ถนนสายนี้...มีตะพาบครั้งที่ 115ตอน "โกรธ" (Version เรื่องสั้น)
"คุณมีเนื้องอกในสมอง ต้องการจะเอาออกไหมคะ" แพทย์หญิงสาวสวยที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน หลังจากได้ยินคำถามชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดอยู่พักใหญ่ ปลดปล่อยลมหายใจแรงเร็วอย่างกับคนวิ่งมาราธอนมาเขาไม่คิดเลยว่า อาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้น จะมีสาเหตุร้ายแรงเช่นนี้ ความจริงเขาตั้งใจจะแจ้งหมออีกเรื่องว่าเขามีอาการประหลาดที่เกิดขึ้นอีกอาการหนึ่ง หวังจะให้หมอตรวจดูแต่พอได้ยินสาเหตุของโรคเก่าแบบนี้แล้ว ก็อึ้ง พูดอะไรไม่ออก เขาเริ่มมีอาการนี้มาได้สัก6 เดือนแล้ว อาการแปลกๆ ที่ว่านี้คือ เขามักจะจามเวลาที่โกรธ ตอนแรกก็ไม่ได้สังเกตอะไรแต่พอเป็นบ่อยเข้าก็เริ่มจะหงุดหงิดตัวเอง หงุดหงิดโกรธตัวเองก็พาให้ต้องจามอีกเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องกันอย่างกับงูกินหาง ปกติเขาเป็นคนลุกลี้ลุกคนอยู่ไม่สุข อารมณ์เปลี่ยนไว ถึงขั้นที่เพื่อนตั้งฉายาให้ว่า "ไอ้ลิง" ดังนั้นปัญหานี้จึงมีมากมายรุนแรงจนทำลายความสงบสุขในชีวิตของเขา เวลาจาม เขาจะติดนิสัยอยู่อย่างหนึ่งก็คือจามให้เต็มเหนี่ยว ไม่มีออม ไม่มีอั้น เพราะเขามีความเชื่อฝังหัวว่าการอั้นจามจะทำให้เชื้อแบคทีเรียมันย้อนกลับเข้าปอด ดังนั้น การจามของเขาก็เลยเป็นการรบกวนผู้คนที่อยู่รอบข้างไม่น้อยแต่คนเราต้องอยู่ร่วมสังคมก็ผู้อื่น เขาแก้ปัญหาด้วยการพบกันครึ่งทาง หาผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากเวลาที่จามแบคทีเรียย้อนกลับเข้าปอดนิดๆ หน่อยๆ คงไม่เป็นไรหรอก อาการแปลกประหลาดนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ หลังจากที่จาม เขาลืมความโกรธเกรี้ยวจนหมดสิ้น สามารถพูดคุยหยอกล้อกับคนที่ทำให้โกรธได้อย่างหน้าตาเฉย อารมณ์รุนแรงมันคงปล่อยทิ้งไปกับแรงจามหมดแล้วสินะ แต่ถึงอย่างไรอาการนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่น่าพิสมัยนักสำหรับคนทั่วไปเขากลายเป็นเหมือนตัวแพร่เชื้อโรค ที่พร้อมจะจามแพร่เชื้ออยู่ตลอดเวลา ยิ่งช่วงนี้มีประเด็นเรื่องเชื้ออีโบล่าด้วยแล้วเขายิ่งหนักใจ ช่วงเวลาที่กระอักกระอ่วนใจที่สุดก็คือเวลานั่งรถตู้โดยสารซึ่งเป็นสถานที่ปิดทึบ แออัดด้วยผู้คน ซึ่งเขาก็ใช้บริการรถตู้อยู่บ่อยๆเสียด้วย ถึงแม้จะเป็นอาการที่แปลกประหลาดที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องพร่ำเพ้อหลอกลวงของคนบ้าแต่แพทย์หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก็ยังใจดี ไม่ปฏิเสธคนไข้แต่อย่างใดเธอไม่ได้ยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ หรือตำราทฤษฎีมากมายนักแนวความคิดในการทำงานของเธอก็คือ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือการวิเคราะห์ข้อมูลและวินิจฉัยอย่างเป็นระบบ "ตอนนี้คงไม่ดีกว่าครับ พอดีช่วงนี้ผมมีงาน ต้องพาหลวงพี่ไปอินเดีย" ชายหนุ่มตอบอย่างตรงไปตรงมาทำเอาแพทย์หญิงขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง เขามีภารกิจต้องพาหลวงพี่ไปอินเดียวันพรุ่งนี้ถ้าขาดเขาก็คงแย่ จะหวังพึ่งไอ้หมู ซึ่งมีนิสัยหื่นกามคงจะไม่ไหวมันคงทำชีกอใส่พนักงานสาวบนเครื่องจนวุ่นวายกันหมดแน่ๆ แทนที่หลวงพี่จะนั่งสบายๆต้องมาปวดหัวกับมัน ส่วนไอ้เครานี่ ก็หวังพึ่งไม่ได้เลย มันโง่เง่า ป้ำๆ เป๋อๆจัดการเรื่องติดต่อประสานงานอะไรไม่ได้เลย เขาตัดสินใจไปอินเดียก่อนเรื่องผ่าตัดสมองอะไรนั่นค่อยว่ากันอีกที งานของหลวงพี่สำคัญกว่าทุกอย่างวางแผนไว้เรียบร้อยหมดแล้ว เหตุผลที่สนับสนุนการตัดสินใจของเขาอีกอย่างหนึ่งก็คือหลวงพี่บอกว่า ที่อินเดียมีคนไข้อาการนี้เหมือนกัน และก็มีข่าวด้วยว่า มีหมอที่รักษาอาการนี้ได้ด้วยให้เขาเป็นหนูทดลองยาไปแล้วกัน ถ้าได้ผล หลวงพี่จะได้เรียนรู้กับหมอแล้วเอามาเผยแพร่ที่เมืองไทยอีกอย่างคนผู้นี้เป็นถึงเชื้อสายของผู้นำอินเดียเลยนะแต่ก็ออกมาทำงานเพื่อสังคมช่วยเหลือคน มีเรื่องแปลกๆ แบบนี้ หลวงพี่เลยได้ความคิด อยากจะไปสัมภาษณ์เอาเรื่องราวมาลงนิตยสารธรรมะที่แกเขียนคอลัมน์อยู่ เมื่อเป็นดังนี้ภารกิจการเดินทางไปชมพูทวีปของพระหนุ่ม พร้อมลูกศิษย์ทั้งสามก็ราบรื่นไม่มีปัญหาใดรบกวน คงอีกเดือนกว่าจะได้กลับมาที่ไทยเขาก็เลยตัดสินใจเล่าอาการป่วยแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นให้กับแพทย์หญิงฟัง "คุณหมอครับ ช่วงนี้ผมมีอาการแปลกๆ อีกอย่างหนึ่งเป็นอาการหัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าจะอันตรายหรือเปล่า ขอปรึกษาหน่อยนะครับ" "แล้วเริ่มมีอาการนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะ" แพทย์หญิงซักไซ้ไล่เลียง "เริ่มเป็นตอนที่เป็นโรคจามนี่แหละครับ เป็นเฉพาะตอนที่มาโรงพยาบาลไม่รู้ว่าแพ้กลิ่นยาหรือเปล่า อีกอย่างนะครับอาการเป็นหนักตอนที่นั่งอยู่กับหมอนี่แหละครับ" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงใสซื่อเขาอาจจะคุ้นชินกับอาการแปลกๆ ที่เกิดขึ้นมากเกินไป จนลืมไปว่าอาการใหม่ของเขามันเป็นอาการที่ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเอาเสียเลย แพทย์หญิงสาวสวยยิ้มหน้าแดงแดงแล้วตอบกลับไปว่า "เหรอคะ อาการเหมือนหมอเลย สงสัยหมอจะติดมาจากคุณนะคะเนี่ย"
Create Date : 15 ตุลาคม 2557 |
|
1 comments |
Last Update : 16 ตุลาคม 2557 12:25:24 น. |
Counter : 646 Pageviews. |
|
|
|