่เป็นป้ายเชิญชวนให้เผื่อแผ่ที่นั่งที่เห็นบนสติกเกอร์ที่แปะในรถเมล์เมืองไทย
โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้กับ เด็ก สตรีมีครรภ์ คนชรา และผู้พิการ นี่เป็นเป็นป้ายเชิญชวนให้เผื่อแผ่ที่นั่งที่แปะตามข้างๆตู้ขบวนข้างในรถไฟที่ญี่ปุ่น
จากคำเชิญชวนข้างบนจะเห็นความแตกต่างตรงที่ว่า การเผื่อแผ่ที่นั่งให้สตรีนั้นต่างกัน
ถ้ามีที่นั่งว่างในรถไฟ ส่วนใหญ่แล้วผมก็จะมักจะยืนเกาะราวรถไฟปล่อยให้ผู้หญิงคนอื่นนั่งไปก่อน เมื่อที่นั่งเหลือว่างเยอะจริงๆรอบๆหรือผู้หญิงที่ยืนอยู่คนอื่นไม่ทำท่าสนใจจะนั่ง ผมถึงจะตัดสินใจนั่งตรง ณ ที่เหล่านั้น
เรื่องที่จะลุกให้ผู้หญิงนั่งหรือ ถ้าไม่ใช่คนที่หอบของพะรุงพะรังมามากจริงๆก็คงไม่ลุกให้นั่ง เพราะเคยจะลุกให้จริงๆแล้วโดนปฏิเสธหรือทำท่าราวกับว่าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน สุดท้ายแล้วผมก็แปรเปลี่ยนไปเหมือนผู้ชายญี่ปุ่นคนอื่นทั่วไป
อืมมมมม เห็นแก่ตัวไปไหมเนี่ย.... หรือว่าก็คงกลัวกับการโดนปฏิเสธ (ข้ออ้าง)
สุดท้ายแล้วผมเลือกอยากที่จะนั่งเพื่อพักความเหนื่อยล้าของร่างกาย และความเหนื่อยล้าของเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
ราวเกาะรถบนเพดานที่เคยใฝ่ฝันจะเอื้อมให้ถึงเมื่อตอนเด็ก ในตอนนี้มันดูไม่น่าไขว่คว้าเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว
(ตัดมายังภาพสีอีกครั้ง) ผมเสร็จธุระตอนเวลาหกโมงเย็น แล้วจับรถไฟสายด่วนจากสถานีไคฮินมาคุฮาริเพื่อไปพบเพื่อนที่สถานีโตเกียว ข้างนอกรถไฟนั้นไม่มีแสงของดวงอาทิตย์แล้ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟบนท้องถนนและไฟของรถยนต์ที่วิ่งข้างล่างให้เห็นตลอดเส้นทาง มองออกไปไกลๆก็เห็นบ้านเดี่ยวเรียงกันเป็นตารางอย่างมีระเบียบและดูเหมือนๆกันไปหมด
ที่นั่งในตู้รถไฟก็ยังเต็มไปด้วยผู้โดยสาร บางคนก็คุยกัน บางคนก็กดมือถือ บางคนก็อ่านหนังสือ บางคนก็เล่นเกม บางคนก็ก็ฟังเพลง หลายคนก็นอนหลับ หัวสัปะหงกไปด้านหน้าบ้างไปด้านข้างบ้าง หรือหัวไปชนผนังด้านหลังบ้าง
ผมยังยืนเกาะราวรถไฟ มองออกไปข้างนอกเห็นปราสาทดีสนีย์แลนด์มาจากไกลๆ
ผมนึกถึงเด็กน้อยฮิเดะอีกครั้งนึง....... . . . . หมายเหตุกรุงโตเกียว "ทานากะ" นั้นเป็นชื่อสมมติที่ผมตั้งแทนเป็นนามสกุลให้กับครอบครัวของเด็กน้อยคนนั้นที่เจอบนรถไฟ
"ฮิเดะ"ก็เป็นชื่อสมมติที่ผมตั้งให้เพื่อเรียกเด็กน้อยคนนั้น
ผู้อ่านสามารถเปลี่ยนชื่อจาก "ทานากะ" หรือ "ฮิเดะ" เป็นชื่ออะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น "โยชิกิ" "อิจิโร่" "โนบิตะ" อะไรก็ได้แล้วแต่ความชอบครับ
Create Date : 08 ตุลาคม 2549 |
|
10 comments |
Last Update : 8 ตุลาคม 2549 20:37:42 น. |
Counter : 663 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: View from the Top IP: 125.25.37.30 8 ตุลาคม 2549 14:25:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ความดี...ที่ไม่เท่ากัน IP: 210.213.19.70 10 ตุลาคม 2549 13:00:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: เปลี่ยนชื่อไปเรื่อย IP: 125.25.53.49 11 ตุลาคม 2549 11:52:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: ขี้เกียจคิดชื่อง่ะ IP: 210.213.19.70 11 ตุลาคม 2549 17:47:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจ้าถิ่น IP: 211.126.192.150 11 ตุลาคม 2549 20:36:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: = Nukky = IP: 210.86.204.203 12 ตุลาคม 2549 23:52:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: ??? IP: 210.213.19.70 13 ตุลาคม 2549 9:04:39 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้วนเหมือนกัน แง (cottonbook ) 14 ตุลาคม 2549 12:09:29 น. |
|
|
|
|
|
|
|