เอาแล้ววววว...
ไปทานข้าวกับแก๊งค์เพื่อนๆ..มาซึ่งเป็นกิจกรรมที่ห่างหายกันไปนานเลยทีเดียวที่ห่างหายไป..เพราะอาเจ้ฯ ไม่อยู่ไอ้อบ..ไปทำงานที่แหลมฉบังก็เลยรวมตัวกันยากหน่อยเจอกันรอบนี้..หาอะไรทานยากมากนังดร.อ้อ...เสือกกินเจ..เล่นเอาอีเพื่อนชายมหาเศรษฐีเครียดเลยเพราะหาร้านอาหารที่อยู่ตรงกลางของทุกคนยากมากผลสุดท้ายก็ไปจบลงที่ร้าน "คุณเชิญ"ร้านอาหารมังสะวิรัติ เจ้าดังจากเชียงใหม่แต่มาเปิดสาขาตรงเอกมัยตอนกินข้าวกันอยู่น่ะ ไม่มีไรหรอกแต่พอแยกย้ายกันกลับก็พิรี้..พิไร..ไม่อยากจะกลับบ้านกันพอดีมีเสื้อผ้าอยู่ท้ายรถ....เลยไปนอนรวมตัวกันที่บ้านดร.อ้อตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วพวกเรารวมตัวกันทีไรชอบติดพัน...มีต่อทุกทีเลยเป็นเรื่องปกติที่ชอบนอนด้วยกันถ้านัดเจอกัน...ต้องมีเสื้อผ้าสแตนด์บายไว้ท้ายรถซะไม่งั้น...มึงต้องกลับบ้านอยู่คนเดียวไม่รู้ด้วย คราวนี้หวยมาออกที่อีเพื่อนชาย ไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา....อาเจ้ฯ รอด..เพราะมีชุดออกกำลังกายอยู่ชุดนึง..เหมือนนอนออกกำลังกายตลอดเวลา....มันก็แยกตัวกลับบ้านไปแบบ...อิดเอื้อนไม่อยากกลับเลย..ก่อนนอนก็ตามประสา..ต้องเม้าท์มอยกันก่อนนอนอยู่ดีๆ อีเพื่อนก็มาเม้าท์เรื่องผู้ชายกันแล้วก็วกมาหาเจ๊..จนได้อีอบ..เริ่มก่อนเลย...กูโทรไปตกลงกะอีเพื่อนชายเรื่องร้านนี่แหล่ะกูก็บอกว่า..เดี๋ยวถามอาเจ้ฯ มันก่อนเพื่อนชายตอบว่า..ไม่ต้องหรอกกูกะอาเจ้ฯ โอเค...อีอบ...ก็งงเป็นไก่ตาแตก...เหี้ยแล๊ะ...อีเจ๊ฯ มันนอนค้างบ้านอีเพื่อนชายเหรอวะเนี่ยพึ่งแอบรู้...อาเจ้ฯ ก็บอกว่า..ป่าวววคือ..กูกะมันคุยกันรู้เรื่องอยู่สองคนนี่แหล่ะเพื่อนคนอื่นกูล็อบบี้กันไม่ได้แต่กูอ่ะล๊อบบี้มันได้อีอบก็เลยต่อให้อีกว่ากูว่า..มันก็คงคิดว่ามันล็อบบี้มึงได้คนเดียวเหมือนกัน อีดร.อ้อรีบเสริมทันทีเชียะนะมึงสองคนนิสัยเหมือนกัน ...แล้วแม่งชอบไปไหนมาไหนด้วยกันอีก...สันดานก็คล้ายๆ กันกูว่ามึงเป็นแฟนกันไปเฮ๊อะ...(ทำน้ำเสียงป้าแก่ด้วยนะ...)มันก็พูดต่ออีกว่า..กูดูมึงสองคนมาพ๊ากกกนึงแล๊ะ..นิสัยมึงอ่ะ เหมือนกันมาก...เป็นแฟนกันไปเหอะ...อ้าวว เชี้ยยยยยยยยยแล๊ะ.. เกี่ยวไรกับกูด้วยวะ...พูดตรงๆ นะคะ...ว่า อึดอัดอาเจ้ฯ คิดว่าเพื่อนเป็นเกย์...ตอนรู้จักครั้งแรก...มันกลับมาจากเยอรมันเจาะหูข้างเดียว...ทำอะไรไม่แคร์ใครพูดจาขวานผ่าซากไม่สนใจโลก...แล้วเพื่อนชายเป็นคนแต่งตัวจัด...แต่งตัวแรงส์.....ทั้งสีและแบบมันไม่เหมือนผู้ชายปกติทั่วไปที่เป็นกันที่เค้าแต่งอะไรก็ได้...แต่อีนี่ไม่ใช่....นัดแล้วมาสายครึ่งชั่วโมงอาเจ้ฯ นั่งรอมันอยู่ร้านกาแฟ....ถามมันว่า...ทำไมมาสายวะตอบหน้านิ่งมาก....ว่ากูเลือกหมวกกับรองเท้าอยู่...เชี้ยมากกกกกกกกกกก อาเจ้ฯ ก็เลยบอกมันว่าวันหลังอ่ะนะ..มึงเอาทุกอย่างใส่รถมา..แล้วระหว่างทาง...มึงก็เลือกไปด้วยจะได้ไม่เสียเวลา...จะได้ไม่มาสายอีก...เคมะ....มันก็อมยิ้ม...รับคำ...อือ..อือ..ก็มาเห็นบุคลิกมันและวิเคราะห์ได้เมื่อตอนรู้จักครอบครัวมันจริงๆพ่อแม่เค้าเลิกกัน...มันอยู่โรงเรียนประจำชายล้วนพอเข้ามหาลัยก็อยู่หอมหาลัยแล้วก็ไปเรียนต่อที่เยอรมันคือ...เป็นคนที่ขาดความรักอย่างรุนแรงดร.อ้อ และอาเจ้ฯ ค่อยๆ ให้ความรักในฐานะเพื่อนมาเรื่อยๆตอนแรกที่แยกย้ายกันกลับบ้านดร.อ้อก็จะโทรไปบอกว่ามันถึงบ้านแล้วนะ...แล้วเพื่อนล่ะ ถึงบ้านหรือยัง...อีเพื่อนชายก็งง...ว่าทำไมดร.อ้อต้องโทรมาบอกมันด้วยว่าถึงแล้วอาเจ้ฯ ก็บอกมันว่า...อ้าวววว....พวกกูผู้หญิงนะเว้ยถ้าระหว่างทางกลับบ้านเกิดอันตรายไป...จะมีใครรู้ไม๊ล่ะ...เราเป็นเพื่อนกันก็ต้องใส่ใจกันสิ...ตั้งแต่นั้นมา...ก็เริ่มโทรคุยกันระหว่างขับรถกลับบ้านบ้าง..หรือไม่ก็ถึงบ้านแล้ว...ต้องโทรบอกกันจนเป็นประเพณีว่าถึงบ้านแล้วนะส่วนใหญ่จะเป็นดร.อ้อกับอีเพื่อนชายเพราะอาเจ้ฯ ไปอยู่เชียงใหม่หลายปีทีนี้พอกลับมาก็ได้ไปไหนด้วยกันมากขึ้นด้วยความที่เป็นคนชอบอะไรเหมือนกันอยู่แล้วก็จะไปกันบ่อยมากมันก็เลยมีไรคุยกันเยอะขึ้นแต่ก็มึง..กู..กันเหมือนเดิมด้วยความที่เพื่อนชายมันอยู่โรงเรียนประจำและก็อยู่ต่างประเทศมาทำให้มันคิดว่า...ตัวมันเองอยู่คนเดียวได้ในโลกนี้ไม่เห็นต้องแคร์ใครเลยจะมีความมั่นใจในตัวเองสูงมากบางทีก็หายไปจากกลุ่มเพื่อนเป็นอาทิตย์ๆ เงียบกริบซะจนต้องตามหาอาเจ้ฯ ไม่เล่นเฟซเลยไม่รู้ว่ามันไปไหนวะเพื่อนที่เหลือก็ออกตามหามันว่าอยู่ไหนก็เข้าไปเช็คในเฟซเจอว่ามันไปญี่ปุ่นอ้าวววววววววว...แม่งไม่บอกกันเลยเป็นอย่างนี้บ่อยๆ...ซะจนอาเจ้ฯ ต้องนั่งคุยกับมันว่ามึงจะไปไหนทำอะไร...หัดบอกกันบ้างนะเว้ยมึงอ่ะอยู่คนเดียว...เกิดมึงเป็นไรขึ้นมาใครเค้าจะไปรู้กับมึงวะ....มีอะไรเราจะได้ช่วยกันได้ทันเข้าใจมั๊ย เพื่อนชายก็มอง...หน้านิดนึงแล้วก็มีท่าที...อ่อนโยนลงไปเลยตั้งแต่วันนั้นก็จะคุยกันเยอะขึ้นมากแล้วยิ่งอาเจ้ฯ เจอผู้ชายเลวๆ แบบ "พี่ชายหนุ่มเจ้าสำราญ"มันจะเป็นคนที่รับฟังเราเต็มๆ แต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นใดๆ ออกมาเลยแม้แต่คำเดียวแต่จะหมั่นโทรมาถามอาเจ้ฯ เรื่อยๆว่ามึงทำไร...กินข้าวหรือยัง...เวลามันมีเรื่องจะนินทาคนที่ออฟฟิศมันหรือจะปรึกษาอะไรปัญญาอ่อนของมันก็จะโทรมาปรึกษาอาเจ้ฯ ประจำจนอาเจ้ฯ รู้สึกว่า..มันขาดคนเข้าใจมันต่างหากขาดเพื่อนที่ดี...ที่เข้าใจมันมากกว่าในส่วนของอาเจ้ฯ เองเพื่อนชายเป็นคนที่แรงส์มาก...ปากจัด..จิกเก่งแล้วมองจากเปลือกภายนอก เป็นเหมือนคนร้ายๆ เขี้ยวๆแต่จริงๆ แล้วเป็นคนเปราะบางมากถ้าใครเอาเปรียบก่อน...มันจะเอาเปรียบคืนพอๆ กันแต่ถ้าใครเป็นคนที่โอเค...มันก็จะดีด้วยมากๆ ...แต่ด้วยความที่อยู่โรงเรียนประจำก็จะไม่มีต้นแบบให้ดูตัวอย่างเพราะอยู่คนเดียวตลอดเวลาบางอย่างก็ทำให้เราต้องคอยบอกมันว่าไม่ดีนะมึงอย่าทำแบบนั้น...ดร.อ้อ..ต้องคอยบอกมันจนเหนื่อย...เวลาเราจะชอบใครมันไม่ใช่จากคนอื่นมองนะอาเจ้ฯ รู้สึกว่า...มันเกิดจากความรู้สึกข้างในของเรามากกว่า...เราไม่รู้สึกว่าจิตใจหวั่นไหว...หรือใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้ๆ เค้าหรือแอบหน้าแดง...เวลาเผลอหันไปสบตากันมันไม่ใช่เลย....ทุกคนที่เคยคบมาเป็นแฟน...มันมี Moment นี้ทั้งนั้น...เคยแม้กระทั่ง..รู้สึกว่าคนนี้เคยเห็นจากที่ไหนนะตอนเจอกับ "พี่ชายหนุ่มเจ้าสำราญ" ครั้งแรกกลับมาบ้าน...ก็มานั่งนึกตั้งนานว่าเอ๊...เราเคยเจอพี่เค้าที่ไหนนะแต่กับอีเพื่อนชายนี่ไม่ใช่อาเจ้ฯ แค่รู้สึกว่าเรามีเพื่อนที่ดี...มีเพื่อนสนิทที่มันเสือกบังเอิญคนละเพศกับเราเท่านั้นเองคืนนั้นทั้งคืน...ต้องคอยปัดป้อง...อธิบายให้เหตุผลว่าทำไมสนิทกันกับดร.อ้อ กับไอ้อบ...ทั้งคืน...อย่าเล้ยยยยยอย่าเป็นอย่างที่พวกมันพูดเลยเสียดายเพื่อนดีๆ ...เดี๋ยวมันจะหายไปจากชีวิตเรา..