Group Blog
 
 
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
31 สิงหาคม 2550
 
All Blogs
 

เกิดมา เป็นอย่างนี้ ... จริงหรือ ^ O ^




ยายจะเล่าเรื่อง ส่วนตั๊ว ส่วนตัว ให้ฟัง


อายุ 7 ขวบ แม่ของยาย พายายไปเจาะหู ตามธรรมเนียมนิยม ของเพศหญิง ในยุคนั้น และยายเองก็คงอยากใส่ต่างหู เองด้วยแหละ

ยายถือพายเล่มเล็ก ๆ นั่งหัวเรือลำเล็ก ๆ แม่พายท้าย บ้านที่รับเจาะหู เป็นห้องแถวไม้ชั้นเดียว อยู่ตรงที่ตั้งโรงไม้ และธนาคารออมสิน ปากคลองบางกรวย ใกล้ ๆ วัดชะลอ ในปัจจุบัน

ที่ห้องแถวนั้น มีอาซิ้มคนหนึ่ง อายุใกล้ 50 ปี (เดา) เป็นคนรับเจาะหูประจำถิ่น

เมื่อแม่ผูกโซ่เรือแล้ว เราสองคนก็เดินตัวติดกัน ยายติดอยู่ก้นแม่ ผ่านนอกชานไม้ห่าง ๆ กว้างไม่ถึงสองเมตร แล้วก็ถึงประตูห้องอาซิ้ม ห้องมืดมาก ขณะนั้นประมาณ บ่ายใหม่ ๆ

แสงในห้องน้อยมาก ยายละเกลียดจริง ๆ เลย ไอ้ห้องที่ปิดมืดหมดเนี่ยะ มีไฟหลอดกลมสีเหลือง ๆ เปิดอยู่หนึ่งดวงกลางห้อง

แล้วอาซิ้มก็เริ่มเปิดฉากการฆาตรกรรมใบหูนุ่มนิ่มของเด็กสาววัยใสทันที ยายนุ่งกางเกงขาสั้น เหนือเข่าไม่มาก ราว 2-3 นิ้ว สมัยนั้นแค่นั้นก็ถือว่า เตี่ยแม่ใจดีมากแล้ว ที่ตัดเย็บให้ใส่แบบนั้น

ใส่เสื้อคอกลมฝีมือแม่อีกตามเคย จำได้ว่านั่งมองอาซิ้ม หยิบเข็มเย็บผ้าจากห่อ เข็มนั้นเก่ามาก สีดำเพราะเกรียมไฟ เมื่อลนไฟกับตะเกียงน้ำมันก๊าด ดวงเล็ก ๆ จนแดงดีแล้ว ก็เป็นอันพร้อม ...

ต่อจากนั้น แม่ของยายก็รู้หน้าที่ คือ จับยายเข้าที่ล็อค คือขาสองข้างของแม่นั่นเอง โดยให้ยายหันหน้าออกนั่งอยู่บนตักในผ้าถุงของแม่ หันหน้าเข้าหาเข็มที่โชกโชนเล่มนั้น แล้วเราก็ประจันหน้ากัน เข็มอันแรงร้อนกับเด็กน้อย ผู้มีเพียงเสียงเป็นอาวุธ



อาซิ้มเขยิบเข้าใกล้ มือยื่นอาวุธสังหารเข้ามา ยายหลับตาปี๋ กัดฟันแน่น ตั้งใจมาแล้ว ว่าจะต้องร้องให้สนั่นแม่น้ำเลย แต่แม่ยายไวกว่าอ่ะ มือซ้ายล็อคแขนสองข้างของยายไว้ ขาแกน่ะไม่ว่างแล้ว เพราะล็อคอยู่ที่ท่อนล่างของยาย

แม่ไวมากจริง ๆ นับถือ ๆ พอเข็มจะจิ้มถูกเนื้อ แม่ก็ใช้มือเค็ม ๆ ที่ว่างอยู่ตะปบปากยายไว้ทันที ยายดิ้นจิคะ จะเหลือเร้อ ดิ้น ๆ ก็มันเจ็บมากกกกนี่นา

ร้องก็ไม่ออก ได้แต่ดิ้น ๆ ๆ ๆ น้ำตาไหลพราก ๆ เสียงอื๊ด ๆ ของยาย คงทำให้แม่สงสาร แม่จึงยอมบอกกับอาซิ้มว่า พอเหอะ หนังมันคงเหนียว พอยายหลุดจากมือแม่มาได้ ยายเผ่นลงไปอยู่ในเรือ แก้โซ่เตรียมพร้อม

คว้าพายทันที เปล่ามะได้คิดจะซัดฆาตรกรสองคนนั้น ยายจะจ้ำเรือหนีจริง ๆ ด้วย หากแม่ไม่รีบกระโดดลงมาให้ทัน ก้อต้องว่ายน้ำกลับเองก้อแล้วกัน

อ้อ ! ลืมบอกไป ยายพายเรือเก่งตั้งแต่สองขวบ
ผ้าผ่อนไม่ใส่ ตัวดำปี๋วิ่งขึ้นวิ่งลง ระหว่างหัวสะพานท่าน้ำ กับบันไดลงน้ำ


คือคอยรอว่ามีผู้ใหญ่คนไหน จะลงไปท่าน้ำเพื่อล้างของ หรืออาบน้ำ หรือทำอะไรที่เกี่ยวกับน้ำ ยายก็จะตามเขาลงไปแช่น้ำด้วย


ยามที่ไม่มีใครลงไปท่าน้ำ ยายก็จะใช้พายกวนขนมสมัยนั้น มันใหญ่พอควร ยาวกว่าครึ่งเมตร ทำท่าพายอยู่บนนอกชานบ้าน โดยมีแม่ หรือไม่ก็อาม้า คือยายของยาย นั่งเฝ้าดูอยู่ ยายพายเรือเล่นอยู่อย่างนั้นได้ครั้งละนาน ๆ พายกับอากาศธาตุ แต่คงสนุกมาก คงจะจิ้นว่าได้พายไปโน่นไปนี่ ตามประสา ไม่งั้นคงไม่เล่นอยู่ได้นาน ๆ (อาม้า แม่ และน้า เล่าให้ฟัง ตอนที่เป็นสาวแล้ว) ...

ถ้าไม่เล่นพายเรือ ก็จะให้เล่นไรล่ะ แค่สองขวบนี่นะ เล่นไพ่เหรอ เล่นทำกับข้าวเหรอ หรือจะเย็บจักร ของเล่นสมัยนั้นมันมีไม่กี่อย่างนักหรอกนะ


อิ อิ บางครั้งพยายามเอื้อมพายให้ถึงน้ำ หัวก็จะทิ่มลงไป พอได้ยินเสียงจ๋อม แม่ หรือยาย ก็เผ่นแผ็วลงน้ำ คว้าตัวขึ้นมาทันที ไม่เกิน 20 วิ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย คนริมน้ำ ทุกคนล้วนว่ายน้ำ ดำน้ำเก่ง

เพราะแต่ละวัน ไม่กระโดดตามลงไปเก็บลูกหลาน ก็ต้องตามเก็บของหล่น ดังนั้น เด็ก ๆ ชาวริมน้ำ จึงมักต้องถูกล่ามขาด้วยเชือกที่ทำจากผ้าฉีก ไว้กับเสากลางบ้าน ...

นอกจากนั้น แต่ละบ้านก็ต้องมีการกั้นคอก ตอนที่ลูกเริ่มคลานเก่ง จนถึงวิ่งซนได้ คอกคือลูกกรง ปิดกั้นไว้ทุกช่องประตู สูงแค่ให้ผู้ใหญ่ก้าวข้ามได้ จะลื้อคอกออกอีกที ก็ตอนที่ลูก ๆ รู้ความแล้ว รู้แล้วว่าตกน้ำตายแปลว่าอะไร



แต่แล้ววันหนึ่งก็มาถึง

วันนั้น เป็นเวลาเช้า ราวเจ็ดโมง (เดา) น้าสาวคนเล็ก ซึ่งชอบการทำอาหาร ( เมื่อแม่ของยาย แต่งงานแล้วแยกบ้านมาอยู่อีกหลัง ที่ติด ๆ กะแม่ของแม่นั่นแหละ ดังนั้น ที่บ้านอาม้าของยาย ยังมี อีกสองสาวที่ยังมะได้ออกเรือน น้าสาวคนโต ชอบงานตัดเย็บเสื้อผ้า ยายจึงตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นตั้งแต่ สิบขวบต้น ๆ อิ อิ ทำเป็นคุย แต่เย็บให้ตัวเองใส่ได้คนเดียวนะ 555 ) กำลังนั่งล้างถั่วดำหม้อใหญ่ เพราะอาม้าของยายทำขนม และข้าวแกงขาย ฝีมืออร่อยมาก ๆ จนยายกินอะไร ๆ ในสมัยนี้ ก็ต้องบ่นว่าไม่อร่อยไปหมด เพราะอาม้า ป้าใหญ่ แม่ และ น้าสาวทั้งสอง ทำเสียนิสัยไว้นั่นเอง ... แหมไม่อยากจะบอกว่า ไม่ใช่เฉพาะกับคนที่ยายท่องมาทั้งหมดนั้นเท่านั้นนะ

เตี่ยของยายก็ทำอาหารจีนอร่อยมาก น้ำแกงจืดรสเลิศ ไม่มีการใช้ผงใด ๆ ช่วย ผัดต่าง ๆ เจี๋ยน นึ่ง ตุ๋ย เก่งไปหมด

ต่อมา เมื่อยายแต่งงาน คุณตาของยายก็ทำอาหารอร่อยมากหลาย ๆ อย่าง ยายจึงมีความสุขกับการรับทาน มานานโขทีเดียว หากยายฉลาดสักนิด มีสายตายาวไกล ป่านนี้ ตระกูลเราต้องเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว 5555

น้าสาวคนเล็ก ต่อมามีลูกสาวสองคน ก็เก่งเรื่องอาหารไทยเอามาก ๆ เฮ้อ !!! มียายนี่แหละ ที่เป็นแกะดำ เอาแต่นั่งบ่นว่าอาม้าว่า ดูจิ อยู่ในครัวตั้งแต่ตี่สี่ จนมืดค่ำ ได้เหนื่อยแทบตาย กินเข้าไปแป๊บเดียว ก็ออกมาเป็นอึแล้ว ทำกันอยู่ได้

ไข่เจียวใบเดียวก็อิ่มแล้ว จะอะไรกันนักหนา ยายก็ขุ่นเคืองใจมาก หากถึงเทศกาลที่ต้องทำอาหารคาวหวานกันยกใหญ่ เพราะยายจะโดนงานหนักที่จำได้แม่น ๆ อยู่สองเรื่อง คือโม่แป้งทำขนมเข่ง กะขนมเทียน เมื่อยแขนแทบหลุด เพราะโม่หินของอาม้านั้นหนักมาก ๆ

และอีกงานที่เบื่อมากกกก คือขูดมะพร้าว ทีละ 20-30 ลูก ทั้งแกง ทั้งขนม ต้องมันมาก ๆ จึงจะอร่อย แต่คนสมัยนั้นก็ไม่มีใครเป็นเบาหวาน กะ ไขมันสูงกันเลย

เพราะกินเข้าไปแล้ว มีการเผาผลาญหมด ไหนจะต้องจ้ำเรือไปขายของ จ้ำเรือไปสวน ไปตลาด ปีนป่ายไปเก็บผลไม้ ว่ายน้ำไปหากุ้ง หาปลา ตักน้ำใส่โอ่ง หวิดนำรดต้นไม้ในสวน มีงานออกแรงให้ทำทั้งวัน ไม่มีหยุด

ผู้ใหญ่ทุกคนมีงานที่ต้องใช้แรงกันทั้งสิ้น เด็ก ๆ จะเล่นอะไรก็ต้องออกแรงมาก ๆ เช่น ว่ายน้ำข้ามคลอง (ของโปรด ชอบมาก) วิ่งเปรี้ยว กระโดดท้องร่อง (อันนี้ไม่ชอบเลย เพราะก้นใหญ่แต่เด็ก กระโดดไปแต่หัว ตุ๊ดยังอยู่กลางท้องร่องทุกที

ตี่จับนี่ก็ชอบมาก ได้กลั้นลมหายใจ กระโดดเชือก ไม่ว่าจะแบบไหนถนัดมาก ตัวถึงได้สูงแค่คืบเดียว 555


ไอ้เข้ ไอ้โขง อันนี้ก็ชอบมั่ก ๆ มันดี ตื่นเต้น เร้าใจ แต่ให้ตายเถอะ หน้าแข้งไม่เหลือเลย และไอ้เข้ไอ้โขง นี่ต้องเล่นกับท่าน้ำวัด จะดีมาก ระยะกระโดดข้ามฟาก ก็กำลังดี ระยะหนีมือเพื่อนไม่ให้เอื้อมถึงตัวก็กำลังเหมาะ เสียหายอยู่อย่างเดียว คือ ที่นั่งพักมันสูง เราเตี้ยกระโดดหนีไอ้เข้ทีไร หน้าแข้งซัดกะขอบไม้ทุกที ปวดมากกกก

เก็บหลักฐานเขียวเป็นก้อน ๆ ไปโรงเรียน 555 อยู่เป็นประจำ และพระก็จะมาไล่ไม่ให้เล่น โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงห้าม ๆ ๆ ถามเหตุผล ก็มะยอมตอบ บอกแต่เพียงว่า ไม่มีใครเขาทำกัน เฮอะ !!! เบื่ออออออ



พอหลวงตาออกมาจากกุฏิ เดินเห็นเหลือง ๆ มาแต่ไกล ยายกับพี่ชาย และเพื่อน ๆ บ้านอยู่ติด ๆ กันอีกสองสามคน ก็กระโดดลงน้ำ ว่ายข้ามฟากหนีกลับถิ่น ไปลอยคอ ดำผุดดำว่าย อยู่ใต้ถุนบ้านตัวเอง

ยายเป็นอย่างนี้ ในช่วง 3 - 10 ขวบ จากนั้นความสาวมาเยือนเร็วมาก ยายไม่มีโอกาสออกจากบ้านไปเล่นที่ท่าน้ำหน้าวัดอีกเลย ได้แต่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามส่งสายตามองย้อนอดีตไปไกลโพ้น คิดถึงวันคืน ที่มีความสุขมากมาย กับแม่น้ำสายนั้น ...

แต่การออกไปเล่นของยายกับพี่ชาย จะต้องอยู่ในรัศมี ที่แม่จะตะโกนเรียกหาได้ถึง คือห่างจากบ้านได้ไม่เกิน 3-4 หลัง เท่านั้น ถ้าแม่นึกถึงลูกเล็ก ๆ สองคนได้เมื่อไหร่ ก็จะตะโกนเรียก หากเราไม่ขานรับ ภายใน หนึ่งอึดใจ แม่จะทิ้งงาน ...
ออกอาละวาดทันที



เมื่อน้าสาวล้างถั่วดำเสร็จ ก็รีบยกหม้อเข้าครัวหลังบ้าน ลืมคุณหลานตัวอวบอิ่ม ดำปี๋ หน้างอก ผมแดงกรัง ไว้ที่ท่าน้ำกับพายกวนขนมหนึ่งเล่ม

อีกนานแค่ไหนไม่ปรากฏ ยายปรีก (จำชื่อนี้แม่นมาก เพราะเป็นหน่วยกู้ชีพให้ยาย) ยายแกพายเรือบดมาขายของสวนกระจุกกระจิก ส่วนใหญ่เรือขายของจะจอดแถว ๆ ท่าน้ำบ้านยาย และกระจายไปซ้าบขวา เป็นแนวยาว รวมแล้วราว ร้อยกว่าเมตร

เราเรียกว่าตลาดน้ำ แต่ตอนยายหล่นจ๋อมลงไป เข้าใจว่าใกล้เวลาตลาดวาย จึงไม่มีคนเห็น

ฟ้ากำหนดมาให้ยายปรีก ต้องจอดเรือเข้ามาที่ใกล้ ๆ หน้าบ้านยาย และชะลอเรือ พูดคุยอยู่กับคนขายของด้วยกัน เหลืออยู่อีกสองสามลำเท่านั้น หากเป็นช่วงติดตลาด จะมีมากกว่าห้าสิบลำ

ยายแกเห็นผมสยาย ๆ ติดใบพายขึ้นมา แกร้องลั่นสนั่นแม่น้ำ คงจะแบบแหบ ๆ อ่ะนะ
เด็กตกน้ำ เด็กตกน้ำ



จากนั้น ทุกคนที่ได้ยินจึงจ้ำเรือ แห่กันมาดู เหมือนมีหนังกลางแปลง 555

ลูกบ้านไหน ลูกใคร ๆ ๆ
พอน้าสาวอยู่ในครัว ได้ยินเสียงนึกได้ว่าทิ้งหลานไว้ แกเข่าอ่อน แทบจะกลั้นใจตาย เพราะหลานสาวคนนี้ เป็นหัวแก้วหัวแหวน กำลังพูดเป็นต่อยหอย ตัวจ้ำม่ำ หากเป็นอะไรไป พี่เขยต้องฆ่าฉันแน่ ๆ แต่ทำไงได้ ของมันลืมไปแล้ว งานก็ยุ่งจะตาย ไอ้หลานตัวแสบก็ซนเหลือรับ
เดี๋ยวหาย เดี๋ยวหาย



แม่ของยาย พอเห็นเขายกลูกซึ่งตัวเป็นปูนิ่มแล้วขึ้นจากน้ำ ก็เป็นลมพับไปต่อหน้า

เตี่ยยายสติดีที่สุด แก้โซ่เรือจ้ำไม้เลี้ยง ไปสุขศาลา ห่างจากบ้านราว 400 เมตร

ได้ตัวคุณหมอสงวนผู้อารีมาทันใด คุณหมอรีบฉีดยาบำรุงหัวใจให้แม่ของยาย เอ๊ย !!! มะช่ายยย ฉีดให้เจ้าเด็กตัวดำปี๋ อ้วนกลมตรงหน้า แล้วจับนอนคว่ำไว้บนกระทะใบบัว ของอาม้า เหมือนตอนที่คุณหมอซู เอ๊ย !!! คุณหมอหงวน มาถึง ก็เห็นยายนอนคว่ำเป็นคางคกอยู่บนนั้น

เตี่ย แม่ เล่าว่า คุณหมอนวดยาย อยู่นานมาก และบอกเตียแม่ให้ทำใจ เพราะยายลงไปเริงร่าอยู่ในน้ำนานเกินพิกัด ของปอดน้อย ๆ จะรับศึกไหว ทั้งอาม้า ทั้งอาแม่ เป็นลมไปคนละหลายรอบ ฟังแล้วรู้สึกดีจัง นี่แปลว่าหากยายตาย ก็ต้องมีคนร้องไห้ ให้แน่ ๆ อิ อิ



เฮ้ย !!! ปาติหานมีจริง


แฮ่ ๆ ยายจึงมานั่งจิ้มเล่าอยู่นี่ไง ทำไมยายรู้ดีนัก ก็เพราะเรื่องการตกน้ำของยายมันเป็นตำนานริมคลองบางกรวยไปแย้วววว 5555

ต่อมายายจึงได้รู้ว่า คนเราที่ตกน้ำนั้น ต้องคนว่ายน้ำไม่เป็นนะ หากว่ายน้ำเป็นเขาไม่ทะลึ่งเรียกว่าตกน้ำ คร้าบบบบ

จะมีสองแบบ
คือแบบจมหายไปเลย กะแบบตกแล้วลอย ยายนี่เข้าข่ายแบบหลัง 555 จึงรอดมาป่วนอยู่ได้ทุกวันนี้

และประเภทตกแล้วจม ก็จะมีการทะลึ่งพรวดขึ้นมา สามครั้ง ก่อนจะหายจ้อยไป ในสามครั้งนั้นหากมีคนเห็นและช่วยไว้ทันก็รอดดดด คร้าบบบบ


นับตั้งแต่สองขวบที่ตกน้ำเกือบตาย ต่อมายายฝึกวิทยายุทธ ไปกับพี่ชายที่แก่กว่าสองปี เขาก็ว่ายน้ำเป็นราว ๆ เกือบห้าขวบ คือก่อนหน้ายายไม่นาน เวลาน้ำแห้งพี่จะถือสวิง ไปช้อนกุ้ง ปลา เราก็ทำหน้าที่ ผช. ที่ดี คว้าหม้อดินหนึ่งใบเลือกที่เก่า ๆ หน่อย กันแม่ล่า กระโดดลงโคลนไปด้วย อ้างว่าช่วยถือหม้อใส่กุ้งปลาให้เขา แต่ความจริง ทำกุ้งปลาเขาหายหมด ซ้ามากก่า พี่มะอยากให้ไป เพราะยายเป็นตัวถ่วงชั้นยอด ไหนพี่จะต้องโดนแม่เล่นงาน ที่เอาน้องไปลุย ไหนจาต้องห่วงกลัวน้องโดนกระเบื้อง หรือเศษแก้วบาด ตะปูตำ ไหนจะห่วงกลัวจมน้ำแล้วช่วยไม่ไหว

ยามที่พี่ผ่านจุดน้ำลึก เขาก็เดินผ่านไปได้สบาย ๆ เพราะเขาสูงกว่าเราเยอะ อ้ายเราก็บุ๋ม ๆ เกาะหม้อไว้แน่น ด๊อกแด๊ก ๆ ตามหม้อไป เรียกว่ากว่าจะเป็นก็ซัดโคลนเข้าท้องไปมากมาย บุญคุ้มครอง ให้น้ำและโคลนสมัยนั้น มันบริสุทธิ์ผุดผ่อง

แม้บ้านเรือนจะทิ้งสิ่งปฏิกูลลงน้ำกันทุกบ้าน แต่น้ำไหลขึ้นลงเชี่ยวกราก ก็ชะล้างเอาของเสียลงทะเลไปหมด


สรุปว่ายายว่ายน้ำเป็นใกล้ ๆ สามขวบ และตั้งแต่นั้น ก็ไม่ยอมขึ้นมาอยู่บนบกอีกเลย 5555

วันที่จะเข้าโรงเรียน แม่ต้องใช้โซดาไฟราด จึงจะเอาตะไคร่น้ำออกจากตัวยายได้หมด อิ อิ จริง ๆ น้า ผ้าถุงของแม่ขัดขี้ไคลยายออกที่ไหน อาม้าของยายต้องใช้กระดวงขัดบันไดท่าน้ำ มาขัดแขนขาให้ ยายจึงได้ขาวแอร่มขึ้นมา จนถึงปีที่หลักจั๊บนี้ไง 555 ยังรำลึกนึกถึงรสชาติกระดวง ของอาม้า มะหาย

กระดวงนั้น คืออะไร กระดวงนั้นไซร้ คือ มะพร้าวแห้งลูกน้อย ๆ ที่แคระแกร็นไม่ยอมโต ชาวบ้าน ชาวสวน จะนำมาผ่าครึ่ง แล้วเก็บไว้ขัดถูได้ทุกอย่าง ดั่งใจหมาย มีใช้มาตั้งแต่ปีมะโว้ ต่อมาอีกนานโขจึงมีแปรงลวดทองเหลืองใช้ สก๊อตไบร์นั้นเด็ก ๆ เพิ่งเกิด เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง เกิดราว ๆ ยุคที่ยายเรียนมัธยมต้น แถว ๆ 2500 เพราะตอนยายไปประกวดทำสวนถาด ที่งานกาชาด ยายต้องใช้สก๊อตไบร์ทำสนามหญ้า 555 จำได้แม่นยำ


ยายเข้าโรงเรียนวันแรก ตอนหกขวบ ยุคนั้นใกล้บ้านไม่มีโรงเรียนอนุบาล เด็ก ๆ จะต้องรอให้อายุย่างแปดขวบ คือเข้าเกณฑ์ พี่ชายย่างแปด เราก็ย่างหก หนูต้องไปล่วย มะงั้นร้องบ้านแตกน้า จำได้ว่าเตี่ยต้องซื้ออุปกรณ์การเรียนสองชุด ชุดหนึ่งสีเขียว ชุดหนึ่งสีชมพู หนึ่งชุดก็มี กระเป๋าเสื่อหนึ่งใบ ดินสอหินกระดาษหุ้มเขียวกะชมพู คนละแท่ง กระดานชนวนคนละแผ่น เท่านั้นแหละครบแล้ว ไปโรงเรียนได้

ยายไปโรงเรียนกะพี่ทุกวัน ปีรุ่งขึ้นพี่ได้เลื่อนชั้นไปเรียน ป.2 แต่ยายไม่ได้เลื่อน ต้องอยู่ ป.1 เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่คะแนนทุกวิชายายก็ได้เกือบเต็มหรือเต็มหมด ยายร้องไห้อยู่หลายวัน ไม่ใช่อะไรเลย เพราะต้องการอยู่กะพี่ เราไม่เคยแยกกันเลย แง แง

เหตุนี้ละมั้ง ทำให้ยายสอบได้ที่หนึ่งตั้งแต่ประถมหนึ่ง เพราะเป็นเด็กเรียนซ้ำชั้นนั่นเอง ทำเลขเสร็จก่อน อ่านหนังสือจบก่อน แถมไฮเปอร์สุด ๆ ซักถามจนกระทั่ง ครูต้องเรียกและกำชับก่อนสอนว่า "อย่าเพิ่งถามอะไรจนกว่าครูจะให้ถาม เข้าใจมะ" ...

อึ๊ยยยย มะเข้าใจอ่ะ หนูรู้จากเตี่ย แม่ และอาม้ามาว่า ฟังอะไรไม่เข้าใจต้องรีบถามอ่ะค่ะ 5555 จริง ๆ น้า



สรุปว่า ยายจ้ำเรือกลับบ้านกับแม่ในวันนั้น วันที่เจาะหูไม่สำเร็จ แต่ได้แผลกลับมาบวมอยู่หลายวัน เป็นแผลที่เข็มทื่อ ดื้อ ๆ มันเจาะไม่ผ่านหูหนา ๆ หนังเหนียว ๆ ของยาย กลายเป็นหนองเน่าอยู่เกือบเดือนแน่ะคร้าบบบบ

ช่วงนั้น เวลาไปโรงเรียน คุณครูก็ว่า เพื่อนก็ล้อ อยากสวย ๆ ๆ แง แง แง







 

Create Date : 31 สิงหาคม 2550
0 comments
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 13:38:23 น.
Counter : 688 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ยายอุ๊ดจัง
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




<. .> ตอนเด็กยิ่งกว่าไฮเปอร์
<. .> ตอนแก่ยิ่งกว่าป้ำเป๋อ
<. .> ตอนสาว ๆ มะมีช่วงนั้นอ่ะ
ชีวิตหายไปกับเศรษฐกิจ และ
การเมืองไทยยยย แง แง


*** สงวนลิขสิทธิ์ ตาม พรบ. ลิขสิทธิ์
พ.ศ. 2539 ห้ามมิให้นำไปเผยแพร่ และอ้างอิง
ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของข้อความในสื่อ
คอมพิวเตอร์แห่งนี้ เพื่อประโยชน์ทางการค้า
โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร

*** ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด

ป.ล.คำแปล หรือ ผลงานของนักร้องและนักแสดง
ต่างประเทศ ก็ได้รับความคุ้มครอง จาก พรบ. นี้
เช่นกัน (อ้างอิงจาก ม.61 พ.ร.บ.ลิขสิทธิื์ 2537)

(คัดข้อความจากบล็อกน้องแป้ง โดยเธออ้างอิง
มาจากคุณโทเค ... ขอบคุณมากทั้งสองท่านค่ะ)





Google
Friends' blogs
[Add ยายอุ๊ดจัง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.