มกราคม 2551

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
สวิสเซอร์แลนด์แดนอีสาน...สวรรค์เมืองในหมอก ดอกไม้งาม วังน้ำใส
บันทึการเดินทางครั้งนี้ของผม เขียนขึ้นเมื่อก่อนสัปดาห์สุดท้ายของธันวาคมเดือนส่งท้ายปีเก่า ณ ดินแดนแห่งที่ราบสูงที่ยังคงอยู่ในช่วงเหมันต์แห่งฤดู ช่วงเวลาที่สายลมหนาวยังคงไม่จางหาย ผมมาหยุดพักอยู่ที่ตรงนี้ พื้นที่ที่ผู้คนกล่าวขานกันว่า “สิวสเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย” ดินแดนที่เต็มไปด้วยขุนเขามากมาย น้ำตกหลากหลาย ผมไม้นานาพันธุ์ อยู่ทางตอนใต้ของเมืองโคราช ผู้คนกล่าวขานถึงสถานที่แห่งนี้จากภาพวังน้ำใสหลายแห่งที่สดใสงดงามราวกับกระจกสะท้อนภาพความเขียวขจีของหมุ่มวลแมกไม้พงพนา เป็นนิยามที่มาของนาม “วังน้ำเขียว”

เส้นทางหลวงแห่นดินหมายเลข 304 กบินทร์บุรี – ปักธงชัย ถนนที่พาดผ่านและแบ่งแยกผืนป่าดงพญาเย็นออกเป็นสองผืน เป็นเส้นทางที่ผมเลือกใช้เพื่อนำผมมาที่แห่งนี้อีกครั้ง

ในวันนั้นยวดยานพาหนะที่สัญจรบนถนนสายนี้ค่อนข้างบางตา ผมเดินทางอย่างไม่เร่งรีบในวันว่างสบายๆ อีกครา หลายคนรับรู้ว่าวันเวลากำลังจะนำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่ทางสายนี้ เป็นคำถามที่ยังคงต้องค้นหาคำตอบกันต่อไป ผมรู้สึกเสียดายพื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ อุดมสมบรูณ์ที่สูญเสียไปเพื่อแลกมากับถนนสายนี้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านมานานแสนนาน ไม่มีใครเปลี่ยนอะไรได้ แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีทางออกอย่างไร เป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าดูต่อไป ระหว่างเส้นทางผมมองเห็นผืนป่าอุทยานแห่งชาติทับลานที่คงความสมบรูณ์กลับมาอีกครั้ง ผมดีใจที่ยังเห็นป่าผืนนี้ยังคงขับขานเรื่องราวแห่งพงไพรเคียงคู่กลุ่มดงพญาเย็น เขาใหญ่

กลิ่นไอแห่งธรรมชาติของป่าทับลานยังคงอบอวนแพร่กระจายครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่ของอำเภอปักธงชัย อำเภอวังน้ำเขียว อำเภอครบุรี อำเภอเสิงสาง จ นครราชลีมา และ อำเภอนาดี จ ปราจีนบุรี เป็นอุทยานที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ ผมได้ทราบว่าป่าลานฝืนสุดท้ายของประเทศไทยอยู่ที่อุทยานแห่งนี้ นี่คงเป็นที่มาของชื่อ “ทับลาน” ภาพทิวทัศน์สองข้างเต็มไปด้วยภาพขุนเขา ป่าเขียวขจีและแมกไม้ เรียงรายสลับเข้ามาให้ได้ยลแทบไม่ซ้ำกันเลย ตลอดระยะทางผ่านระดับความสูงเพิ่มขึ้นเป็นระยะขณะที่ผมเดินทางข้ามเขาปักธงชัย ผมเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของป่าใหญ่ที่มองเห็นได้เป็นระยะตลอดเส้นทาง ร้อยเรียงเข้ามาให้ได้ยลแทบไม่ซ้ำกันเลย เป็นเสน่ห์ที่มีความแตกต่างเฉพาะตัวในแต่ละพื้นที่ ผมเริ่มตระหนักว่าความงดงามทางธรรมชาติกับการพัฒนาความเจริญเติบโตของเมืองมักเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกัน

การกลับมาที่วังน้ำเขียวของผมครั้งนี้ ผมสังเกตุเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนวันวาน ความเจริญเกิดขึ้นมากบนพื้นที่แห่งนี้ ผู้คนเข้ามาอาศัย จับจองพื้นที่ แปลงผืนดินงามผ่องเป็นพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงจำนวนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ติดอับดับต้นๆ ยังดินแดนแห่งนี้

ที่วังน้ำเขียวมีสถานที่พักแรมแห่งหนึ่ง ที่ผมยังจำได้เมื่อครั้งที่เคยเข้าไปใช้บริการในคราวก่อนที่เยือนดินแดนแห่งนี้ ครั้งนี้ตัดสินใจที่จะไปใช้บริการอีกหน ป้ายบอกระยะทางอีกไม่ไกลจะถึงเขาแผงม้าแสดงว่าการเดินทางใกล้ถึงที่หมาย และในไม่ช้าผมก็มาถึงทางแยกไปยังศูนย์อนุรักษ์เขาแผงม้า เลี้ยวซ้ายเข้าไปไม่ไกลราวๆ หกกิโลเมตรจากเส้นทางสายหลักก็ถึงที่พักของผมในคืนนี้

ระหว่างทางที่จะไปยังที่พัก ผ่านครัวอิ่มสุข อยู่ทางด้านซ้ายมือ ผมนึกถึงความเห็นที่หลากหลายของสมาชิกในห้อง ที่เคยไปใช้บริการที่ร้านอาหารแห่งนี้ ก็เลยถือโอกาสแวะเข้าไปใช้บริการรับทานอาหารอีกครั้ง การบริการภายในร้านก็ถือว่าไม่ได้ด้อยคุณภาพเท่าไรนัก รวมทั้งความสะอาดก็พอรับได้ อาหารที่สั่งก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ นั่งพักชมสิ่งต่างๆรอบๆร้านเพลินๆไม่นานก็ได้ทาน เมนูที่สั่งเริ่มทะยอยวางลงบนโต๊ะ มื้อกลางวันวันนี้มีข้าวผัดและไก่ทอดเกลือ รสอาหารธรรมดา ไม่โดดเด่นแต่ก็มีผู้แวะเวียนมาใช้บริการอยู่ไม่ขาดสาย บางโอกาสก็มีกลุ่มทัวร์แวะมาใช้บริการด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังมีบริการที่พักค้างแรมด้วยเช่นกัน คงเป็นเพราะที่ร้านอาหารตั้งอยู่บนทำเลที่สูงสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่ดีที่หนึ่งและยังอยู่บนเส้นทางเดินทางที่เข้าถึงได้สะดวกก็เป็นได้

หลังอาหารผมก็เดินทางต่อไปยังที่พักค้างแรมสำหรับคืนนี้ จากครัวอิ่มสุขมาไม่ไกล ผ่านทางแยกซ้ายมือเข้าเขาแผงม้า ก็มาถึงที่พักที่ผมตั้งใจจะกลับมาตามหาความประทับอีกหน เป็นที่ที่ผมแวะมาทุกครั้งที่มาทำธุระในพื้นที่ ผมนำสัมภาระเข้าไปติดต่อห้องพักในส่วนต้อนรับภายในบริเวณนี้ซึ่งอยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากที่จอดรถ เดินขึ้นบันไดไปก็พบกับพนักงานต้อนรับให้บริการด้วยรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย พร้อมเครื่องดื่มต้อนรับ ผมได้พูดคุยกับผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ที่มีอัธยาศัยดี คอยดูแลอำนวยความสะดวกและให้บริการด้วยตัวเองเป็นอย่างดี เล่าให้ฟังว่าย้อนหลังไปไม่กี่ปีที่มาสร้างบ้านพักอยู่ในที่ดินที่ซื้อมาได้ในราคาที่ยังไม่แพงมากในขณะนั้น ก่อนจะมาริเริ่มความคิดทำเป็นสถานที่พักสำหรับผู้คนที่เดินทางมาท่องเที่ยวยังพื้นที่แห่งนี้หลังจากที่ธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำพาผู้คนมาสัมผัสธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ติดอันดับ ณ ที่แห่งนี้ หลังจากรับกุญแจก็จัดเก็บสัมภาระเข้าบ้านพักแบบดีลักซ์ห้องประจำของผมทุกครั้งที่มาพักผ่อนที่นี่ ห้องนี้ครับหมายเลข 103 อยู่บนเนินเขา มีระเบียงชมทิวทัศน์มุมสูงที่สวยงาม พร้อมมุมนั่งเอนกายพักผ่อนสูดอากาศที่สดชื่น ปล่อยวางกับภาพทิวทัศน์โดยรอบบริเวณ ภายในห้องพักตกแต่งเป็นอย่างดีมีที่นอนขนาดใหญ่ พร้อมทีวี มินิบาร์และเครื่องปรับอากาศ ภายในมินิบาร์มีเครื่องดื่มไว้บริการ พร้อมชา กาแฟและของขบเคี้ยว ภายในห้องน้ำมีเครื่องสุขภัณฑ์ครบครันพร้อมเครื่องทำน้ำอุ่นและพื้นที่อาบน้ำแบบเปิดโล่งรับอากาศและแสงจันทร์จากภายนอก

ในการกลับมาครั้งนี้ ผมอยากที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่พักผ่อนในสถานที่นี้เป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยกับการรอนแรมเดินทางอันยาวไกล ตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เวลาส่วนใหญ่ ณ ที่แห่งนี้คงหมดไปด้วยการอ่านหนังสือเล่มโปรดและเขียนบันทึกการเดินทางพร้อมทบทวนเรื่องราว สิ่งต่างๆที่ผ่านมารวมถึงอนาคตข้างหน้า หลังจัดเก็บสัมภาระเข้าห้องพัก ผมใช้เวลายามบ่าย พักผ่อนอิริยาบถหน้าห้องพัก อ่านหนังสือ เขียนบันทึกเรื่องราวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของเทือกเขาน้อยใหญ่ ทิวทัศน์แมกไม้และขุนเขา สายลมนำพากลิ่นหอมของมวลพฤกษาภายใต้ท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เคล้าเสียงเพลงเบาๆ คลอเคลียไปกับธรรมชาติรอบข้าง เป็นช่วงเวลาที่ผมลืมทุกสิ่งไปชั่วขณะ...จริงๆ

ห้องอาหารอยู่ถัดจากห้องที่ผมพักไปไม่ไกล สร้างอยู่บนเนินสูง มีประตูบานเปิดโล่งเน้นบรรยากาศโดยรอบมองออกไปเห็นทิวทัศน์ของเนินเขาสลับซับซ้อนอันสวยงามระหว่างมื้ออาหาร ที่นั่งรับทานอาหารมีทั้งส่วนที่นั่งภายในและนั่งรับลมชมธรรมชาติอย่างใกล้ชิดภายนอก กับมุมนั่งพักผ่อนอิริยาบถสบายๆชมทิวทัศน์ระหว่างรออาหารหรือหลังจากอิ่มจากมื้ออาหาร สำหรับแขกที่อยากนั่งใกล้ชิดธรรมชาติภายในร่มก็สามารถเลือกนั่งในซุ้มกลางแจ้งได้เช่นกัน ใกล้ๆกันก็จะมีมุมนั่งพักผ่อนเอนกรับลมสบายๆด้วยเหมือนกัน



กลับมานั่งพักผ่อนที่หน้าห้องพัก ที่อยู่ห่างจากห้องอาหารเพียงไม่กี่ก้าว ใช้ช่วงเวลาที่มีคุณภาพกับหนังสือดีๆ สักเล่มในยามตะวันเริ่มอ่อนแสงโรยรา เพลิดเพลินกับภาพต่างๆ ที่อยุ่เบื้องหน้า ไม่ว่าจะเป็นภูมิสถาปัตฯของที่พักแห่งนี้และทิวทัศน์รอบห้องพัก ภาพธรรมชาติขุนเขาที่อยู่เบื้องหน้า สายลมเย็นพัดมาเป็นระยะให้ความรู้สึกสดชื่น เย็นกายสบายใจจริงๆ ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากสำหรับการร้อยเรียงถ้อยคำ บันทึกลงบนแผ่นกระดาษ สะท้อนเรื่องราวสิ่งที่ประสบพบเจอและความประทับใจตลอดระยะเวลาแห่งการเดินทางปฏิบัติภาระกิจการงานและท่องเที่ยวในดินแดนที่ราบสูงแห่งนี้ ผมรู้สึกถึงช่วงเวลาที่มีค่า ช่วงเวลาที่อยู่กับตัวของตัวเราเอง ที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วจนจำแทบไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ในยามตะวันรอนแดดอ่อนแสงโรยราของวันนั้น ผมได้มีโอกาสขึ้นไปเยือนเขาแผงม้าอีกครั้งในวันที่สายลมนำพาความเปลี่ยนแปลงอันสดใสมาเยือน ทำให้พื้นที่แห่งนี้ แปรเปลี่ยนจากป่าภูเขาไฟในอดีตกลายเป็นทุ่งแห่งความหวังของเหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่กลับมาหากินทำให้พื้นที่แห่งนี้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เขาแผงม้าคือป่าผืนเดียวกับดงพญาไฟในอดีต กินอาณาบริเวณกว่าแสนไร่ อยู่ประชิดอุทยานฯเขาใหญ่ที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบรูณ์มีสัตว์ป่าอาศัยชุกชม ตลอดจนเป็นต้นน้ำของลำห้วยหลายสายใหลรวมกันเป็นลำพระเพลิง ต้นกำเนิดแม่น้ำมูลสายเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงแผ่นดินอีสาน ลักษณะพื้นที่เป็นเขาสูงชันเป็นแนวยาว เมื่อมองจากระยะไกลดูคล้ายสันคอม้า จึงเป็นที่มาของนาม “เขาแผงม้า”

เดินทางจาที่พักไปราวสามกิโลเมตร ขึ้นไปตามเส้นทางที่เป็นถนนดิน สภาพผิวทางขลุขละมากครับ เขาแผงม้าที่ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ป่าผืนเดียวกับเขาใหญ่เต็มไปด้วยความอุดมสมบรูณ์มีสัตว์ป่าอาศัยชุกชม ตลอดจนเป็นต้นน้ำของลำห้วยหลายสายใหลรวมกันเป็นลำพระเพลิง ต่อมามีการอพยพเข้ามาในพื้นที่ของชาวบ้านจากที่ต่างๆ เข้ามาบุกเบิก หักล้างถางพง ล่าสัตว์ ตัดต้นไม้ตลอดจนถือครองที่ดินบริเวณเขาแผงม้ามากขึ้น มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการทำเกษตรกรรม ทำให้ผืนป่าที่เคยอุดมสมบรูณ์กลายสภาพาเป็นภูเขาหัวโล้น จนกระทั่งมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งประเทศไทยเข้ามาดุแลฟื้นฟู มีการปลูกป่าเฉลิมถาวรพระเกียรติบนเนื้อที่กว่าห้าพันไร่ ความสมบรูณ์ก็กลับเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง มีฝูงกระทิงเข้ามาหากินอยู่ทุกวันนี้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาสัมผัส

ผมยังจำภาพในช่วงเวลาที่ความเสื่อมโทรมเข้าปกคลุม พื้นที่ป่าอันอุดมสมบรูณ์กลับต้องมีอันเสื่อมถอย สืบเนื่องมาจากการพัฒนาที่เร่งรีบ ขาดการวางแผนอันรอบคอบ มีการตัดถนนหลายสายผ่านทะลุกลางป่าเทือกเขาพนมดงรักและการสัมปทานป่าไม้ ทำให้ต่อมามีการอพยพเข้ามาในพื้นที่ของชาวบ้านจากที่ต่างๆ เข้ามาบุกเบิก หักล้างถางพง ล่าสัตว์ ตัดต้นไม้ตลอดจนถือครองที่ดินบริเวณเขาแผงม้ามากขึ้น มีการใช้ปุ๋ยเคมีในการทำเกษตรกรรม ทำให้ผืนป่าที่เคยอุดมสมบรูณ์กลายสภาพเป็นภูเขาหัวโล้น ต้นน้ำที่เคยชุ่มฉ่ำกลับแห้งผาก ประกอบกับต้นหญ้าที่ขึ้นปกคลุมกลายเป็นเชื้อเพลิงไฟป่าอย่างดี ลุกโหมทั้งวันและคืนยามหน้าแล้ว จนผู้คนเรียกขานว่า “ป่าภูเขาไฟ”

แต่ด้วยพระบารมีปกเกล้า นำพาความสมบรูณ์สู่พื้นที่อีกครั้งเมื่อมูลนิธิคุ้มครองสัตว์ป่าและพันธุ์พืชแห่งประเทศไทยได้รับมอบหมายเข้ามาดุแลฟื้นฟู มีการปลูกป่าเฉลิมถาวรพระเกียรติบนเนื้อที่กว่าห้าพันไร่ ตั้งแต่ปี 2537 ความสมบรูณ์ก็กลับเข้ามาในพื้นที่อีกครั้ง จากภูเขาไฟมาสู่ทุ่งแห่งความหวัง บรรดาสรรพสัตว์กลับเข้ามาหากินในพื้นที่นี้อีกครั้ง และสิ่งที่ยืนยันได้ดีถึงการพื้นตัวของสภาพป่าบนเขาแผงม้าได้เป็นอย่างดีก็คือการกลับมาของฝูงกระทิงที่เขาแผงม้า มีการพบครั้งแรกเมื่อปี 2538 และมีการเผ้าติดตามอย่างใกล้ชิดโดยมูลนิธีฯ ทุกวันนี้คาดว่าจะมีไม่น้อยกว่าห้าสิบตัว เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาสัมผัสความเป็นไปยังพื้นที่แห่งนี้อีกครั้ง แต่ในอีกด้านหนึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่าเบื้องหลังความสำเร็จในการนำความงดงามกลับมาสู่เขาแผงม้า ต้องผ่านความยากลำบากภายใต้ปมความขัดแย้งและอิทธิพลในพื้นที่จนถึงวันที่เสียงปืนจางหาย

ระหว่างทางขึ้นสู่เขาแผงม้า ผมเพลิดเพลินกับธรรมชาติตลอดสองข้างทางที่ลาดชันขึ้นสู่ความสูง 800 เมตรจากระดับน้ำทะเล เส้นทางบางช่วงเป็นหลุมบ่อ ผิวทางขลุขละมากตลอดเส้นทางที่ขึ้นไป
หลังจากเดินทางไต่ระดับความสูงขึ้นมาตลอดเส้นทาง ที่สมบุกสมบัน ผมก็มาถึงที่ทำการของศูนย์อนุรักษ์ บนเขาแผงม้า สามารถจอดรถได้ในบริเวณศูนย์ จากจุดนี้เดินเท้าเข้าไปอีกสองร้อยเมตร สู่จุดชมกระทิง ระหว่างทางที่เดินลงเนินไปสู่จุดชมวิว เมื่อไปถึงก็มีนักท่องเที่ยวยืนรอชมฝูงกระทิงอยู่กลุ่มใหญ่ ผมเข้าใจดีว่าโอกาสจะพบเห็นฝูงกระทิงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความเงียบ แต่ที่ประสบในวันนั้นผมรู้แก่ใจว่าคงไม่ได้พบเห็นเป็นแน่ เพราะผู้คนส่งเสียงพูดคุยดังไปทั่วบริเวณ ประกอบกับเสียงยิงเมล็ดกระบะด้วยหนังสะติกที่ทางศูนย์นำมาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวที่อยากจะร่วมกันปลูกป่าบริเวณเขาแผงม้า วิธีการก็ไม่ยากเพียงชำระค่าเมล็ดพันธุ์แล้วยืมหนังกระติกมายิงเมล็ดไปตกในพื้นที่ป่า เมล็ดเหล่านั้นก็จะหยั่งราก งอกเงยเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในวันข้างหน้า เป็นวิธีปลูกป่าที่ไม่ยากเลยในอดีตเมื่อข่าวการกลับมาของฝูงกระทิงที่เขาแผงม้าแพร่กระจายออกไป การติดตามปองร้ายฝูงกระทิงก็เกิดขึ้นจากน้ำมือของพวกเห็นแก่ได้บางกลุ่ม ผมทราบว่าเคยมีความพยายามล่ากระทิงบนเขาแผงม้าสองครั้ง จนกระทั่งมีการทำความเข้าใจและประชาสัมพันธ์ ปลุกจิตสำนึกให้ผู้คนในพื้นที่ร่วมกันหวงแหนและรักษาทรัพยากร เหตุการณ์ต่างๆ ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี

จากจุดชมกระทิงสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของป่าไม้ที่คงความสมบรูณ์กลับมาที่เบื้องล่างมีดินโป่งที่อุดมด้วยแร่ธาตุของสัตว์น้อยใหญ่ที่กลับมาอาศัยเขาแผงม้าเป็นที่อยู่อาศัยอยู่สามสี่แห่งเท่าที่ผมสังเกตุเห็น เป็นตำแหน่งที่หลายสายตากำลังจับจ้องมองดูวัวสีดำทะมึนขนาดใหญ่ออกมาหากิน จากบริเวณนี้เมื่อทอดสายตาห่างออกไปยังเบื้องหน้าจะสามารถมองเห็นเขื่อนลำพระเพลิงได้ชัดเจนโดยเฉพาะวันที่อากาศดีๆ เวลาผ่านไปนานพอสมควร ผมเริ่มรู้ว่าวันนี้โชคไม่เข้าข้าง แต่ไม่เป็นไรเพราะการกลับมาที่นี่ในแต่ละครั้งผมไม่เคยคาดหวังว่าจะต้องพบเห็นฝูงกระทิงทุกครั้ง แต่เหนือสิ่งอื่นใด ฝูงกระทิงได้อยู่ในบ้านที่ปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว

เมื่อใกล้ค่ำตะวันใกล้จะลาลับฟ้า ผมเดินทางออกจากจุดชมกระทิง กลับมายังที่ทำการของศูนย์เพื่อเดินทางกลับลงมาที่พัก ในขณะที่นักท่องเที่ยวบางกลุ่มยังคงต้องการที่จะดื่มด่ำสัมผัสธรรมชาติต่อไปด้วยการเตรียมเสบียงมาค้างแรมบนเขาแผงม้า ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มภายใต้การดูแลอำนวยการของทางศูนย์ รวมถึงห้องน้ำไว้บริการนักท่องเที่ยว ผมเดินทางลงจากเขาแผงม้ากลับสู่ที่พักเมื่อยามตะวันใกล้จะลาลับฟ้า

ใช้เวลาไม่นานกลับมาถึงที่พัก อาบน้ำชำระร่างกายรอเวลาอาหารมื้อเย็น บรรยากาศร้านอาหารยามค่ำคืน ที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากเมื่อช่วงกลางวัน คงเป็นอาหารมื้อเย็นที่พิเศษสำหรับผมอีกวัน ผมเลือกที่นั่งที่เดิมที่โปรดปราน และสั่งอาหารมาทานไม่มากเนื่องจากไม่รู้สึกหิวมาก คงเป็นเพราะความอิ่มเอมที่ยังคงอยู่ในใจที่ได้มาเยือนที่นี่อีกครั้ง อาหารที่สั่งเริ่มทยอยออกมาวางบนโต๊ะ ผมสั่งสลัดผักวังน้ำเขียวและสปาเก็ตตี้มาทาน บรรยากาศภายนอกห้องอาหารในยามค่ำคืนเป็นความสวยงามที่แตกต่างจากช่วงกลางวัน

หลังอาหารเย็น ผมกลับมานั่งชมบรรยากาศค่ำคืนวันพระจันทร์เต็มดวงกับการพักผ่อนอิริยาบถหน้าห้องพัก เป็นภาพที่ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นทุกวันเวลา แต่ความรู้สึกที่แตกต่างในแต่ละบรรยากาศและสถานที่ มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่ยากจะสรรหาถ้อยคำที่ดีพอจะมาบรรยาย ผมมองว่าเป็นภาพที่มีความเฉพาะโดดเด่นของแสงเดือนที่ทักทอแสงบนท้องนภา แต่งแต้มเติมสีสันให้เป็นราตรีที่งดงาม แม้จะกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งชมแสงเดือนที่สวยเย็นตา พาให้นึกถึงบทเพลงของศิลปินเจ้าของผลงานที่ล่วงลับท่านหนึ่ง ที่ว่าเดือนเพ็ญสวยเย็นเห็นอร่าม นภาแจ่มนวลดูงาม ผมเฝ้ามองดูฟ้าเบื้องบนและเริ่มที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้คนไม่น้อยฝากคำอธิฐานกับท้องฟ้าที่มีเดือนและดาว ภาพที่เห็นเป็นภาพแห่งราตรีที่งดงามอีกค่ำคืนหนึ่งที่วังน้ำเขียว

เมื่อเริ่มดึกในยามค่ำคืนอากาศที่นี่ในช่วงเวลานี้หนาวเย็นเนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดุหนาว คือราวเดือนธันวาคมถึงมกราคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 9-18 องศา ประกอบกับพื้นที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงและลาดชัน ตรงกลางคล้ายแอ่งกระทะ ด้วยเหตุนี้เอง ที่ในคืนนั้นสายลมหนาวยังคงพัดพาความเย็นมาเหมือนเช่นเคย ผมนั่งดื่มไวน์ผ่อนคลายรับลมหนาวอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องพัก เสื้อกันหนาวที่เตรียมมาถูกนำมาใช้สวมใส่จนหมด เบื้องหน้ายังคงมองเห็นภาพราตรีที่โดดเด่นก่อนได้เวลาเข้านอนพักผ่อน

รุ่งเช้าวันใหม่ ผมตื่นแต่เช้าออกมารับแสงอรุณวันใหม่ สายหมอกจางๆยังคงหลงเหลือปกคลุ่มขุนเขาและทิวไม้ที่เรียงรายเป็นทิวแถวมองเห็นไกลออกไปถึงเขตอุทยานแห่งชาติ อาหารมื้อแรกของวันที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า ข้าวต้มเห็ดหอม พร้อมคลายง่วงกับชาร้อนๆสักแก้ว กับบรรยากาศของเช้าวันใหม่ที่สดใส เป็นภาพของเช้าวันใหม่ที่สดใสของผมอีกวัน สายหมอกและอากาศอันแสนบริสุทธิ์ที่ว่ากันว่าเป็นแหล่งโอโซนติดอันดับ ผมอยากที่จะถือโอกาสนี้สูดลมหายใจให้เต็มปอด ผมตื่นแต่เช้าออกมาเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้ารอบๆที่พัก ผมคิดว่าไม่ผิดเพี้ยนเลยที่ว่ากันว่าที่นี่เป็นแหล่งโอโซนที่ติดอันดับต้นๆ ทุกลมหายใจเข้าออกทำให้รู้สึกสบายกายและใจจริงๆ

หลังอาหารเช้าผมเดินเที่ยวชมไปรอบๆ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเพื่อย้ำเตือนความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้อีกครา ผมใช้เวลาที่เหลือในช่วงสายของวัน พักผ่อนที่หน้าห้องพัก กับหนังสืออ่านเล่น พร้อมเสียงเพลงขับกล่อมเบาๆ

เวลาที่เหลือของวันคงหมดไปกับการนอนพักผ่อนจนถึงช่วงเวลาแห่งการกล่าวคำอำลาเขาแผงม้าและวังน้ำเขียว ที่เวียนมาถึงอีกครา ผมตั้งใจว่าเมื่อใดก็ตามที่อ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยกายและใจ ผมจะกลับมารับพลังใจจากดินแดนแห่งนี้ทุกครั้งไป...



Create Date : 22 มกราคม 2551
Last Update : 22 มกราคม 2551 10:24:43 น.
Counter : 1762 Pageviews.

9 comments
  
I will come to visit,so nice !!!!!!!!
โดย: Opey วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:11:54:04 น.
  
สวย
อยากไป
จังเลยค่ะ
โดย: ยอพระกลิ่น วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:12:58:14 น.
  
เคยแต่ผ่าน ไม่เคยไปเลย คิดถึงเมืองไทยจัง
โดย: สหมิว (Be a good guy ) วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:13:34:12 น.
  
สวยจังเลย....
บรรยาศเงียบสงบ น่าพักผ่อน ......
โดย: Herzspezialist วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:15:00:52 น.
  
ว้าว น่าไปเที่ยวพักผ่อนมากๆเลยนะครับ ที่นี่ใช่ไหมครับที่เขาว่ามีโอโซนดีติดอันดับโลก น่าไปมากๆเลยครับ ขอไปด้วยคนนะครับ
โดย: ซอร์บอนน์ (ซอร์บอนน์ ) วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:15:24:54 น.
  
เป็นเส้นทาง..ที่น่าเดินทางนะคะ..มีโอกาสคงต้องตามรอยทริปดีๆแบบนี้บ้างค่ะ
โดย: mukphuket วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:17:49:37 น.
  
สวยจังเลยค่ะ อยากไปมั่งค่ะ
แต่ตอนนี้ขอตามไปเที่ยวด้วยนะค่ะ
โดย: whitelady วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:19:32:16 น.
  
เห็นแล้วกระตุ้นต่อมวังน้ำเขียวอีกแล้ว เพิ่งผ่านทริปหนักๆยาวๆมา หลังจากนี้คงต้องตามเก็บเอาใกล้กรุงฯแถวๆปากช่อง วังน้ำเขียว เหมือนเคยอีกแล้ว ซักสองอาทิตย์กลับไปแน่ๆค่ะ

ขอบคุณที่นำมาฝาก (และกระตุ้นต่อมเดินทาง) น่ะค่ะ
โดย: มาเรีย ณ ไกลบ้าน วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:20:24:42 น.
  
สวยค่ะ...ธรรมชาติยังคงงดงาม
อยากไปเที่ยวบ้างจังค่ะ
โดย: รัตตมณี (kulratt ) วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:21:40:08 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

3KKK
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]



New Comments
MY VIP Friend