|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สมองเสื่อม...ความผิดปกติที่รักษาได้
สมองเสื่อม...ความผิดปกติที่รักษาได้
เมื่อพูดถึงโรค สมองเสื่อม เรามักคิดถึงโรคอัลไซเมอร์ก่อนเป็นสิ่งแรก ทั้งที่ในความจริงแล้วสมองเสื่อมคือภาวะหนึ่งของสมองซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ และที่สำคัญ ใช่ว่าภาวะนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุเท่านั้น ในผู้ที่มีอายุน้อย วัยรุ่นหนุ่มฉกรรจ์ ก็อาจเกิดภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน โดยอาจมีสาเหตุมาจากโรคพันธุกรรม โรคการติดเชื้อของสมอง สารพิษ โรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้กระทั่งอุบัติเหตุ เป็นต้น ภาวะสมองเสื่อม โดยทั่วไปคนไข้มักจะเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมก็คือการมีความจำแย่ลง แต่จริงๆ แล้วยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม การรับรู้-การเรียนสิ่งใหม่ๆ เสื่อมถอย นอกจากนี้บางคนอาจมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากการทำงานของสมองที่เสื่อมลง เช่น ในโรคพาร์คินสันซึ่งก็คือภาวะสมองเสื่อมอย่างหนึ่ง คนไข้อาจจะมือสั่น เดินซอยเท้า การทรงตัวไม่ดี แต่โดยทั่วไปแล้ว อัลไซเมอร์เป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด คือเกือบครึ่งหนึ่งของคนไข้ที่มีภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไข้ที่อายุเกิน 65 ปี ภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุยังอาจเกิดจากโรคของหลอดเลือดสมอง ทั้งหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก
การรักษาภาวะสมองเสื่อม มีทั้งโรคที่สามารถรักษาได้ผลดีและรักษาได้บางส่วน แต่ก็สามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสามารถรักษาได้หากมาพบแพทย์ทันท่วงทีและได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ใช่มองแต่ว่าภาวะสมองเสื่อมคืออัลไซเมอร์และรักษาไม่หายขาด แต่ก่อนจะถึงขั้นตอนของการรักษา จะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน ดังนั้นขั้นตอนในการวินิจฉัยโรคจึงมีความสำคัญมาก
ต้องตรวจว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริงหรือไม่ เพราะยังมีภาวะสมองเสื่อมเทียม (Pseudodementia) ที่อาจเกิดจากโรคซึมเศร้า คนไข้จะมีอาการวิตกกังวล ไม่มีสมาธิที่จะจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดีเหมือนคนปกติ อาการเช่นนี้ก็ทำให้ดูเหมือนมีภาวะสมองเสื่อมได้เช่นกัน แต่กลุ่มที่มีภาวะสมองเสื่อมเทียมจากอาการซึมเศร้า คนไข้จะแสดงอาการไม่นานก็มักมาพบแพทย์ แต่หากเป็นอัลไซเมอร์ จะใช้เวลาเป็นเดือนในการที่จะแสดงอาการให้ชัดเจนขึ้น
เมื่อตรวจพบว่าคนไข้มีภาวะสมองเสื่อมจริง แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อแยกโรคต่างๆ ซึ่งรวมการตรวจเลือด การตรวจสมองด้วยการทำ CT Scan หรือการตรวจ MRI ตรวจคลื่นสมอง EEG เป็นต้น เมื่อทราบสาเหตุแล้วก็รักษาที่ต้นเหตุ แต่การรักษาจะได้ผลดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของโรค ตัวอย่างเช่นการติดเชื้อในสมอง คนที่มีอาการ 1 วัน สมองย่อมจะไม่ถูกทำลายมากเท่ากับคนที่มีอาการมาแล้ว 4-5 วัน เมื่อได้รับการรักษา สมองย่อมฟื้นตัวได้ดีกว่า ยิ่งมาพบแพทย์เร็ว ได้รับการรักษาเร็ว สมองก็แทบจะไม่มีผลเสียหายตามมา
จะป้องกันตนเองจากภาวะสมองเสื่อม วิธีง่ายๆ ในการดูแลตนเองให้ คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจจะโดยการวิ่งเหยาะๆ วันละ 30 นาที ให้ได้มากกว่า 4 ครั้งต่อสัปดาห์ ดูแลตัวเองไม่ให้มีปัจจัยเสี่ยง ไม่ให้มีเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันในเลือดสูง การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ควรงดเสีย และเมื่อเกิดอาการผิดปกติใดๆ อย่าซื้อยารับประทานเอง เพราะยาหลายชนิดจะทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมเมื่อรับประทานเป็นระยะเวลานานๆ หรือยาบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการมือสั่นหรือแข็งเกร็งคล้ายพาร์คินสันได้
ที่สำคัญคือทั้งตัวเราเองและบุคคลรอบข้างควรสังเกตซึ่งกันและกันคือถ้ามีบุคลิกเปลี่ยนแปลง สับสน ความจำเสื่อมลง พฤติกรรมเปลี่ยนไป ยิ่งถ้ามีไข้ร่วมด้วย ยิ่งต้องรีบพามาพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ
โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร.1719
โดยลุงแจ่ม..
Create Date : 18 มกราคม 2553 |
Last Update : 18 มกราคม 2553 10:08:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 380 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|