|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
คนไร้ค่า
เสียงฟ้าร้องดังลั่นสนั่นหวั่นไหว ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด รถราแต่ละคันค่อยๆวิ่งตามหลังกันไปเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของผู้ที่บังคับมัน ผมยืนหลบฝนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เม็ดฝนได้หล่นลงมาจากฟ้าและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมเพิ่งเดินออกจากที่ทำงานซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จริงๆแล้วฝนได้เริ่มตกตั้งแต่ผมยังอยู่ในบริษัท
ผมขึ้นไปเบียดเสียดกับผู้คนมากหน้าหลายตาบนรถเมล์ ช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้คนจะเยอะมาก กว่าจะได้ขึ้นก็รอกันนานทีเดียว กวาดสายตามองไปรอบๆเห็นอากัปกิริยาของคนบนรถอยู่ในอาการที่แตกต่างกัน บ้างก็โหนราวเอาใบหน้าซบที่แขนแสดงให้รู้ถึงอาการเมื่อยล้า บ้างก็ยืนคุยโทรศัพท์ บ้างก็นั่งหลับที่ริมหน้าต่างให้สายลมพัดมาตีเข้าหน้า บ้างก็นั่งเหม่อมองข้างทาง ส่วนผมได้แต่ยืนสังเกตผู้คนรอบข้างไปเรื่อยๆ
สองวันมาแล้วผมไม่ได้กลับมานอนที่ห้องเช่า เพราะต้องคอยทำงานให้เสร็จ ทำงาน ทำงาน และก็ทำงานจนจะกินงานแทนข้าวอยู่แล้ว บางครั้งบางคราวผมนึกน้อยใจตัวเองเหมือนกันที่เกิดมาไม่รวย แต่ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะแต่ละคนไม่สามารถเลือกเกิดได้ แม่เคยบอกกับผมว่าถึงครอบครัวของเราจะจนดักดานยังไง แต่ขอให้รักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้อย่าให้คนอื่นมาดูถูก แต่ผมคิดว่าในสังคมที่ผมอยู่นี้ขณะนี้ คำกล่าวของแม่อาจจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว
รถเมล์มาหยุดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก ซึ่งกำลังจะถึงปากซอยห้องพักของผมอีกประมาณสามกิโลเมตร ผมเหลือบมองหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กระโปรงสั้นสีดำ ขาขาวเรียวยาว เสื้อของเธอเปียกฝนพอสมควรทำให้ผมมองเห็นชั้นในสีดำลางๆจากทางด้านหลัง ผมยังไม่เห็นใบหน้าของเธอ ผมคิดในใจว่าผมกับเธอใครจะลงรถก่อนกัน แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่เห็นมีความสำคัญตรงไหนเลย เธอลงก่อนผมลงก่อนมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันอยู่แล้ว คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ผมเดินฝ่าผู้คนไปยืนรอที่หน้าประตูรถเพราะอีกป้ายเดียวก็จะลงแล้ว ผมมองกลับไปที่หญิงสาวคนนั้นแต่ก็โดนคนอื่นๆในรถบดบังเสียแล้วเลยไม่ได้เห็นหน้า
กลับมาถึงห้องผมเปิดหน้าต่างมองดูรอบๆเห็นแสงสีบนตึกสูงๆสว่างสวยเป็นจุดเล็กๆแลเหมือนหิ่งห้อย เมื่อมองลงไปข้างล่างก็เห็นภาพรถติดเป็นแถวยาว ซึ่งเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้วสำหรับเมืองนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีรถราวิ่งขวักไขว่เต็มไปหมด ความวุ่นวายในเมืองหลวงแห่งนี้ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกินกับที่บ้านของผม
ผมเดินไปเสียบกาน้ำร้อนชงบะหมี่แล้วเดินเข้าห้องน้ำ เมื่อกินเสร็จผมแต่งตัวนอนทันทีโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เพราะล้ามาจากงานที่ทำอยู่ทุกวัน ไม่ค่อยได้มีเวลานอนสักเท่าไหร่ อีกไม่นานเวลาก็จะเดินทางเข้าสู่วันใหม่ แดดยามเช้าทอแสงอ่อนๆ นกกาบินออกจากรวงรังเสาะหาอาหารเพื่อประทังชีวิตให้ดำเนินต่อไป ผมตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานในรอบสัปดาห์ ผมคิดว่าหลังเลิกงานวันนี้จะไปหาอะไรดื่มให้หายเหนื่อย คลายเครียดจากการทำงานสักหน่อย ผมใช้เวลาง่วนกับภารกิจส่วนตัวอยู่พักใหญ่ เดินทอดน่องออกมานั่งกินน้ำชาตรงหน้าปากซอยใกล้กับป้ายรถเมล์ ลุงโก๋ ชาร้อนแก้ว ผมสั่ง ได้เลย ได้เลย แกร้องบอก วันนี้ทำไมไปแต่เช้านักล่ะ แกถาม อ๋อ!ลุง วันนี้ต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ตอนเย็นมีนัดกินเหล้าคนเดียวที่ห้อง ผมบอกติดตลก ไปกินด้วยคนสิ แกพูดยิ้มๆพร้อมวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ ได้สิลุง ผมบอก เอ็งไปเถอะ ลุงพูดเล่น แกบอกแล้วเดินไปหลังร้าน ผมรู้อยู่แล้วว่าแกพูดเล่น เพราะเวลาผมชวนทีไรแกก็ปฏิเสธตลอด แกเคยบอกว่าเลิกกินเหล้ามาตั้งนานแล้วและที่สำคัญแกอยากตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตขี้เมาเหมือนก่อน ลุงโก๋ เงินอยู่บนโต๊ะ ผมตะโกนบอกพร้อมวางเงินแล้วเดินออกมา
ผมเดินข้ามสะพาลอยไปรอรถเมล์ที่ฟากถนนด้านโน้น ป้ายรถเมล์หนาแน่นไปด้วยผู้คน ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับผม นี่ขนาดผมออกมาเช้าแล้วนะ ผมคิดในใจ รถเมล์เคลื่อนมาจอดหน้าป้าย ด้วยสัญชาตญาณผมรีบวิ่งไปขึ้นทันที พยายามเบียดเสียดผู้คนจนได้นั่งตรงเบาะหลังริมหน้าต่าง ผมนั่งมองไปยังข้อความที่เขียนติดไว้บนรถเมล์ทุกคัน โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้แก่เด็ก สตรี หญิงมีครรภ์ และคนชรา
ผมคิดว่าสังคมในสมัยนี้ต่างก็คิดว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา เอาตัวเองให้รอดก่อนที่จะทำเพื่อคนอื่น ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายและไม่ได้ใจร้ายแต่สิ่งที่ผมได้สัมผัส รับรู้ มองเห็นอยู่นั้นมันเป็นความจริง คงจะไม่เหมาะแน่ถ้าผมจะลุกขึ้นยืนเพื่อให้อีกคนต้องนั่ง ที่ทำงานผมอยู่ไกลมากจะให้ยืนตั้งแต่ต้นทางไปจนสุดทางคงเป็นไปไม่ได้ ผมก็ต้องการหาความสบายให้กับตัวเองเช่นกัน และคงเหมือนกับใครหลายๆคนในสังคม
ผมมาถึงที่ทำงานสายอีกตามเคย รีบวิ่งไปตอกบัตรแล้วไปนั่งที่โต๊ะ เพื่อนร่วมงานของผมเจ็ดคนต่างขะมักเขม้นอยู่กับแฟ้มเอกสารที่ตั้งตรงหน้า ส่วนผมยังไม่เริ่มงานเลยเดินไปชงกาแฟนั่งกินที่โต๊ะที่มีไว้สำหรับพนักงานเวลาพักเที่ยง และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมทำงานที่นี่มาเกือบสี่ปีแล้วยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นเลย สำหรับพนักงานบริษัท เรามีอยู่ด้วยกันสิบคน ผู้จัดการ เลขา และพนักงานอีกแปดคนซึ่งรวมทั้งผมด้วย ผมไม่มีเพื่อนสนิทที่นี่ ถ้ามีอะไรก็จะคุยเพียงผิวเผินเท่านั้นหรืออย่างเวลามีประชุม ต่างคนต่างทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ละคนจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่นๆ ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่านึกยังไงถึงได้มาทำงานที่นี่ ผมเริ่มรู้สึกเบื่อ อยากจะลองหางานอะไรใหม่ๆทำบ้าง แต่ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่องานที่ทำอยู่มันก็พอทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองและส่งเงินให้แม่ได้ใช้จ่าย โดยที่ไม่ต้องไปอดๆอยากๆเหมือนขอทานข้างถนน
ไอร้อนจากถ้วยกาแฟลอยกระทบปลายจมูก กลิ่นของมันช่างหอมหวลเหลือเกิน ผมยกมันขึ้นจิบเบาๆพร้อมกับลอบมองไปยังเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น ผมคิดว่าพวกเขากำลังทำงานเพื่ออะไรกันถึงได้ตั้งใจทำกันอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น
ผมเคยได้ยินคำๆหนึ่งและใครอีกหลายคนคงจะได้ยินเหมือนผมเช่นกัน
ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน ค่าของคนคืออะไรผมไม่สามารถตอบตัวเองได้ รู้เพียงแต่ว่าคนทุกคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คนเรามีค่าเหมือนกัน แต่เราจะเอาอะไรมาวัดว่าแต่ละคนนั้นใครมีค่ามากกว่าใคร สำหรับตัวผมคิดว่าจิตใจต่างหากที่มันสามารถบอกว่าคนๆนั้นมีค่าความเป็นคนหรือไม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่วัดค่าของคนจากหน้าที่การงานแล้ว ผมคงไม่มีค่าอย่างแน่นอน
บรรยากาศภายในห้องสีขาวแห่งนี้ มันช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ทุกคนยังเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ก็คงจะมีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่ทำตัวไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ผมยังคงทำตัวเหมือนกับลักษณะของคนว่างงาน มีเวลาคอยมานั่งสอดส่ายสายตามองความเคลื่อนไหวของเพื่อนมนุษย์ที่มาจากต่างที่ต่างทางกัน
ผมมองนาฬิกาที่แขวนติดผนัง มันบอกเวลาสิบโมงแล้ว เราควรจะเริ่มทำงานเสียที ผมพูด ความจริงแล้วงานของผมวันนี้ไม่ค่อยมีอะไร แค่นั่งตรวจเอกสารให้ถูกต้องแค่นั้น งานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ที่บริษัทตลอดทั้งวันก็ได้ ผมกะว่าสักบ่ายสองโมงค่อยไปขอผู้จัดการกลับก่อนแต่ผมจะอ้างเหตุผลว่าอย่างไรดี เพราะช่วงหลังๆมานี้ผมโดนเพ่งเล็งตลอดเรื่องการมาทำงานสาย ผู้จัดการเคยเรียกเข้าไปพบแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เตือนว่าอย่าทำบ่อยก็แล้วกัน ควรทำงานให้เสร็จตรงเวลา และมีคุณภาพ ซึ่งผมก็รับตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ
เวลาเลยเที่ยงมาสามสิบนาที ผมคงต้องออกไปหาอะไรกินให้หนักท้อง รู้สึกหิวแล้ว หอบแฟ้มเอกสารเดินไปวางไว้ที่โต๊ะเลขาหน้าห้องผู้จัดการ เข้าไปบอกแกเลยดีกว่า ผมพูด ผลักประตูเข้าไปก็ไม่เห็นใครอยู่เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาบอกดีกว่า
ผมเดินไปกินข้าวแกงร้านเจ้าประจำที่อยู่หลังตึก ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่นั้นสายตาของผมก็เหลือบมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่เดินตามกันออกมา ผมนึกถึงสภาพตัวเองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่ามันช่างแตกต่างกับพวกคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ผมพยายามที่จะไม่เข้าไปหาคนเหล่านั้นและคนเหล่านั้นก็คงคิดเหมือนกันกับผม แต่ถึงผมจะเข้าไป คนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะผลักคนที่ทำตัวแปลกแยกอย่างผมออกมาจากสังคมของเขาเช่นเดียวกัน กินเสร็จผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วเดินกลับเข้าบริษัท ก่อนขึ้นตึกผมแวะทักทายกับลุงยามคนหนึ่ง เป็นไงลุงชัย กินข้าวยัง กินแล้ว แกบอก เอาบุหรี่ไหมลุง ผมพูดพร้อมยื่นซองและไฟแช็คให้ แกรับแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ ระวังนะสูบมากๆเข้าเดี๋ยวจะตายเร็วกว่าข้า แกบอก ลุงก็เหมือนกัน ผมย้อน เอ็งก็อย่ามาชวนข้าซิ แกพูดยิ้มๆ ผมไปทำงานก่อนนะลุง เลยเวลามามากแล้ว ผมบอกแล้วเดินออกมา
ลุงชัยแกเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี มีน้ำใจ ซึ่งก็มีแต่แกนี่แหละที่ผมจะคุยด้วยมากหน่อย แกเข้ามาเป็นยามที่นี่หลังจากผมเข้าทำงานได้หนึ่งเดือน และแกก็อยู่เรื่อยมาจนถึงเวลานี้ แกอยู่ตัวคนเดียวไม่มีลูก ไม่มีเมีย ผมชอบแกที่เป็นคนคุยสนุก ไม่เครียด มีเรื่องตลกๆมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ใครเดินผ่านแกก็ชวนคุยไปเรื่อย บางครั้งผมก็ซื้อข้าวมานั่งกินกับแกด้วยกันในป้อมยาม
ผมไม่มีอะไรต้องทำแล้วในช่วงบ่าย จึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่นรอเวลาผู้จัดการกลับมา เลขาสาวหน้าห้องเดินมาที่โต๊ะแล้วบอกว่า คุณอาวุธ ผู้จัดการเรียกให้เข้าไปพบค่ะ เอ้า ผู้จัดการกลับเข้ามาแล้วหรือครับ ผมถาม กลับมาแล้วกำลังรอพบคุณอยู่ เธอบอก ขอบคุณครับ ผมเดินตามหลังเลขาไปติดๆ เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้าไป ผู้จัดการกำลังนั่งหน้าเครียดกับเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ นั่งก่อนซิ เขาพูดโดยไม่มองหน้า ผู้จัดการมีอะไรกับผมหรือครับ ผมถาม มีซิ เรื่องสำคัญด้วย เขาพูดเสียงเรียบ คุณทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว เขาว่าต่อ สี่ปีแล้วครับ ผมบอก คุณก็รู้ว่าคุณคือพนักงานคนแรกที่ผมรับเข้ามาทำงาน บริษัทเราเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ละคนทำงานร่วมมือช่วยเหลือกันดี คุณว่ามั้ย ครับ ผมทราบ ถึงผมจะมีท่าทางไม่ค่อยสื่อสารกับใครแต่งานผมก็เดินหน้าตามที่ผู้จัดการสั่ง ผมรู้ คุณเป็นคนทำงานดี รักษาระดับมาตรฐานไว้ได้อย่างน่าชื่นชม เป็นกำลังสำคัญของบริษัท มีความเชี่ยวชาญในการทำงาน บริษัทเราก็ไม่เคยเปลี่ยนพนักงานเลย แต่ผมว่าเวลานี้อะไรหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ยอดรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นแต่รายรับกลับน้อยลง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาขาดทุนไปไม่น้อย ในฐานะที่คุณอาวุโสที่สุด ผ่านงานต่างๆมาเยอะ มีประสบการณ์กว่าคนอื่นๆ คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าผมจะ... ให้ผมออกจากงาน ผมแทรกขึ้นทันที ไม่ใช่ ผมแค่ให้คุณพักงานเฉยๆ ทำไมหรือครับ ผมว่าจะลดขนาดของคนในบริษัทดูสักระยะหนึ่งเพื่อบางทีอะไรๆมันจะดีขึ้น ระหว่างนี้คุณควรหางานอื่นทำไปก่อน แล้วจะให้ผมพักกี่เดือนครับ ไม่มีกำหนด ถึงเวลาเมื่อไหร่ผมจะโทรไปบอกเอง ส่วนเรื่องเงินผมให้คุณเบิกของเดือนนี้และเดือนหน้าไว้เลย เดี๋ยวคุณเอาเอกสารนี้ไปให้ฝ่ายบัญชี เขาบอกพลางยื่นเอกสารให้
ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เดินผ่านประตูออกมาเห็นใบประกาศเขียนปิดไว้ว่า รับสมัครพนักงานฝ่ายการจัดการ 1 ตำแหน่ง ความรู้สึกตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแต่ว่าทำไมผู้จัดการถึงไม่พูดกับผมตรงๆ เวลานี้ผมเป็นคนไร้ค่าแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะผมไม่มีงานทำ แต่ไม่หรอกผมยังมีค่าทางจิตใจมากกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก ที่ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่าผมไม่ต้องไปรับใช้ระบบการทำงานที่มีลักษณะแบบตัวใครตัวมัน และต่างคนต่างทำเพื่อตัวเองโดยไม่ได้เห็นใจผู้อื่นเลย
ผมรีบขึ้นรถแท็กซี่มุ่งหน้ากลับห้องพักทันที แวะซื้อเบียร์และกับแกล้มตรงร้านหน้าปากซอยขึ้นมานั่งกินคนเดียวทั้งที่ตะวันยังไม่ตกดิน
เสียงรถราวิ่งกันขวักไขว่เหมือนอย่างเคย แสงไฟยังคงสว่างไสว อีกไม่นานฟ้าก็จะสาง เริ่มนับวันใหม่อีกครั้ง และมันเป็นวันที่ผมไม่ต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอันมีแต่ความจอมปลอมแฝงเร้นอยู่
Create Date : 12 กรกฎาคม 2550 |
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 23:18:55 น. |
|
1 comments
|
Counter : 149 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เบล IP: 58.9.38.178 วันที่: 20 สิงหาคม 2550 เวลา:15:43:44 น. |
|
|
|
| |
|
|
เรารักเค้ามา5ปีไม่เคยคิดที่จะรักใครและจะรักต่อไปจนชีวิตจะไม่มีค่าสำหรับเค้าจะไม่มีทางที่เราจะรักเค้าน้อยลงวันเวลาผ่านไปก้อจะมากขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ได้คุยกับเค้า อยากบอกเค้าว่าเรารักเค้าแต่คงบอกไม่ได้เพราะเค้ามีแฟนแล้วถ้าเราเกิดเร็วกว่านี้เราคงจะบอกเค้าได้แล้วแต่ทำไมกันทำไมพระเจ้าต้องทำกะเราแบบนี้เราไม่เข้าจัยเร่ย
มันปวดจัยรู้ไหมที่เหงเค้ากับแฟนรักกันมันปวดรู้ไหม
พี่เนยไม่เคยเค้าจัยอารายเบลเร่ยพี่เนยไม่เคยคิดกับเบลเมื่อผู้หญิงเร่ยคิดแค่น้องสาว
เบลรักพี่เนยนะ