E-r-o-s-a-g-a-p-e : Unlimited Love ^_^
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2553
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
9 มิถุนายน 2553
 
All Blogs
 
++..กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย และประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพ..++

ประเทศไทยไม่ใช่แค่กรุงเทพ และกรุงเทพไม่ใช่แค่ประเทศไทย

หลังจากผมได้รับทราบข่าวสั้นๆ เรื่องมาตรการปรองดองหนึ่งในนั้นจากรัฐมนตรีคลัง เกี่ยวกับเรื่องการนำใบเสร็จการท่องเที่ยวไปหักลดหย่อนกาษีแล้วก็รู้สึกดีใจอยู่แว่บหนึ่ง แต่ก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับการรับรู้โครงการพันธมิตร เอ๊ย พันธบัตรไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ว่ามันไม่ต่างอะไรกับการออกเช็คช่วยชาติแต่อย่างใด กล่าวคือ เป็นการแก้ปัญหาโดยปลายเหตุแท้ๆ

ในฐานะที่ผมเป็นคนเมืองคนหนึ่งที่ชาชินกับวิธีการบริหารประเทศของ “พรรคสวยแต่รูปจูบพอได้แต่ไม่หอม” อย่างประชาธิปัตย์มานานจนรู้ซึ้งกันโดยสามัญสำนึกว่าพรรคนี้มีแต่คนดีๆ คนเก่งๆ แต่เสียอย่างเดียวคือ “ทำงานไม่เป็น เน้นแก้เฉพาะหน้า ไม่ศึกษาถึงสาเหตุที่แท้จริง” อันเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่แก้ไม่หายเสียแล้ว ตอนคุณอภิสิทธิ์มาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ๆ ผมหวังว่าพรรคนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่แล้วก็ดีได้ไม่นานก็กลับมาเป็นดังเดิม (เผลอๆ อาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ) อนึ่ง ผมออกตัวก่อนว่า บล็อกนี้เขียนด้วยความรู้สึกกึงๆ อคติต่อรัฐบาล และไม่ต้องมาบอกให้ผมเขียนแบบเป็นกลาง เนื่องจากในสภาพบ้านเมืองทุกวันนี้ หาคนเป็นกลางได้ยากยิ่งนัก และจำใจบวกจำเป็นที่จะต้องเลือกข้างทุกครั้งไป โดยเฉพาะในเหตุการณ์เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ดังนั้น ถ้าไม่ชอบและรู้สึกขัดใจก็ไม่ต้องอ่านนะครับ ผมเตือนคุณแล้ว

หลังจากคนต่างจังหวัดทยอยมาตั้งค่ายและเมืองย่อมๆ ณ ย่านราชดำเนิน ตามรอยผู้เรียกร้องประชาธิปไตยเช่น 14 ตุลา และ 6 ตุลา ใจกลางเมืองท่ามกลางเสียงบ่นก่นแช่งด่าของบรรดาผู้สนับสนุนรัฐบาลทั้งหลายที่จะต้องเดือดร้อนเรื่องความไม่สะดวกอันเป็นปกติ เช่นเดียวกับที่ผมเคยบ่นและแช่งด่าครั้งที่บรรดาผู้ต่อต้านรัฐบาลที่พวกเขาอ้างว่า “นอมินีทักษิณ” ในครั้งนั้น แต่ท่านรู้ไหมครับว่าอะไรที่ต่าง ครั้งนั้นเสียงก่นด่าอย่างไรก็ไม่ดังเท่าครั้งนี้ เนื่องมากจากเหตุผลเดียว เพราะครั้งนั้น คนที่ประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุง ซึ่งมักจะเชื่อตัวเองว่า “รับข้อมูลรอบด้าน” และเป็นดังที่น้องคนชั้นกลางถึงชั้นสูงที่มักจะเสพติดและลุ่มหลงในการวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลจากสื่อกระแสหลักๆ บ้างก็เป็นเพื่อนร่วมงาน เป็นเจ้านาย เป็นหัวหน้าของตัวเอง

เมื่อพวกเขาที่มาประท้วงเหล่านั้นถูกรัฐบาลสมชายสั่งสลายการชุมนุมด้วยไม้และกระบอง พวกเขาถึงรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นแทน และสาปแช่งไปยังนายกขณะนั้นว่า “เป็นคนหรือเปล่า?” ดังที่นายกอภิสิทธิ์ในขณะนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ลั่นวาจาสิทธิ์ไว้ว่า “ต่อให้พันธมิตร (ผู้ชุมนุม) ทำผิดอย่างไร รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิ์ฆ่าประชาชน” มันช่างต่างจากครั้งนี้เสียเหลือเกิน ที่ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ดันเป็นชาวต่างจังหวัด เป็นผู้ที่มิได้ใช้ชีวิตร่วมกับเราๆ ในกรุงเทพ ส่วนใหญ่ไม่เคยรู้รสชาติของการติดอยู่บนถนน หรือการยืนบนรถไฟฟ้าแออัดๆ ว่ามันทรมานเท่าใด พวกเขารู้แต่ปัญหาราคาสินค้าพืชผลทางเกษตรที่ถูกกดราคาเหลือเกิน เมื่อพวกเขาได้เข้ามาประท้วงรัฐบาลด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐบาลไม่เคยเหลียวแลความเป็นอยู่พวกเขา เรากลับรู้สึกว่ามันกลับรบกวนความเป็นอยู่ของพวกเราและ “ลำบากเกินจะอดทน” จนรับไม่ได้

พวกเขาล้วนเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่น่าไว้ใจ ดูสกปรกมอมแมมและไม่มีมารยาท ซึ่งไม่ควรที่จะมายืนอยู่ใจกลางเมืองหลวงและมาทำให้พวกเราลำบากอย่างนี้!! เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุม กระแสในเมืองจึงมีทัศนคติที่เป็นบวก และรู้สึกโล่งใจที่สามารถ “ชำระล้าง” กรุงเทพให้สะอาดจากความ “สกปรกมอมแมม” ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่พวกเขากลับไม่เคยนึกเลยว่า การ “ชำระล้าง” ครั้งนี้จะต้องจ่ายค่าจ้างให้ผู้ชำระล้างอย่างแสนแพงด้วยช็อปปิ้งมอลล์อันสุดหรู แต่ไม่เป็นไรหรอก พวกเขาคิดว่า การ”สั่งสอน” พวกไม่เจียมกะลาหัวที่คิดจะเทียบชั้น “คนกรุง” ครั้งนี้ก็คงจะคุ้ม เพราะอย่างน้อยก็ได้ทำให้พวกเขาได้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนเดิม เพียงแต่อาจจะเปลี่ยน “สถานที่เที่ยว” ไปบ้าง

มาตรการปลอบใจคนกรุงขวัญเสียมากมายหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายโดยการเปิดแหล่งช็อปช่วยชาติ ไม่ว่าจะตลาดนัดสีลม / อังรีดูนังต์ / ทองหลอ รวมถึงที่สยามเซ็นเตอร์ที่ๆ เคยเป็นสถานที่ชุมนุมด้วย แคมเปญต่างๆ ออกมาเพื่อซับน้ำตาคนกรุงเทพทีได้รับผลกระทบเดือดร้อนจากการชุมนุม ยกตัวอย่างเช่น ใบเสร็จการท้องเที่ยวไปหักภาษี ซึ่งผมมองว่า ผู้ได้รับผลประโยชน์ก็คือมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพเต็มๆ ที่จะได้ใช้วันหยุดไปอย่างเต็มที่ในต่างจังหวัดและอย่างสบายใจแถมยังสบายกระเป๋าด้วย (ผมมองว่าในต่างจังหวัดเองก็อาจจะไม่ได้รับประโยชน์ตรงนี้เท่าไรนักเมื่อเทียบกับกำลังซื้อในเมืองหลวง) มาตรการเงินกู้ฉุกเฉินจากผุ้ได้รับผลกระทบที่ถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่องและทันควัน ประหนึ่งว่า นี่คือปัญหาระดับประเทศเลยทีเดียว

ผมไม่ปฏิเสธครับว่ากรุงเทพเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ท่านลืมไปหรือเปล่าว่า ประเทศไทยยังมีอีก 70 กว่าจังหวัด และคนไทยยังมีอีกกว่า 60 ล้านคนที่ยังลำบาก ชาวนาชาวไร่ที่พวกท่านเมินเฉยต่อปัญหาราคาข้าวและพืชผลทางเกษตรนั้น ท่านได้แก้ไขปัญหาให้เร็วเฉกเช่นครั้งนี้หรือเปล่า คำถามนี้คงเป็นคำถามที่น่าจะตอบได้ไม่ยาก เพราะมันไม่สำคัญเท่าการรักษาฐานเสียงผู้สนับสนุนรัฐบาลในกรุงเทพหรอก เพราะพวกท่านก็มองว่า ประเทศไทยมีแค่ “กรุงเทพ” และต่างจังหวัดก็เป็นแค่ “โสเภณี” ที่ต้องให้บริการ “กรุงเทพ” อย่างเต็มที่และไม่มีสิทธิ์มีปากเสียงแค่นั้นเอง

เมื่อคนต่างจังหวัดมีค่าเป็นดัง “โสเภณี” ที่มีหน้าที่บำบัดบำเรอ “ความเดรียด” จากงาน และมีหน้าที่สนองป้อน “อาหารการกิน” ให้กรุงเทพแล้วไซร้ จึงไม่แปลกใจเลยที่แม้จะมีกี่ชีวิตเฉียดร้อยที่ตายไป ก็ไม่อาจเรียกร้องความสนใจหรือความสงสารใดๆ จากคนกรุงเทพได้ เนื่องจากมันมิใช่ “พวกเขา” มันไม่ได้อยู่ในระดับ “เดียวกับเขา” ช่างเป็นลักษณะชนชั้นแบบ “เจ้า-ทาส” อันซึมซาบอยุ่ในจิตสำนึกของชนชั้นกลางดัดจริตในกรุงเทพตลอดมา ที่มักจะถือว่า ตัวเองเป็นผู้เจริญยิ่งแล้ว เป็นผู้ฉลาดยิ่งแล้ว และเป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะเรียกร้องเอาอะไรๆ ก็ได้ก่อนจาก “รัฐบาล” เสมอๆ ซึ่งถ้ารัฐบาลตอบสนองก็ดีไป แต่ถ้ารัฐบาลไม่ตอบสนอง ก็จะโดนขุดคุ้ยหาจุดบกพร่องต่างๆ มาโค่นล้มตลอดเวลา


ด้วยลักษณะของคนกรุงเทพบางส่วนที่ “ติดหรูจนเคยตัว” และ “ทำอะไรตามๆกันจนเคยชิน” และเสพข่าวจากสื่อกระแสหลักๆ และเลือกที่จะเชื่อเฉพาะข่าวจากบุคคลที่ “ชอบ” เท่านั้น บวกกับกรุงเทพมีทุกอย่างที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัย 4 เงินทองและความสะดวกสบาย ทำให้พวกเขาถึงรู้สึก “ขยะแขยง” ความลำบาก และพลอย “ขยะแขยง” ผู้ที่ลำบากกว่าตัวไปด้วย ดังจะเห็นได้จาก ความเหลื่อมล้ำของฐานะของคนที่อยู่ในชุมชนแออัด ที่คนชั้นสูงมักจะรีบๆ เดินๆ ผ่านไปให้เร็วที่สุด แต่เลือกที่จะเดินอยู่ท่ามกลางพารากอนอย่างช้าที่สุด หรือลักษณะของการโยนเศษเงินให้กับขอทานหรือวนิพกอย่างกับว่าตัวเองใจดีเสียเต็มประดา แต่กับไม่เสียดายที่จะใช้เงินเลี้ยงเพื่อนฝูงเป็นพันๆ ในภัตตาคารหรูมีระดับ โอกาสที่พวกเขาจะแบ่งปันความรักให้คนต่างจังหวัดมีเพียง “ค่ายอาสา” และ “คาราวานทำบุญ” เท่านั้นที่คนต่างจังหวัดมีสิทธิ์จะได้รับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากคนกรุงเทพที่ส่วนใหญ่มักจะไปถ่ายรูปหรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูงมากกว่าที่จะไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา



เพราะความรู้สึก “แปลกแยก” ระกว่างชนชั้นที่วัดกันด้วยอำนาจ “เงินตราและตำแหน่ง” ในสังคม โดยเฉพาะเมืองหลวงนี้เอง ที่ได้ “แบ่งแยก” เมืองกับต่างจังหวัดไว้ดังเป็น “คนละโลก” พวกเขามักจะดูถูกคนต่างจังหวัดที่นิยมชมชอบใน “นิสัยใจคอ” มากกว่าการ “แต่งตัว” ว่าเป็นคน “โง่ เซ่อ ไม่ฉลาด” เช่นเดียวกับที่คนต่างจังหวัดมองคนเมืองว่าเป็นพวกมองการ “แต่งตัว” มากกว่ามอง “นิสัยใจคอ” ซึ่งพวกเขาล้วนสรุปว่าคนเมืองล้วน “เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวเอง ดูถูกคนจน” และยิ่งเกิดการท้าทายอย่างซึ่งๆ หน้าในการยึดครองจุดใจกลาง “ความสำราญ”ของชาวกรุงเทพ และเป็นการ “มวงบุญคุณ” ครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากไม่สามารถสู้รบปรบมือกับรัฐบาลคนชั้นสูงได้ในทุกๆ ด้าน และในที่สุด กรุงเทพ เอ้ย ต้องประเทศไทยสินะ ได้ผ่านเหตุการณ์สงครามกลางเมืองนี้ไปได้โดยการพ่ายแพ้ของฝ่ายชนชั้นล่างและด้วยเสียงปรบมือจากบรรดาชนชั้นนำทั้งหลายแหล่ อันดูจะเป็นบริบทมาตรฐานไปเสียแล้วในการปฏิวัติประชาชนทุกประเทศ ที่หากไม่มีความร่วมมือและเกี้ยเซี้ยกันกับชนชั้นสูงและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในประเทศแล้วก็ยากจะสำเร็จ

เหตุการณ์เช่นเทียนอันเหมิน พม่า/เขมรโมเดล ดูจะเป็นบทเรียนให้คนชั้นล่างจะต้องเจียมตัวเสมอไปถ้ายังอยากจะมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ความแตกต่างทางชนชั้นมาทำให้แตกแยกอย่างนี้ และนั่นทำให้พวกเขาต้องยอมรับโดยดุษณีว่า พวกเขาไม่มีสิทธิ์แตะต้องกรุงเทพ และควรอยู่ในที่ๆ พวกเขาควรอยู่ และก้มหน้ารับชะตากรรมในฐานะเมืองขึ้นของกรุงเทพต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงได้ตราบนานเท่านาน แต่พวกเขาจะทนได้อีกสักเท่าไรกัน..เพื่อนคนหนึ่งจากต่างจังหวัดที่มาชุมนุมบอกกับผมว่า เวลากรุงเทพเดือดร้อน เราคนต่างจังหวัดพลอยห่วงกรุงเทพไปด้วย แต่เวลาพวกเขาเดือดร้อนละ มีบ้างไหมที่คนกรุงคนเมืองจะสนใจ..

ดังนั้น. ผมเชื่อว่า บทเรียนครั้งนี้จะเป็นกระบวนการขับเคลื่อนความรู้สึกถึงความ “อยุติธรรม” ที่ซ่อนอยู่ภายไต้วาทกรรม “ปรองดอง” ให้แผ่ขยายยิ่งขึ้นๆ ในบรรดาผู้เจ็บปวดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ดังคำกล่าวที่กลายเป็นดังสุภาษิตของการเมืองภาคประชาชนของไทยไปแล้วว่า “ยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด No justice No Peace”



Create Date : 09 มิถุนายน 2553
Last Update : 9 มิถุนายน 2553 20:06:46 น. 5 comments
Counter : 571 Pageviews.

 
จะว่าไปจบต้นกล้าอาชีพมาตั้งแต่ตุลา52 ยังได้เงินไม่ครบเลย ไม่เห็นมีใครมาเยียวยา(เกี่ยวไหม๊????)


โดย: pinklilac วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:22:33:59 น.  

 
ปัญหามันอยู่ที่ สส.จากต่างจังหวัดมันไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง
และไม่มีความมุ่งมั่นที่จะกระจายความเจริญมั่งคั่งออกสู่ภูมิภาค
ขาดความรู้ในการสร้างแผนแม่บทที่จะสร้างความเจริญและแหล่ง
อาชีพออกสู่ภูมิภาค คนพวกนี้ทำงานใหญ่ไม่เป็นครับ ดีแต่คอย
วุ่นกับการหาเงินงบประมาณมาลงในพื้นที่ตัวเองเป็นคราว ๆ ไป
โดยไม่เคยคิดที่จะช่วยกันผลักดันรัฐบาลให้สร้างและกระจาย
ความเจริญออกไปสู่ภูมิภาคอย่างยั่งยืนและต่อเนื่องอย่างเป็นระบบ
และมีรูปธรรมที่ชัดเจน ทั้ง ๆ ที่กรุงเทพเองมี สส.ได้เพียง 36 คน
จากจำนวน สส.ทั้งประเทศรวมทั้งสิ้น 400 คน

ถ้าจะมองให้ใกล้กับความจริงเข้าไปซักหน่อยก็คงจะต้องเจาะ
ลงไปที่เจตนาในการเข้ามาสู่วงการเมืองของผู้แทน ฯ จากต่างจังหวัด
ซึ่งแต่ละคนก็มองอยู่แต่กับความเห็นแก่ตัวและการแสวงประโยชน์
โดยแลกมาด้วยการคอยทำตาม"มติพรรค"เพื่อความอยู่รอดของพรรค
หรือรัฐบาลที่พรรคของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยเท่านั้น

ดูง่าย ๆ ก็แล้วกันครับ ขนาดรัฐมนตรีมันทุจริตโกงกินในโครงการ
ของท้องที่เขตเลือกตั้งและจังหวัดของตัวเองแท้ ๆ

.. มันยังยกมือไว้วางใจให้ด้วยความยินดีอ่ะ ..


โดย: มหาชำร่วย (ยุคที่2..มหาReload ) วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:2:22:46 น.  

 
สวัสดีครับ ยุคนี้ มันต้องสามัคคีกันครับ จำเป็นต้องลดบทบาท ของคนที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกครับ โดยเฉพาะแกนนำม๊อปพันธมิตร


โดย: BarBoy วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:21:07:55 น.  

 
แล้วจะโทษใครได้เล่า ถ้าคนต่างจังหวัดเหล่านั้นไม่พยายามทำตัวให้เหนือกว่า แต่นี้ตามเค้าหมด เค้าบอกอะไรก็เชื่อ ไม่กล้าคัดค้าน ไม่พยายามที่จะปกป้องท้องถิ่นของตนเอง ให้กลุ่มนายทุนจากกรุงเทพ หรือพวกข้าราชการฉ้อฉล นักการเมืองที่เห็นแก่ผลประโยชน์เข้ามาคลอบครองท้องถิ่นของตัวเองได้ ยอมให้เค้าทำตัวได้เหนือกว่ายอมอยู่ภายใต้อำนาจอันไม่ชอบธรรม ยอมเป็นเบี้ยล่าง ยอมเค้าเสียทุกเรื่อง ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ประโยชน์ที่เค้าเอามาล่อหรอกหรือ ลองศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นที่เขาใหญ่ซิ ถ้าคนท้องถิ่นไม่เห็นด้วยเค้าจะทำได้ไหม ทุกครั้งที่กลับบ้านรู้สึกขัดใจอย่างนี้มานานแล้ว ไอ้คนที่สามารถสู้ได้กลับนิ่งเฉย แต่กับคนที่ไม่พร้อมจะสู้ กลับอยากจะสู้ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความพร้อม สมัยก่อนดิฉันพยายามต่อสู้ขัดขวางการขายที่ให้กับนายทุน พยายามจะเตือนจะบอกสักวันหนึ่งจะไม่มีที่ทำกิน ไม่เห็นมีใครเชื่อสักเจ้า แต่กลับเห็นแก่เงิน เค้าปั่นราคาขึ้นให้นิดหน่อยรีบขายเพื่อเอาเงินไปซื้อของใช้ฟุ่มเฟือย สุดท้ายไม่มีที่ทำกิน
เห็นด้วยกับที่คุณบอกทุกประการ แต่ก็ไม่อยากจะโทษคนกรุงเทพ เพราะในกรุงเทพมันมีคนต่างจังหวัดปนอยู่เกินครึ่งได้ ตราบใดที่คนต่างจังหวัดไม่พยายามจะสู้ มันไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้หรอก ใครจะช่วยเค้าได้ถ้าเค้าไม่ช่วยตัวเองก่อน ไม่อยากให้ใช้วิธีการแก้แค้น แต่อยากให้คนต่างจังหวัดยกระดับตัวเองให้เท่าเทียมกับคนกรุง สร้างความเจริญให้กับท้องถิ่นของตัวเอง


โดย: หนึ่ง ต. ต่อต้านความรุนแรง IP: 125.25.70.187 วันที่: 10 มิถุนายน 2553 เวลา:21:16:04 น.  

 
เสียดายที่ผมไม่ได้อ่านก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เหตุการณ์ยังดำเนินอยู่ในบรรยากาศ
เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักผู้เขียนกระทู้ในฐานะเพื่อน
เสียดายที่บทความการวิเคราะห์ดีๆด้วยถ้อยคำและเรียบเรียงที่สวยงามครบถ้วน

แต่..เต็มไปด้วยอคติหรือกรอบคิดที่บิดเบี้ยว
ผมไม่รู้ว่าคุณคือใคร ต่อให้คุณคิดเก่ง เขียนเก่งเพียงใด แต่ถ้าทัศนคติและ/หรือเจตคติที่ผิดเพี้ยนย่อมทำให้คุณวิเคราะห์ผิดพลาด (ใหญ่หลวง)เยี่ยงนี้
ผู้อ่าน วิญญูชนทั้งหลายคงหัวร่อและทน!! อ่านไม่จบเหมือนผม
บังเอิญที่ผมไม่ใช่คนกรุง..ผมเป็นคนชนบทห่างไกลในเชียงใหม่ โชคดีที่ยังพอได้ศึกษาเล่าเรียนมาบ้าง
บทความนี้ของคุณ มันก็แค่กอ"สวะ" ในน้ำเน่ากลางกรุงเท่านั้นเอง


โดย: คนเจียงใหม่ไม่แดง IP: 10.94.57.15, 61.19.99.147 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:9:55:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

The Prophet
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนบ๊องๆ คนหนึ่ง..
รักดนตรี เสียงเพลง
เตบอยากเป็นครูบ้านนอก
แต่ดันเป็นโปรแกรมเมอร์เมืองหลวง
ชอบใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ
ฝันอยากจะเป็นบาหหลวง
แต่ดันแอบหลงรักสาวอยุ่ร่ำไป
ใครๆ บอกว่าเป็นคนดี แต่ตัวเองบอกว่าคงไม่ดีเท่าไร
อย่างน้อยก็หน้าตาหละ...
แต่เห็นหน้าตาอย่างนี้ ก้อจบปรัชญาราม นะคร้าบบบ
Friends' blogs
[Add The Prophet's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.