คิดถึงเชียงราย...

 
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 พฤษภาคม 2553
 

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ: เรื่องนี้มีแต่อมยิ้ม...




ช่วงหลัง ๆ ข้าพเจ้าบอกจากใจว่า ไม่มีหนังไทยเรื่องไหนเลยสักเรื่องช่วงปี 52 ที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกประทับใจ จนทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งกระตุ้นลักยิ้มขวาข้าพเจ้าโฉบฉายออกมาทางใบหน้า ยิ้มฉ่ำแป้นบานประดุจดั่งคนสมหวังในรัก... ไม่มีเลยสักเรื่องไม่มี๊! ไม่มี!








ก็อย่างที่คุณ ๆ ทราบกัน ตลอดปี 52 ที่ผ่านมา หนังไทยในบ้านเรา ส่วนมากมีแต่หนังตลกบั่นทอนไอคิวสมอง ลูกอีช่างวกวนมุกใต้สะดือ บทหนังตุ๊ดแตก (ผู้กำกับตุ๊ดมุกตัน) หรือประเภทบู๊จัดฉากขายบทแอ็คชั่น “จำลอง” สารคดีสตันท์โชว์ บทหนังขาดตรรกะน่าเชื่อถือ องค์ประกอบความเป็นหนังเบาหวิวทุกสัดส่วน จะเป็นเพราะผู้กำกับมือขึ้นกำพร้าฝีมือ นายทุนฉาบฉวยหมางเมินศิลปะ ก็แล้วแต่... ที่สร้างเพื่อป้อนคนดูหนังประเภทเช้าชามเย็นชาม แน่นอนมันอาจจะขายได้กับกลุ่มคนดูพวกนี้ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มคนดูที่ต้องการบริโภคหนังไทยเน้นหนักส่วนบทหนัง มากกว่าหนังที่เน้นมุกใต้สะดือ กระเทยแรมโบ้วี๊ดว้ายกระตู้หู้ หรือโชว์สตันท์แมน สตันท์เกิร์ล แก้ผ้าเอาหน้ารอดโปรดักชั่น








จริงอยู่แม้ว่าหนังหวังกล่องอย่าง นางไม้ ความจำสั้น อาจจะดีสำหรับคุณ ๆ แต่สำหรับข้าพเจ้ากลับรู้สึกไม่อิ่มเอิบแต่อย่างใด เรื่องแรกเป็นเอกยังคงไม่หลีกหนีสไตล์หนังแบบเก่า ๆ เรื่องที่สองแม้จะดีกว่าเรื่องแรก แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกกำลังถูกยัดเยียดโฆษณามัดมือชกซะงั้น...









กระทั่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” หนังที่ข้าพเจ้าเคยสบประมาทวินาทีแรกที่ชำเลืองเห็นโปสเตอร์ริมถนนขณะกำลังนั่งรถเมล์ ครั้นเมื่อหนังลงโรง ข้าพเจ้ากลับรู้สึกสงกะสัย ฉไนหนังโปสเตอร์จืด ๆ เรื่องนี้ กลับทำเงินพุ่งแรงแซงทางโค้งทะลุร้อยล้าน... ? หนังมันดีขนาดนั้นเชียวหรือ? นี่คือคำถามที่ข้าพเจ้าซักตัวเองขณะที่หนังเริ่มรายได้เหยียบ 150 ล้านอยู่ร่ำไร...









ช่วงหลัง ๆ ข้าพเจ้าบอกจากใจว่า ไม่มีหนังไทยเรื่องไหนเลยสักเรื่องช่วงปี 52 ที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกประทับใจ จนทำให้สารอะดรีนาลีนหลั่งกระตุ้นลักยิ้มขวาข้าพเจ้าโฉบฉายออกมาทางใบหน้า ยิ้มฉ่ำแป้นบานประดุจดั่งคนสมหวังในรัก... ไม่มีเลยสักเรื่องไม่มี๊! ไม่มี!









ก็อย่างที่คุณ ๆ ทราบกัน ตลอดปี 52 ที่ผ่านมา หนังไทยในบ้านเรา ส่วนมากมีแต่หนังตลกบั่นทอนไอคิวสมอง ลูกอีช่างวกวนมุกใต้สะดือ บทหนังตุ๊ดแตก (ผู้กำกับตุ๊ดมุกตัน) หรือประเภทบู๊จัดฉากขายบทแอ็คชั่น “จำลอง” สารคดีสตันท์โชว์ บทหนังขาดตรรกะน่าเชื่อถือ องค์ประกอบความเป็นหนังเบาหวิวทุกสัดส่วน จะเป็นเพราะผู้กำกับมือขึ้นกำพร้าฝีมือ นายทุนฉาบฉวยหมางเมินศิลปะ ก็แล้วแต่... ที่สร้างเพื่อป้อนคนดูหนังประเภทเช้าชามเย็นชาม แน่นอนมันอาจจะขายได้กับกลุ่มคนดูพวกนี้ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มคนดูที่ต้องการบริโภคหนังไทยเน้นหนักส่วนบทหนัง มากกว่าหนังที่เน้นมุกใต้สะดือ กระเทยแรมโบ้วี๊ดว้ายกระตู้หู้ หรือโชว์สตันท์แมน สตันท์เกิร์ล แก้ผ้าเอาหน้ารอดโปรดักชั่น









จริงอยู่แม้ว่าหนังหวังกล่องอย่าง นางไม้ ความจำสั้น อาจจะดีสำหรับคุณ ๆ แต่สำหรับข้าพเจ้ากลับรู้สึกไม่อิ่มเอิบแต่อย่างใด เรื่องแรกเป็นเอกยังคงไม่หลีกหนีสไตล์หนังแบบเก่า ๆ เรื่องที่สองแม้จะดีกว่าเรื่องแรก แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกกำลังถูกยัดเยียดโฆษณามัดมือชกซะงั้น...









กระทั่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสชมเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” หนังที่ข้าพเจ้าเคยสบประมาทวินาทีแรกที่ชำเลืองเห็นโปสเตอร์ริมถนนขณะกำลังนั่งรถเมล์ ครั้นเมื่อหนังลงโรง ข้าพเจ้ากลับรู้สึกสงกะสัย ฉไนหนังโปสเตอร์จืด ๆ เรื่องนี้ กลับทำเงินพุ่งแรงแซงทางโค้งทะลุร้อยล้าน... ? หนังมันดีขนาดนั้นเชียวหรือ? นี่คือคำถามที่ข้าพเจ้าซักตัวเองขณะที่หนังเริ่มรายได้เหยียบ 150 ล้านอยู่ร่ำไร...









สำหรับบท ลุง (เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) หนุ่มวิศวกรบีทีเอส สุภาพบุรุษในฝันของหญิงสาวหลายคนที่กำลังนั่งเล่นหมากเก็บอยู่บนคานเพชร ข้าพเจ้าต้องขอชมคุณปิ๊งและทีมงานที่เลือกตัวละครนี้ได้อย่างเหมาะสม รูปหล่อขั้นเทพ สุขุม ฉลาด ซึ่งคุณ เคน ก็เหมาะสมอย่างยิ่งด้วยประการทั้งปวงกับบทนี้ เมื่อสาวบ๊องอย่างลี่ ต้องมาสนทนากับหนุ่มสุขุมอย่างลุง การแสดงของคุณคริส จึงดูเป็นธรรมชาติคล้อยไหลไปกับมุกที่ถูกจังหวะจับโคนอย่างลงตัว แลกมาซึ่งเสียงฮาคนดูเป็นระยะ ๆ









ในส่วนของการพัฒนาความสัมพันธ์ตัวละคร ถือเป็นส่วนแข็งของหนัง ที่สะกดใจข้าพเจ้ายากละสายตาหน้าจอ หนังทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคล้อยตามไปกับความรักของ ลี่ กับ ลุง ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น บ่อยครั้งความเร่อร่าของลี่ นำมาซึ่งความหายนะ โน๊ตบุ๊ค กล้อง แว่นตา ของลุงค่อย ๆ ชิ (บ) หายทีละชินสองชิ้น แต่ด้วยบุคลิกลุงที่ง่าย ๆ ทุกครั้งที่ลี่ยกมือขอโทษ ลุงจะยิ้มตอบกลับมา “ไม่เป็นไรครับ” รอยยิ้มและคำพูดสั้น ๆ นี้เอง ทำให้ทั้งลี่ และผู้ชมรู้สึกปลอดภัยและเป็นกันเองกับเขา การแสดงของคุณเคน คือจุดแข็งอีกส่วนหนึ่งของหนัง ที่ทำให้คนดูเผลอใจหลงรัก “โลกไฟฟ้ามาหานะเธอ” อย่างไม่รู้ตัว...





>





ช่วงต้นเรื่องและกลางเรื่องหนังจำลองมุกตลกร้ายชีวิตคนโสด และการพัฒนาความรักระหว่าง ลี่ กับ ลุง อย่างสมดุลย์ โดยมีอุปสรรคมือที่สามมาขวางกั้นลี่ ชวนคนดูลุ้นว่า ความรักเธอจะสมหวังไหม... จากสาวข้างบ้านที่ดันทะลึ่งชอบผู้ชายคนเดียวกัน และเธอก็พยายามตามจีบ (อ่อย) ลุงทุกวิถีทาง แต่ด้วยประโยคเด็ด “คนนี้พี่ขอ” ที่ลี่กัดฟันบอกสาวข้างบ้าน ก็ทำให้คนดูรู้สึกโล่งอก ขจัดปัญหารักสามเส้าออกไป และทำให้คนดูเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ ที่มีต่อลุงว่า “เธอไม่ใช่แค่ปลื้ม หลง ชอบ แต่เธอกำลังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้”










ในขณะเดียวกันฉากที่ลุง ยอมสละวันหยุดสงกรานต์ตัวเอง ชวนลี่ถึงบ้านให้มาเล่นน้ำด้วยกันวันสงกรานต์ นั่นก็บ่งแล้วว่า ลุงเองก็ชอบหรือคิดกับลี่มากกว่าคำว่า “เพื่อน” แต่ด้วยบุคลิกลุง พูดน้อย สุขุม จึงดูไม่เอิกเกริกนักสำหรับการแสดงออกครั้งนี้ และถ้าในชีวิตจริงใครที่ทำงานออฟฟิศไม่มีวันหยุด น่าจะรู้ดีว่าวันหยุดนั้น มีค่ายิ่งกว่าเม็ดเพชรก้อนโต ทันทีที่รู้ล่วงหน้าว่าหยุดวันไหน การวางแผนเที่ยวกับคนที่เรารักหรือรักเราต้องมี มันคือวันที่มีค่าของคนทำงานออฟฟิศประเภทนี้จริง ๆ ลุงสละเวลาวันหยุดชวนลี่เล่นน้ำ ใช้ชีวิตทั้งวันอยู่กับเธอ สิ่งนี้ได้ตอบโจทย์กับคนดูดีอยู่แล้วว่า ลุงเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับลี่ไม่ต่างกับที่ลี่รู้สึกกับลุง









บทหนังปูการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งคู่ ภายใต้องค์ความเป็นหนังตลก คอมเมดี้ เสถียรความสนุก ไม่สะดุดหรือทำให้คนดูรู้สึกถูกยัดเยียดแบบหนังตลก คอมเมดี้ทั่วไปแต่อย่างใด










ช่วงท้ายหนัง หนังได้ตอบโจทย์แฝงแง่คิดดี ๆ กับทุกคนที่ยึดทฤษฎีความรักเชิงลบ “ความรักแพ้ระยะทางและเวลา” ข้าพเจ้าชอบที่อาม่า เล่าให้ลี่และม๊าก็แปลฟัง ตอนเพิ่งกลับจากเที่ยวเมืองจีน “ไม่ว่าอาม่ามองไปทางไหนก็นึกถึงแต่อากง ชี้นู้นนี่เล่าให่ม๊าลี่ฟังตลอดเวลา” ทั้ง ๆ ที่อากงม่าก็เสียไปแล้ว ความตายพลัดพรากทั้งคู่จากกัน แต่ความรักของม่าไม่เคยตายจากไป นี่จึงเป็นคำตอบแฝงแง่คิด ให้ลี่ที่เพิ่งตอบโจทย์ “ความรักแพ้ระยะทางและเวลา” อย่างผิด ๆ ไป ได้สำนึก หลังจากที่เธอเพิ่งหักอกลุง เมื่อรู้ว่าเขาต้องไปเรียนต่อที่เยอรมันมะรืนนี้










ฉากจบตอนที่ ลี่ ลุง บังเอิญเจอกันบนรถไฟฟ้า ข้าพเจ้าแอบนิสัยเสียนำมาเปรียบเทียบกับหนังฮ่องกงคลาสสิค เถียนมิมี่ 3,650 วันรักเธอคนเดียว (Almost a Love Story) ”ถ้าคนเราจะเป็นเนื้อคู่กันยังไงก็ต้องใช่” แต่ถึงแม้ฉากจบหนังรักแบบนี้จะมีให้ข้าพเจ้าเสพถมไป อาทิ My Sassy Girl, Serendipity แต่ข้าพเจ้ากลับไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ขณะกำลังชมฉาก ๆ นี้ ทำไมข้าพเจ้าจึงรู้สึกอิ่มเอิบใจกว่าหนังรักทั่วไปอย่างบอกไม่ถูก มันไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดหรือตัวหนังสือภาษากุหลาบได้กับวินาทีนั้นที่นั่งชม นอกจากอมยิ้มแห่งความสุขเนืองนองของนายอนุรักษ์...








 

Create Date : 15 พฤษภาคม 2553
0 comments
Last Update : 15 พฤษภาคม 2553 11:07:13 น.
Counter : 1286 Pageviews.

 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

Chrono_Trigger
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คิดถึงเชียงราย...
[Add Chrono_Trigger's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com