คนดีไม่มีในโลกหรอก มีแต่คนไม่ดีน้อยกับคนไม่ดีมาก
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
คนไร้ค่า

เสียงฟ้าร้องดังลั่นสนั่นหวั่นไหว ฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด รถราแต่ละคันค่อยๆวิ่งตามหลังกันไปเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดมุ่งหมายของผู้ที่บังคับมัน ผมยืนหลบฝนอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหลังป้ายรถเมล์ เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วที่เม็ดฝนได้หล่นลงมาจากฟ้าและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมเพิ่งเดินออกจากที่ทำงานซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก จริงๆแล้วฝนได้เริ่มตกตั้งแต่ผมยังอยู่ในบริษัท

ผมขึ้นไปเบียดเสียดกับผู้คนมากหน้าหลายตาบนรถเมล์ ช่วงเวลาเลิกงานแบบนี้คนจะเยอะมาก กว่าจะได้ขึ้นก็รอกันนานทีเดียว กวาดสายตามองไปรอบๆเห็นอากัปกิริยาของคนบนรถอยู่ในอาการที่แตกต่างกัน บ้างก็โหนราวเอาใบหน้าซบที่แขนแสดงให้รู้ถึงอาการเมื่อยล้า บ้างก็ยืนคุยโทรศัพท์ บ้างก็นั่งหลับที่ริมหน้าต่างให้สายลมพัดมาตีเข้าหน้า บ้างก็นั่งเหม่อมองข้างทาง ส่วนผมได้แต่ยืนสังเกตผู้คนรอบข้างไปเรื่อยๆ

สองวันมาแล้วผมไม่ได้กลับมานอนที่ห้องเช่า เพราะต้องคอยทำงานให้เสร็จ ทำงาน ทำงาน และก็ทำงานจนจะกินงานแทนข้าวอยู่แล้ว บางครั้งบางคราวผมนึกน้อยใจตัวเองเหมือนกันที่เกิดมาไม่รวย แต่ไม่ได้คิดอะไรมากเพราะแต่ละคนไม่สามารถเลือกเกิดได้ แม่เคยบอกกับผมว่าถึงครอบครัวของเราจะจนดักดานยังไง แต่ขอให้รักษาศักดิ์ศรีของตัวเองไว้อย่าให้คนอื่นมาดูถูก แต่ผมคิดว่าในสังคมที่ผมอยู่นี้ขณะนี้ คำกล่าวของแม่อาจจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว

รถเมล์มาหยุดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก ซึ่งกำลังจะถึงปากซอยห้องพักของผมอีกประมาณสามกิโลเมตร ผมเหลือบมองหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กระโปรงสั้นสีดำ ขาขาวเรียวยาว เสื้อของเธอเปียกฝนพอสมควรทำให้ผมมองเห็นชั้นในสีดำลางๆจากทางด้านหลัง ผมยังไม่เห็นใบหน้าของเธอ ผมคิดในใจว่าผมกับเธอใครจะลงรถก่อนกัน แต่ก็ช่างเถอะ มันไม่เห็นมีความสำคัญตรงไหนเลย เธอลงก่อนผมลงก่อนมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันอยู่แล้ว คิดไปก็ปวดหัวเปล่าๆ ผมเดินฝ่าผู้คนไปยืนรอที่หน้าประตูรถเพราะอีกป้ายเดียวก็จะลงแล้ว ผมมองกลับไปที่หญิงสาวคนนั้นแต่ก็โดนคนอื่นๆในรถบดบังเสียแล้วเลยไม่ได้เห็นหน้า

กลับมาถึงห้องผมเปิดหน้าต่างมองดูรอบๆเห็นแสงสีบนตึกสูงๆสว่างสวยเป็นจุดเล็กๆแลเหมือนหิ่งห้อย เมื่อมองลงไปข้างล่างก็เห็นภาพรถติดเป็นแถวยาว ซึ่งเป็นภาพที่ชินตาเสียแล้วสำหรับเมืองนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีรถราวิ่งขวักไขว่เต็มไปหมด ความวุ่นวายในเมืองหลวงแห่งนี้ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกินกับที่บ้านของผม

ผมเดินไปเสียบกาน้ำร้อนชงบะหมี่แล้วเดินเข้าห้องน้ำ เมื่อกินเสร็จผมแต่งตัวนอนทันทีโดยที่ไม่ได้ทำอะไรอีกเลย เพราะล้ามาจากงานที่ทำอยู่ทุกวัน ไม่ค่อยได้มีเวลานอนสักเท่าไหร่
อีกไม่นานเวลาก็จะเดินทางเข้าสู่วันใหม่
แดดยามเช้าทอแสงอ่อนๆ นกกาบินออกจากรวงรังเสาะหาอาหารเพื่อประทังชีวิตให้ดำเนินต่อไป ผมตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการทำงานในรอบสัปดาห์ ผมคิดว่าหลังเลิกงานวันนี้จะไปหาอะไรดื่มให้หายเหนื่อย คลายเครียดจากการทำงานสักหน่อย ผมใช้เวลาง่วนกับภารกิจส่วนตัวอยู่พักใหญ่ เดินทอดน่องออกมานั่งกินน้ำชาตรงหน้าปากซอยใกล้กับป้ายรถเมล์
“ลุงโก๋ ชาร้อนแก้ว” ผมสั่ง
“ได้เลย ได้เลย” แกร้องบอก “วันนี้ทำไมไปแต่เช้านักล่ะ” แกถาม
“อ๋อ!ลุง วันนี้ต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จ ตอนเย็นมีนัดกินเหล้าคนเดียวที่ห้อง” ผมบอกติดตลก
“ไปกินด้วยคนสิ” แกพูดยิ้มๆพร้อมวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะ
“ได้สิลุง” ผมบอก
“เอ็งไปเถอะ ลุงพูดเล่น” แกบอกแล้วเดินไปหลังร้าน
ผมรู้อยู่แล้วว่าแกพูดเล่น เพราะเวลาผมชวนทีไรแกก็ปฏิเสธตลอด แกเคยบอกว่าเลิกกินเหล้ามาตั้งนานแล้วและที่สำคัญแกอยากตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเลี้ยงดูครอบครัว ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตขี้เมาเหมือนก่อน
“ลุงโก๋ เงินอยู่บนโต๊ะ” ผมตะโกนบอกพร้อมวางเงินแล้วเดินออกมา

ผมเดินข้ามสะพาลอยไปรอรถเมล์ที่ฟากถนนด้านโน้น ป้ายรถเมล์หนาแน่นไปด้วยผู้คน ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับผม นี่ขนาดผมออกมาเช้าแล้วนะ ผมคิดในใจ
รถเมล์เคลื่อนมาจอดหน้าป้าย ด้วยสัญชาตญาณผมรีบวิ่งไปขึ้นทันที พยายามเบียดเสียดผู้คนจนได้นั่งตรงเบาะหลังริมหน้าต่าง ผมนั่งมองไปยังข้อความที่เขียนติดไว้บนรถเมล์ทุกคัน

“โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งให้แก่เด็ก สตรี หญิงมีครรภ์ และคนชรา”

ผมคิดว่าสังคมในสมัยนี้ต่างก็คิดว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา เอาตัวเองให้รอดก่อนที่จะทำเพื่อคนอื่น ผมไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายและไม่ได้ใจร้ายแต่สิ่งที่ผมได้สัมผัส รับรู้ มองเห็นอยู่นั้นมันเป็นความจริง คงจะไม่เหมาะแน่ถ้าผมจะลุกขึ้นยืนเพื่อให้อีกคนต้องนั่ง ที่ทำงานผมอยู่ไกลมากจะให้ยืนตั้งแต่ต้นทางไปจนสุดทางคงเป็นไปไม่ได้ ผมก็ต้องการหาความสบายให้กับตัวเองเช่นกัน และคงเหมือนกับใครหลายๆคนในสังคม

ผมมาถึงที่ทำงานสายอีกตามเคย รีบวิ่งไปตอกบัตรแล้วไปนั่งที่โต๊ะ เพื่อนร่วมงานของผมเจ็ดคนต่างขะมักเขม้นอยู่กับแฟ้มเอกสารที่ตั้งตรงหน้า ส่วนผมยังไม่เริ่มงานเลยเดินไปชงกาแฟนั่งกินที่โต๊ะที่มีไว้สำหรับพนักงานเวลาพักเที่ยง และคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ผมทำงานที่นี่มาเกือบสี่ปีแล้วยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้นเลย สำหรับพนักงานบริษัท เรามีอยู่ด้วยกันสิบคน ผู้จัดการ เลขา และพนักงานอีกแปดคนซึ่งรวมทั้งผมด้วย ผมไม่มีเพื่อนสนิทที่นี่ ถ้ามีอะไรก็จะคุยเพียงผิวเผินเท่านั้นหรืออย่างเวลามีประชุม ต่างคนต่างทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ละคนจะไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่นๆ ผมเองไม่รู้เหมือนกันว่านึกยังไงถึงได้มาทำงานที่นี่ ผมเริ่มรู้สึกเบื่อ อยากจะลองหางานอะไรใหม่ๆทำบ้าง แต่ผมจะทำแบบนั้นไปทำไม ในเมื่องานที่ทำอยู่มันก็พอทำให้สามารถเลี้ยงตัวเองและส่งเงินให้แม่ได้ใช้จ่าย โดยที่ไม่ต้องไปอดๆอยากๆเหมือนขอทานข้างถนน

ไอร้อนจากถ้วยกาแฟลอยกระทบปลายจมูก กลิ่นของมันช่างหอมหวลเหลือเกิน ผมยกมันขึ้นจิบเบาๆพร้อมกับลอบมองไปยังเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น ผมคิดว่าพวกเขากำลังทำงานเพื่ออะไรกันถึงได้ตั้งใจทำกันอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนั้น

ผมเคยได้ยินคำๆหนึ่งและใครอีกหลายคนคงจะได้ยินเหมือนผมเช่นกัน

“ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน”
ค่าของคนคืออะไรผมไม่สามารถตอบตัวเองได้ รู้เพียงแต่ว่าคนทุกคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน ซึ่งมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น คนเรามีค่าเหมือนกัน แต่เราจะเอาอะไรมาวัดว่าแต่ละคนนั้นใครมีค่ามากกว่าใคร สำหรับตัวผมคิดว่าจิตใจต่างหากที่มันสามารถบอกว่าคนๆนั้นมีค่าความเป็นคนหรือไม่ ถ้าผู้คนส่วนใหญ่วัดค่าของคนจากหน้าที่การงานแล้ว ผมคงไม่มีค่าอย่างแน่นอน

บรรยากาศภายในห้องสีขาวแห่งนี้ มันช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของคนเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย ทุกคนยังเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ก็คงจะมีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่ทำตัวไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ผมยังคงทำตัวเหมือนกับลักษณะของคนว่างงาน มีเวลาคอยมานั่งสอดส่ายสายตามองความเคลื่อนไหวของเพื่อนมนุษย์ที่มาจากต่างที่ต่างทางกัน

ผมมองนาฬิกาที่แขวนติดผนัง มันบอกเวลาสิบโมงแล้ว “เราควรจะเริ่มทำงานเสียที” ผมพูด
ความจริงแล้วงานของผมวันนี้ไม่ค่อยมีอะไร แค่นั่งตรวจเอกสารให้ถูกต้องแค่นั้น งานแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่ที่บริษัทตลอดทั้งวันก็ได้ ผมกะว่าสักบ่ายสองโมงค่อยไปขอผู้จัดการกลับก่อนแต่ผมจะอ้างเหตุผลว่าอย่างไรดี เพราะช่วงหลังๆมานี้ผมโดนเพ่งเล็งตลอดเรื่องการมาทำงานสาย ผู้จัดการเคยเรียกเข้าไปพบแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่เตือนว่าอย่าทำบ่อยก็แล้วกัน ควรทำงานให้เสร็จตรงเวลา และมีคุณภาพ ซึ่งผมก็รับตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะ

เวลาเลยเที่ยงมาสามสิบนาที ผมคงต้องออกไปหาอะไรกินให้หนักท้อง รู้สึกหิวแล้ว หอบแฟ้มเอกสารเดินไปวางไว้ที่โต๊ะเลขาหน้าห้องผู้จัดการ “เข้าไปบอกแกเลยดีกว่า” ผมพูด ผลักประตูเข้าไปก็ไม่เห็นใครอยู่เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยกลับมาบอกดีกว่า

ผมเดินไปกินข้าวแกงร้านเจ้าประจำที่อยู่หลังตึก ขณะที่นั่งกินข้าวอยู่นั้นสายตาของผมก็เหลือบมองไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมงานที่เดินตามกันออกมา ผมนึกถึงสภาพตัวเองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่ามันช่างแตกต่างกับพวกคนเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง ผมพยายามที่จะไม่เข้าไปหาคนเหล่านั้นและคนเหล่านั้นก็คงคิดเหมือนกันกับผม แต่ถึงผมจะเข้าไป คนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะผลักคนที่ทำตัวแปลกแยกอย่างผมออกมาจากสังคมของเขาเช่นเดียวกัน
กินเสร็จผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบแล้วเดินกลับเข้าบริษัท ก่อนขึ้นตึกผมแวะทักทายกับลุงยามคนหนึ่ง
“เป็นไงลุงชัย กินข้าวยัง”
“กินแล้ว” แกบอก
“เอาบุหรี่ไหมลุง” ผมพูดพร้อมยื่นซองและไฟแช็คให้ แกรับแล้วจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
“ระวังนะสูบมากๆเข้าเดี๋ยวจะตายเร็วกว่าข้า” แกบอก
“ลุงก็เหมือนกัน” ผมย้อน
“เอ็งก็อย่ามาชวนข้าซิ” แกพูดยิ้มๆ
“ผมไปทำงานก่อนนะลุง เลยเวลามามากแล้ว” ผมบอกแล้วเดินออกมา

ลุงชัยแกเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส อัธยาศัยดี มีน้ำใจ ซึ่งก็มีแต่แกนี่แหละที่ผมจะคุยด้วยมากหน่อย แกเข้ามาเป็นยามที่นี่หลังจากผมเข้าทำงานได้หนึ่งเดือน และแกก็อยู่เรื่อยมาจนถึงเวลานี้ แกอยู่ตัวคนเดียวไม่มีลูก ไม่มีเมีย ผมชอบแกที่เป็นคนคุยสนุก ไม่เครียด มีเรื่องตลกๆมาเล่าให้ฟังบ่อยๆ ใครเดินผ่านแกก็ชวนคุยไปเรื่อย บางครั้งผมก็ซื้อข้าวมานั่งกินกับแกด้วยกันในป้อมยาม

ผมไม่มีอะไรต้องทำแล้วในช่วงบ่าย จึงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่นรอเวลาผู้จัดการกลับมา เลขาสาวหน้าห้องเดินมาที่โต๊ะแล้วบอกว่า “คุณอาวุธ ผู้จัดการเรียกให้เข้าไปพบค่ะ”
“เอ้า ผู้จัดการกลับเข้ามาแล้วหรือครับ” ผมถาม
“กลับมาแล้วกำลังรอพบคุณอยู่” เธอบอก
“ขอบคุณครับ”
ผมเดินตามหลังเลขาไปติดๆ เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้าไป ผู้จัดการกำลังนั่งหน้าเครียดกับเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ
“นั่งก่อนซิ” เขาพูดโดยไม่มองหน้า
“ผู้จัดการมีอะไรกับผมหรือครับ” ผมถาม
“มีซิ เรื่องสำคัญด้วย” เขาพูดเสียงเรียบ “คุณทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว” เขาว่าต่อ
“สี่ปีแล้วครับ” ผมบอก
“คุณก็รู้ว่าคุณคือพนักงานคนแรกที่ผมรับเข้ามาทำงาน บริษัทเราเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ละคนทำงานร่วมมือช่วยเหลือกันดี คุณว่ามั้ย”
“ครับ ผมทราบ ถึงผมจะมีท่าทางไม่ค่อยสื่อสารกับใครแต่งานผมก็เดินหน้าตามที่ผู้จัดการสั่ง”
“ผมรู้ คุณเป็นคนทำงานดี รักษาระดับมาตรฐานไว้ได้อย่างน่าชื่นชม เป็นกำลังสำคัญของบริษัท มีความเชี่ยวชาญในการทำงาน บริษัทเราก็ไม่เคยเปลี่ยนพนักงานเลย แต่ผมว่าเวลานี้อะไรหลายๆสิ่ง หลายๆอย่าง มันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ยอดรายจ่ายเพิ่มมากขึ้นแต่รายรับกลับน้อยลง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาขาดทุนไปไม่น้อย ในฐานะที่คุณอาวุโสที่สุด ผ่านงานต่างๆมาเยอะ มีประสบการณ์กว่าคนอื่นๆ คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าผมจะ...”
“ให้ผมออกจากงาน” ผมแทรกขึ้นทันที
“ไม่ใช่ ผมแค่ให้คุณพักงานเฉยๆ”
“ทำไมหรือครับ”
“ผมว่าจะลดขนาดของคนในบริษัทดูสักระยะหนึ่งเพื่อบางทีอะไรๆมันจะดีขึ้น ระหว่างนี้คุณควรหางานอื่นทำไปก่อน”
“แล้วจะให้ผมพักกี่เดือนครับ”
“ไม่มีกำหนด ถึงเวลาเมื่อไหร่ผมจะโทรไปบอกเอง ส่วนเรื่องเงินผมให้คุณเบิกของเดือนนี้และเดือนหน้าไว้เลย เดี๋ยวคุณเอาเอกสารนี้ไปให้ฝ่ายบัญชี” เขาบอกพลางยื่นเอกสารให้

ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เดินผ่านประตูออกมาเห็นใบประกาศเขียนปิดไว้ว่า “รับสมัครพนักงานฝ่ายการจัดการ 1 ตำแหน่ง” ความรู้สึกตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากเพียงแต่ว่าทำไมผู้จัดการถึงไม่พูดกับผมตรงๆ
เวลานี้ผมเป็นคนไร้ค่าแล้วสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะผมไม่มีงานทำ แต่ไม่หรอกผมยังมีค่าทางจิตใจมากกว่าคนเหล่านั้นเสียอีก ที่ผมเชื่ออย่างนั้นเพราะว่าผมไม่ต้องไปรับใช้ระบบการทำงานที่มีลักษณะแบบตัวใครตัวมัน และต่างคนต่างทำเพื่อตัวเองโดยไม่ได้เห็นใจผู้อื่นเลย

ผมรีบขึ้นรถแท็กซี่มุ่งหน้ากลับห้องพักทันที แวะซื้อเบียร์และกับแกล้มตรงร้านหน้าปากซอยขึ้นมานั่งกินคนเดียวทั้งที่ตะวันยังไม่ตกดิน

เสียงรถราวิ่งกันขวักไขว่เหมือนอย่างเคย แสงไฟยังคงสว่างไสว อีกไม่นานฟ้าก็จะสาง เริ่มนับวันใหม่อีกครั้ง และมันเป็นวันที่ผมไม่ต้องออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอันมีแต่ความจอมปลอมแฝงเร้นอยู่




Create Date : 12 กรกฎาคม 2550
Last Update : 12 กรกฎาคม 2550 23:18:55 น. 1 comments
Counter : 149 Pageviews.

 
ขอให้เค้ามีจัยให้เราเพียงนิดเดียวมันก้อทำให้ตัวเราดูมีค่ามากแล้ว แต่เค้าจะจัยหรือป่าวนี้สิคือปัญหา
เรารักเค้ามา5ปีไม่เคยคิดที่จะรักใครและจะรักต่อไปจนชีวิตจะไม่มีค่าสำหรับเค้าจะไม่มีทางที่เราจะรักเค้าน้อยลงวันเวลาผ่านไปก้อจะมากขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ได้คุยกับเค้า อยากบอกเค้าว่าเรารักเค้าแต่คงบอกไม่ได้เพราะเค้ามีแฟนแล้วถ้าเราเกิดเร็วกว่านี้เราคงจะบอกเค้าได้แล้วแต่ทำไมกันทำไมพระเจ้าต้องทำกะเราแบบนี้เราไม่เข้าจัยเร่ย
มันปวดจัยรู้ไหมที่เหงเค้ากับแฟนรักกันมันปวดรู้ไหม
พี่เนยไม่เคยเค้าจัยอารายเบลเร่ยพี่เนยไม่เคยคิดกับเบลเมื่อผู้หญิงเร่ยคิดแค่น้องสาว
เบลรักพี่เนยนะ


โดย: เบล IP: 58.9.38.178 วันที่: 20 สิงหาคม 2550 เวลา:15:43:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

communist
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฉันเป็นเเค่เพียงปุถุชนธรรมดาที่เกิดมาเผชิญหน้ากับโลกสีหม่น
Friends' blogs
[Add communist's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.