The world around us: My perspective
Group Blog
 
 
เมษายน 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
21 เมษายน 2550
 
All Blogs
 
Me Myself... ขอให้หนังเรื่องนี้จงเจริญ

จองบล็อกมาได้สักพัก แต่ไม่มีแรงเขียน เลยผลัดมาเรื่อยๆ
จนวันนี้กลับมาโพสต์ใน pantip แล้วสังเกตว่าชื่อตัวเองขึ้น My Blog แล้ว
แต่พอคลิกเข้าไปดันไม่มีอะไร
เวรละสิตู กลัวโดนคนหลงคลิกเข้ามาด่าแฮะ
เลยต้องเจิมโดยการเขียนบล็อกแรกเสียหน่อย

อยากให้บล็อกนี้เป็นเหมือนบันทึกชีวิตของตัวเอง
มีเรื่องอะไรมาแบ่งปัน มีเรื่องมาบ่น มีประสบการณ์มาเล่า
ตอนแรกคิดว่าจะเล่าเรื่องการเดินทางล่าสุดที่ผ่านมา
จริงๆ ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ขับรถจากพิษณุโลกไปกรุงเทพ
แต่มันมีเรื่องให้บ่นเยอะเหลือเกินสำหรับการใช้ชีวิต "เสี่ยงภัย" ของคนไทย

พอคิดไปคิดมา
จะเริ่มต้นด้วยเรื่องบ่นๆ เซ็งหัวจิตหัวใจก็คงไม่ดี จะเสียฤกษ์เปล่าๆ
ก็เลยเอาหนังล่าสุดที่พึ่งไปดูเมื่อวานมาคุยดีกว่า

บอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่นักวิจารณ์อาชีพ ไม่ใช่คนมีความรู้ด้านหนังมากมายอะไร
แต่ว่าผมมั่นใจว่าความรักหนังของผมไม่น้อยหน้าใครก็เท่านั้นเอง
ดังนั้น เอาเรื่องมาคุยกันสนุกๆ ดีกว่าเนอะ

### คำเตือน.. มี spoil หรือมีรายละเอียดของหนังอยู่ด้วย
ผู้ยังไม่ได้ดู แต่อยากและจะไปดูหนังเรื่องนี้ ควรพิจารณาก่อนอ่าน ###

เริ่มด้วยผลงานกำกับเรื่องแรกของ พงพัฒน์ วชิรบรรจง เรื่อง "Me Myself ขอให้รักจงเจริญ"


(แปะใบปิดหนังเวอร์ชันอินเตอร์ให้ดูเสียเลย)

นี่เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผมร้องไห้ได้
ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ ที่เศร้าจริงๆ นั้น
อย่างมากก็ทำให้ผมน้ำตาคลอเท่านั้น (เช่น "Sad Movie" เป็นต้น)
แม้ว่าผมออกจะเป็นคนอ่อนไหวง่าย
แต่หนังบางเรื่องที่แม้จะเศร้ากว่า Me Myself ก็ทำผมน้ำตาไหลไม่ได้
ซึ่งอาจเป็นเพราะหนังเศร้าเรื่องอื่นๆ เป็นหนังต่างประเทศต่างวัฒนธรรม
เลยทำให้เกิดความรู้สึกร่วมได้ไม่เพียงพอ
ส่วนหนังไทยในยุคหลังๆ ถ้าจะหาหนังดีๆ แล้วเศร้าจริงๆ ก็คงยากหน่อย

ฉากที่ซึ้งที่สุดสำหรับผมแล้ว คงไม่พ้นฉากสุดท้าย
ฉากที่นางเอกถามพระเอกอยู่ประโยคเดียวว่า "แทนยังรักอุ้มอยู่หรือเปล่า"
คำตอบที่แทนบอกอุ้มนั้น แทบเป็นคำเฉลยความรู้สึกที่แทนมีให้อุ้มเลยทีเดียว
“ความสัมพันธ์ของเรา มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกอุ้ม โลกนี้ไม่ได้มีเราอยู่เพียงสองคน”
(ประโยคอาจไม่ตรงนัก แต่ใจความใช่แน่)
แววตาของแทนตอนนั้นสื่อถึงความห่วงใยที่แทนมีให้อุ้มชัดเหลือเกิน
ชัดพอที่เห็นเลยว่า แทนห่วงสถานะในสังคมของอุ้มมากกว่าความรู้สึกของตนเอง

ประโยคต่อมายิ่งประทับใจ เนื่องจากอุ้มย้ำถามแทนด้วยประโยคเดิม
“ยังรักอยู่ไหม”
“แทนยังรักอุ้มอยู่ไหม”
คำถามเดิม พร้อมกับดวงตาของอุ้มตอนนี้ซึ่งผมชอบมาก
บ่งชัดว่าสิ่งที่แทนห่วงนั้น มันไม่มีความสำคัญอะไรเลยสำหรับอุ้ม
เมื่อเทียบกับความรู้สึกของแทนที่มีต่อเธอ

และทันทีที่แทนตอบกลับมาว่า “ยังรักสิ”
อุ้มก็โผเข้ากอดแทน พร้อมกับพูดว่า
“แค่นี้ก็พอแล้ว แค่แทนยังรักอุ้มก็พอแล้ว”

นี่แหละครับ บทสรุปของหนังเรื่องนี้ เป็นบทสรุปที่จับใจเหลือเกินครับ
อีกทั้งมันยังเป็นนิยามของความรักสำหรับผม
ชายผู้ชอบ motto ที่ว่า Love conquers all เสียเหลือเกินอีกด้วย

*** เพียงแค่เธอรักฉัน เมื่อนั้นสิ่งใดๆ ก็ไม่สำคัญเลย ***
*** อดีตนั้นไม่สำคัญ ปัจจุบันขอเพียงฉันมีเธอ ***

หนังเรื่องนี้ทำให้ผมทึ่งกับพงพัฒน์มาก งานกำกับของเขาประทับใจผมมาก
มีฉากสวยๆ มากมายที่ทำให้ผมต้องมองกรุงเทพด้วยมุมมองใหม่ว่า
เอ ท้องฟ้ากรุงเทพมันสวยอย่างนี้เชียวหรือ

หรือฉากเซอร์ๆ อย่างตอนที่แทนกลายเป็นเด็กที่ถูกห้อมล้อมด้วยป้าๆ ทั้งหลาย
มีเพียงบากฉากในช่วงแรกๆ ที่ผมรู้สึกว่าถูกพยายามยัดเข้าไปเพื่อเรียกเสียงหัวเราะ

อนันดาทำให้ผมเปลี่ยนใจมาชอบเขา
หลังจากที่ผมเห็นเขาเล่นชัตเตอร์แล้วรู้สึกธรรมดา (คือชอบแต่ตัวหนัง)
ฉากนู้ดของเขาอาจเป็นจุดด่างจุดเดียวที่ผมพอนึกออกในหนังเรื่องนี้
คือผมออกจะแปลกใจว่า Drag queen นี่เขาเล่นกล้ามจนหุ่นขนาดนี้เชียวหรือ
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าจะมองแบบเข้าข้างหนังเสียหน่อย
เราก็บอกได้ว่าฉากนี้แหละที่บ่งบอกว่าแทนยังมีความเป็นผู้ชายอยู่ข้างใน
มากกว่าสิ่งที่ถูกขัดเกลาโดยสิ่งแวดล้อมภายนอก

หนังพยายามบอกถึงความพยายามของแทนที่จะดูแลและปกป้องคนที่เขารัก
สื่อให้เห็นถึงความอ่อนไหวต่อความรักของแทน
ซึ่งอนันดาก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี และพงพัฒน์ก็กำกับออกมาได้น่ารัก
ตัวอย่างก็คือ ฉากที่แทนหายไปเพื่อเล่นเอาตุ๊กตามาให้โอม
และแม้ฉากนี้จะดูคล้ายจงใจสร้างอารมณ์ แต่มันก็สื่อถึงตัวตนของแทนได้ดีเลยทีเดียว
ในเมื่อวัยเด็กของแทนวนเวียนอยู่กับบาร์เกย์ในภูเก็ต
แวดล้อมด้วยผู้ใหญ่ที่ต้องแสดงโชว์
ผมมองว่าแทนกำลังโหยหาความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งพอเขาได้รับความรักแบบนี้จากอุ้มและโอม
เขาจึงพยายามยื้อยุดความรักนี้เอาไว้ถึงที่สุด
และด้วยเหตุนี้เอง พออุ้มและโอมตัดพ้อว่าแทนยิงปืนไม่เก่งเลย
แทนจึงย้อนกลับไปพยายามใหม่เพื่อเอาตุ๊กตาที่โอมอยากได้มาให้
(บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่คิดเข้าข้างหนังไปเสียหน่อย
แต่ถ้าคุณรักใครสักคน คุณก็ต้องหาข้อแก้ตัวให้เขาบ้างแหละ จริงไหม)

นางเอกใหม่ก็น่าจับตามองมากมาย เริ่มต้นฉากแรกๆ ได้แข็งในบางครั้ง
และเสียงที่ออกจะดังเกินไปในบางที
แต่ในช่วงหลังๆ เธอก็กลายเป็นอุ้มได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดูเป็นสาวที่อยากมีใครสักคนมารักตัวเอง ดูเป็นสาวเก่งที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
ตอนแรกที่เห็นนางเอก ผมก็ว่าเขาน่ารักพอสมควร
และพอดูจบ เขายิ่งน่ารักไปกว่าเดิม

ผมชอบฉากจู๋จี๋กันระหว่างอุ้มกับแทนบนดาดฟ้าครับ
ตอนที่อุ้มตบแทนเบาๆ ที่หัวไหล่แล้วตัดพ้อว่า “แล้วเขาไม่สวยเหรอ”
ผมว่าฉากนั้นน่ารักมากเลยนะ
แล้วก็ทึ่งกับพงพัฒน์ที่กำกับหนังออกมาได้น่ารักขนาดนี้

ส่วนตุ๊ยตุ่ยที่แสดงเป็นบอสของนางเอกนั้น ผมว่าเธอแสดงได้โอเค
ฉากแต่ละฉากที่ออกมาก็มีบทที่ทำให้ได้ยิ้มได้ขำกันเสมอ
ผมเสียดายตรงที่หนังดันไม่มีฉากที่เธอให้คำแนะนำดีๆ กับอุ้ม
ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอก็เป็นเพศที่สามเช่นกัน

สุดท้ายแล้ว คนที่ทำให้นางเอกนึกขึ้นได้ว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับเธอ
กลับกลายเป็นโอม หลานชายของเธอเอง
ฉากที่โอมทาลิปสติกแล้วโผล่ออกมาบอกนางเอกว่า
ถ้าโอมเป็นอย่างนี้แล้วน้าอุ้มเกลียด โอมจะได้ไปอยู่กับน้าแทน
บอกให้เห็นถึงประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้ว่าความรักอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

ผมเชื่อว่า
ภาพของโอมที่ไม่สนใจสิ่งอื่นใด นอกเหนือไปจากได้อยู่ใกล้สิ่งที่ตนรัก
ปลุกให้อุ้มตื่นขึ้นจากความรู้สึกสับสน
ช่วยให้อุ้มได้มองลึกเข้าไปในความรู้สึกของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยฉากถัดจากนี้ก็กลายเป็นฉากที่แทนเต้นรำอยู่
แล้วอุ้มก็เดินเข้ามาเห็นแทนพอดี
ซึ่งแสดงว่าอุ้มเลือกที่จะเดินตามความรู้สึกของตนอีกครั้ง

ภาพของแทนในชุดเต้นรำคงทำให้อุ้มสับสนอีกครั้ง
และทำให้เธอเลือกที่จะเดินหนีในท้ายที่สุด
แม้ว่าแทนจะออกมาเรียกอุ้มไว้ แต่การที่อุ้มถามแทนว่า
“"แทนยังรักอุ้มอยู่หรือเปล่า"
โดยเอียงหน้ากลับมานิดเดียวแทนที่จะหันกลับมา
บอกชัดถึงความสับสนในใจของอุ้ม
รวมไปถึงความกลัวที่จะได้รับคำตอบที่เธอไม่ต้องการ
อุ้มเอียงหน้าอยู่อย่างนี้จนได้รับคำตอบของแทนที่ไม่ตรงกับคำถาม
(กล่าวไปแล้วในตอนแรก)

ซึ่งหลังจากนี้เองที่เธอถึงกล้าพอที่จะหันตัวกลับมาถามแทน
ผมชอบสีหน้าและแววตาของอุ้มตอนนี้มาก
มันดูเด็ดเดี่ยวและบอกว่าเธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะขอรับคำตอบ
แต่ก็สั่นพอให้เห็นว่าเธอหวั่นไหวไม่น้อยกับคำตอบที่จะได้รับ

จากนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเรื่องนี้จบลงด้วยการ happy ending
ถ้าผมจะติ ผมขอติอย่างเดียว คือหนังจบสั้นห้วนไปนิด
ผมเข้าใจว่าการกอดกันของทั้งคู่พร้อมกับรูปคู่ของแทนกับอุ้มที่หน้ากระจก
สามารถสื่อให้เราพอจินตนาการได้เอง
แต่ผมก็ยังชอบกับการที่จะเห็นพระเอกกับนางเอกอยู่ด้วยกันแบบมีความสุขจริงๆ สักหน่อยก่อนหนังจะจบ (ลองนึกภาพหนังเรื่อง 13 going on 30 สิครับ ถ้าหนังจบแค่นางเอกย้อนกลับไปตอนเป็นเด็กได้ แล้วโชว์รูปคู่ของพระเอกนางเอกตอนโตก็คงได้ แต่ผมก็ยังชอบตอนจบปกติของหนัง ที่เราเห็นทั้งสองจูงมือกันแล้วนั่งที่โซฟาหน้าบ้านที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่อยู่ดี)

สรุปแล้วนี่คือหนังที่ผมจะซื้อ DVD เก็บไว้แน่นอน
และหวังว่าจะเห็นหนังที่พงพัฒน์กำกับเรื่องต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้




Create Date : 21 เมษายน 2550
Last Update : 7 พฤษภาคม 2550 12:02:40 น. 6 comments
Counter : 4253 Pageviews.

 
ซื้อเหมือนกัน ชอบมากๆเรื่องนี้


โดย: salami girl วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:18:20:56 น.  

 
ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ครับ เลยไม่ได้อ่านว่าจขบ.เขียนไว้ว่ายังไง กลัวโดน spoil

เอาเป็นว่าเข้ามายินดีที่มีเพื่อนเขียนบล็อคเพิ่มอีกหนึ่ง


โดย: Kino (das Kino ) วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:0:52:27 น.  

 
ตอนแรกก้คิดอยากดูอยู่แล้วนะคะ พอมาอ่านของพี่พล ยิ่งทำให้อยากดูมากขึ้นไปอีก


โดย: Si IP: 125.27.136.64 วันที่: 25 เมษายน 2550 เวลา:14:14:49 น.  

 
เราชอบเรื่องนี้ค่ะ


โดย: ต.เต่าหลังตุง (pintakai ) วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:16:55:01 น.  

 
แวะมาอ่าน พี่พลเขียนวิจารณ์ได้ละเอียดและชัดเจนดีค่ะ ^_^

บีก็เพิ่งไปดูมาค่ะ ซึ้งน้ำตาไหลเหมือนกัน แต่มีฉากที่บีชอบมากกว่าฉากสุดท้ายตอนจบนะคะ

ชอบฉากที่หมอจิตวิทยาพูด แล้วก็กะอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นประโยคเด็ดสรุปเรื่องราวของหนังที่ว่า เราเป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็น หรือเราเป็นสิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น หรือเราเป็นตัวเราเองจริง ๆ กันแน่ ไม่มีใครบอกได้ดีเท่ากับตัวเราเอง

บีชอบหลาย ๆ ฉากในเรื่องนี้นะคะ ตั้งแต่ ฉากที่นางเอกโมโห แล้วพาลว่าไปหมดตั้งแต่คนข้างห้อง หรือหลานตัวเอง แสดงอารมณ์ของผู้หญิงได้ดี แห่ะ ๆ แล้วก็ชอบเจ้าเด็กน้อยน้องโอมในเรื่องนี้ เล่นได้ดีมากเลยทีเดียว ฉากแสดงอารมณ์ทุกฉากนี่ชนะเลิศ ตั้งแต่ฉากไปนั่งเศร้าที่บันไดแล้วพระเอกเดินไปตามหาจนเจอ

ส่วนฉากที่ทำบีร้องไห้ ก็ฉากที่เด็กน้อยโอมทาลิปสติกแล้วพูดนั่นแหล่ะค่ะ ดูแล้วน้ำตาไหลเลยอ่ะ แบบว่า รักที่ผมเป็นผู้ชาย หรือรักที่ผมเป็นตัวผม กันแน่ มันสะเทือนใจได้อย่างดี
และแน่นอนว่า คำตอบมันอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว

ส่วนฉากจบก็ซึ้งแน่นอนอยู่แล้ว แห่ะ ๆ

ว่าแล้วก็อยากเอาอีกเรื่องมาพูดด้วย ไม่ได้มาพูดเปรียบเทียบ แต่ชอบประโยคของหนังเหมือนกัน จากเรื่อง Season Change ที่พอพ่อของพระเอกรู้ว่าเข้าเรียนโรงเรียนดนตรีก็โกรธมาก ถึงขนาดไม่คุยด้วย ลูกต้องไปนอนหอเพื่อนแทน คนคลี่คลายและพูดประโยคเด็ดก็คือ แม่ ที่พูดว่า "คนเราอ่ะนะ อะไรที่ควรจะบังคับไม่รู้จักบังคับ เด็กมันไม่กินผักก็ปล่อยให้มันไม่กินไปจนโตนั่นน่ะ วันนี้โตขึ้นมามันอยากเรียนอะไร จะไปบังคับกะเกณฑ์มันอยู่ได้" และเสียงเพื่อนสนิทที่เคยคุยกันที่ว่า "คนเราอยู่กับลูกไปไม่ได้ตลอดหรอก แต่ว่าสิ่งที่เขาชอบ จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต" ทำให้พ่อคิดได้

ก็คล้าย ๆ กันตรงที่ว่า บางที คนเราทำอะไร อย่างที่ตัวเองต้องการจริง ๆ หรือทำเพราะต้องทำตามที่คนอื่นต้องการกันแน่นะ


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:17:26:46 น.  

 
อ้อ นึกถึงจุดที่มีประโยคขัดแย้งของหนังได้จุดนึงค่ะ ตอนที่พระเอกยังเสียความทรงจำอยู่ แล้วอยู่กับนางเอก ตอนที่กินข้าวแล้วนางเอกไม่ยอมกินหัวหอม แต่ไม่กล้าเขี่ยไว้ข้าง ๆ จานกลัวอายคนอื่น เขาเคยเป็นคนพูดเองว่า "จะกลัวทำไม เราทำอะไรตามที่ใจเราชอบสิ ตัวเราเป็นของเราจะไปแคร์สายตาคนอื่นทำไม" แต่ทำไมตอนจบของหนังกลับพูดว่า "เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้แค่สองคน" กันนะ มันดู contrast กันอ่ะค่ะ ทำไมทีงี้มาเปลี่ยนความคิดซะงั้น

ก้อเป็นแค่จุดสังเกต เฉย ๆ ค่ะ


โดย: Beee (Beee_bu ) วันที่: 30 เมษายน 2550 เวลา:17:30:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

MrET_TK
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




วิศวกรคอมพิวเตอร์โดยปริญญา แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นอาจารย์ในที่สุด (แถมเป็นคณะวิทยาศาสตร์ด้วย ฮะๆๆ) ปัจจุบันเป็นวิทยากรด้านการตลาดออนไลน์ให้กับสถาบันในเครือกรุงเทพธุรกิจและเว็บ exitcorner รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ให้บริษัทเอกชน

ปัจจุบันผมเขียนบทความใน fan page เป็นประจำ (http://www.facebook.com/dr.ekkasit กับ http://www.facebook.com/InspireRanger)
Friends' blogs
[Add MrET_TK's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.