ส่งนางฟ้ากลับสู่สวรรค์ ณ วัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร
แป๊ะโป้งไว้เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 คราวโน้น ตอนนี้มาลงรูปต่อแล้วจ้า...
ป้าตา ไปถวายดอกไม้จันทน์ที่ วัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร แถวๆ บางรัก กับพี่ๆ รวมเป็น 5 คน แต่เนื่องจากป้าตา และพี่ผู้ชายอีกสองคน แต่งกายไม่สุภาพ ...เค้าว่างั้นนะ คือใส่เสื้อสีดำ สีขาว แต่กางเกงยีนส์....เค้าบอกว่าไม่สุภาพห้ามขึ้นถวายดอกไม้จันทน์...เราคนดีสามคนจึงพร้อมใจกันนั่งรอ พี่สาวอีกสองคนขึ้นไปถวายดอกไม้จันทน์ แต่คนอื่นไม่รู้คิดงัย ทำไมนุ่งยีนส์ ใส่กางเกงขาสั้น นุ่งกระโปรงสั้น (ยกเว้นน้องๆ นักศึกษา) เค้า (เจ้าหน้าที่จัดงานในวัด) ถึงให้ขึ้นได้ โลกนี้มานไม่เคยมีความยุติธรรม.....
ป้าตา ก็เลยมีโอกาสได้เดินดูรอบๆ วัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร
วัดมหาพฤฒาราม วรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ตั้งอยู่บนถ.มหาพฤฒาราม แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก
วัดมหาพฤฒารามเป็นวัดโบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของคลองผดุงกรุงเกษม แต่เดิมในช่วงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัดนี้แต่เดิมชื่อว่า "วัดท่าเกวียน" เนื่องจากเคยเป็นที่พักแรมของกองเกวียน ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ แต่ต่อมาชาวบ้านก็พากันเรียกชื่อวัดนี้ว่า "วัดตะเคียน" สันนิษฐานว่า เรียกชื่อวัดตามต้นตะเคียนที่ขึ้นหนาแน่นอยู่รอบบริเวณวัดที่มีอาณาบริเวณถึง 14 ไร่
ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เคยอยู่ในเพศบรรพชิตได้เสด็จมาพระราชทานผ้าป่าที่วัดนี้ ในคราวนั้น พระอธิการแก้วเจ้าอาวาสได้ทูลถวายพยากรณ์ว่า "จะได้เป็นเจ้าชีวิตในเร็วๆนี้" พระองค์จึงทรงรับสั่งว่า "ถ้าได้ครองแผ่นดินจริงจะมาสร้างวัดให้อยู่ใหม่" หลังจากนั้นหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์จึงโปรดเกล้าฯให้สถาปนาวัดขึ้นใหม่ ในเวลาต่อมาจึงโปรดให้พระราชทานสมณะศักดิ์ พระอธิการแก้วเป็น "พระมหาพฤฒาจารย์" และโปรดให้สร้างพระอารามใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2397 จนถึง พ.ศ. 2409 โดยโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) เป็นแม่กองในการสถาปนา ต่อมาเมื่อทำการก่อสร้างแล้วเสร็จ จึงโปรดฯ ให้สถาปนาขึ้นในพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดมหาพฤฒาราม"
จิตรกรรมฝาผนังของที่วัดมหาพฤฒาราม แตกต่างจากวัดอื่นตรงที่เขียนเรื่อง "ธุดงควัตร13" และการไปสืบพระพุทธศาสนาที่ลังกา แทนการเขียนเรื่องทศชาติชาดกหรือพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ของวัดอื่น โดยนำเอาศิลปะทางตะวันตกมา นำเอาวิธีการเขียนภาพแบบ 3 มิติ ตามวิธีการเขียนภาพจิตรกรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในการเขียนภาพทิวทัศน์ มีการจัดองค์ประกอบภาพให้มีความลึก เหมือนจริงตามธรรมชาติ และรับเอารูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกเข้ามาใช้ในการวาดภาพตกแต่งประดับอาคาร
พระอุโบสถของวัดมหาพฤฒาราม สร้างเป็นรูปโถงตลอด หลังคาลด 2 ชั้น ประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าจั่วเป็นสัญลักษณ์พระมงกุฎวางอยู่บนพานสองชั้นในบุษบก ซึ่งตั้งอยู่บนช้างสามเศียร หมายถึง เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่4) ผู้ครองสยามประเทศ ทรงเป็นผู้สร้างพระอุโบสถหลังนี้ บานประตูและหน้าต่างของพระอุโบสถ เป็นรูปวัวลาก หมายถึง ชื่อเดิมของวัดท่าเกวียน รูปช้างหมายถึง เจ้าอาวาสพระอธิการแก้ว อายุ 107 ปี รูปเทวดาทูลพานสองชั้น ซึ่งมีพระมงกุฎวางอยู่ข้างบน หมายถึง เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่4)
วิหารเหนือ <
พระปรางค์ 4 องค์สร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าทั้ง 4 พระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว โดยมีขนาดใหญ่เล็กเรียงกัน ตั้งอยู่ระหว่างอุโบสถกับวิหารเหนือ
พระพุทธไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ศิลปกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน)ของวัดพระมหาพฤฒารามใหญ่โตเป็นรองก็แค่พระพุทธไสยาสน์ที่วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์)เท่านั้น เป็นพระพุทธไสยาสน์ที่มีมาแต่ครั้งยังเป็น วัดท่าเกวียน และ วัดตะเคียน แต่เดิมไม่ได้ใหญ่ยาวดังในปัจจุบัน แต่รัชกาลที่ 4 ทรงปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปให้ใหญ่ขึ้น เป็นขนาดความยาวจากพระบาทถึงพระเกตุมาลา 19.25 เมตร และ พระอุระกว้าง 3.25 เมตร พระนาภีกว้าง 2 เมตร
"ต้นพระศรีมหาโพธิ์" ต้นไม้แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ยืนต้นสยายร่มใบในบริเวณวัด เป็นต้นโพธิ์ที่ทางวัดได้นำหน่อมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ในรัชสมัยรัชกาลที่4 คนไทยมักนิยมเรียกต้นโพธิ์ต้นนี้ว่าต้นโพธิ์ลังกา
มาอ่านข้อมูลเพิ่มเติม...บอกว่าภายในวัดมี "เจ้าแม่กวนอิม" สีทององค์ใหญ่ไว้ให้สักการะบูชาอีกด้วย...แต่ป้าตา เดินหาไม่เจออ่ะ
ได้เวลาจะทำพิธีแล้ว เลยเดินออกมาดูอีกฝั่งของพระเมรุ คนเริ่มเยอะขึ้นแล้ว
เริ่มพิธีพร้อมๆ กับที่สนามหลวง และประชาชนคนไทย ก็ได้ร่วมกันส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย..
พระองค์จะสถิตอยู่ในใจคนไทยตลาดกาล...
ขอบคุณ BG ฟ้าแจ่ม จาก ป้ามด ณ ใจดี
ขอบคุณเจ้าของภาพสองภาพที่ไปจิ๊กมาจากไหนใครทราบบ้าง
ข้อมูล จากเว็บวิกิพีเดีย
Create Date : 30 มกราคม 2552 |
|
9 comments |
Last Update : 30 มกราคม 2552 16:57:58 น. |
Counter : 2764 Pageviews. |
|
|
|