พระเครื่อง : แหล่งข้อมูลบทความพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และวัตถุมงคล
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
25 พฤศจิกายน 2556
 
All Blogs
 

ลุ่มหลงในสิ่งที่ทำ...ทุ่มเทกับสิ่งที่รัก กุญแจสู่ความสำเร็จของ "วรวิทย์ ศิริพากย์"

ลุ่มหลงในสิ่งที่ทำ...ทุ่มเทกับสิ่งที่รัก กุญแจสู่ความสำเร็จของ "วรวิทย์ ศิริพากย์"


เพราะถือคติว่า ทำอะไรก็ได้ที่เราลุ่มหลงจริงๆ และพูดถึงมันได้ไม่หยุด 24 ชั่วโมง จึงจะประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างยั่งยืน “วรวิทย์ ศิริพากย์” อดีตนักเศรษฐศาสตร์ และนักวางแผนธุรกิจมือทอง วัย 38 ปี จึงทิ้งเงินเดือนหลักแสน และหันหลังให้กับองค์กรระดับโลก เพื่อออกเดินทางค้นหาความฝันครั้งใหญ่ กระทั่งมาตกหลุมรักเสน่ห์ของพืชพรรณธรรมชาติ, สมุนไพรไทย และดอกไม้นานาชนิด จนปลุกปั้นขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์สปาอันดับหนึ่งของเมืองไทยที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ภายใต้ชื่อ “ปัญญ์ปุริ”


เด็กเรียนที่อยากเป็นหมอ ผันตัวมาทำธุรกิจสปาได้อย่างไร

คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นนักธุรกิจ ผมโตมาแบบครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้าน แต่ไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบตามใจ ตั้งแต่เด็กถ้าอยากทำอะไรผมต้องทำเองให้สำเร็จ ผมเป็นเด็กเรียนดีสอบได้เกรด 4 ทุกวิชา เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้มงวดมาก ตอนเรียน ม.ปลาย อยู่ห้องควีนเอกวิทย์-คณิต โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็ตั้งเป้าว่าอยากเป็นหมอเหมือนเพื่อนๆ แต่จู่ๆเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราอยากเห็นโลกกว้างกว่านี้ไหม จึงแอบไปสอบทุนเรียนต่อต่างประเทศ ปรากฏว่าได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่แมคกิลล์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศแคนาดา จบมาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง

อะไรทำให้ตัดสินใจกลับเมืองไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง

ผมอยู่แคนาดา 7 ปีเต็ม ช่วงนั้นกำลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง จึงอยากเดินทางกลับมาทำงานที่เมืองไทย ผมมองไม่เหมือนคนอื่น คิดว่าการเกิดวิกฤติเป็นความท้าทายสำหรับนักเศรษฐศาสตร์อย่างเรา ทั้งๆที่ช่วงนั้นมีคนตกงานเยอะ ใครๆก็บอกว่าอย่าเพิ่งกลับเมืองไทย ให้อยู่แคนาดาทำงานไปก่อน พอกลับมาเมืองไทย ผมได้ทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและปรับปรุงแผนธุรกิจระดับท็อปไฟว์ของอเมริกา “ดีลอยต์ คอนซัลติ้ง” ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ธุรกิจ ช่วงนั้นมีโอกาสเรียนรู้อะไรเยอะ ทำงานได้ 3 ปี เจ้านายผมที่มาจากนิวยอร์ก เห็นฝีมือของเราจึงสนับสนุนให้ผมไปประจำนิวยอร์ก ในฐานะนักวิเคราะห์เอเชียคนแรกที่อายุน้อยที่สุด ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 24 ปี

ไปทำงานที่นิวยอร์ก ต้องฟาดฟันแข่งขันกันขนาดไหน

การแข่งขันสูงมาก จากที่เคยทำงานในออฟฟิศ มีคน 50 คน พอไปถึงนิวยอร์ก มีเพื่อนร่วมงาน 600 คน ที่นิวยอร์กต้องแข่งกันฉลาด เพราะทุกคนจบมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกทั้งนั้น จากที่คิดว่าเราทำได้ ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น และพยายามมากขึ้น กระทั่งได้รับการโปรโมตเป็นนักวางแผนพัฒนาธุรกิจ ดูแลแอคเคาต์ใหญ่ๆ นับไม่ถ้วน ตลอด 1 ปีที่ทำงานอยู่ที่นิวยอร์ก ต้องคลุกคลีอยู่กับการพัฒนาขอบเขตของธุรกิจและวางแผนการเจริญเติบโตของบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ทำงานเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างองค์กรไฟ-แนนซ์และธุรกิจประกันภัย โดยวิเคราะห์ศักยภาพการทำงานของพนักงาน เพื่อหาทางลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน งานที่ผมทำมันเครียดมาก ต้องทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยงคืนทุกวัน

อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับบ้านรอบสอง

แต่ละคนก็มีจุดหักเหไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ 9/11 ก่อวินาศกรรมถล่มตึกเวิลด์เทรด ซึ่งผมก็ทำงานอยู่ในตึกนั้นด้วย โชคดีมากที่ปกติทำงานอยู่ชั้น 67 แต่วันนั้นลงมาประชุมที่ชั้น 5 จึงหนีทัน  เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเปลี่ยนไปเลย เพราะเห็นคนตายเยอะมาก จากที่ไม่เคยคิดเรื่องความตาย ผมกลับรู้สึกว่าชีวิตเรามันสั้น อยากทำอะไรก็ต้องลงมือทำทันที ที่ผ่านมาผมโฟกัสเรื่องไฟแนนซ์จ๋ามาก ทำงานอยู่กับเรื่องโหดๆอย่างการตัดรายจ่ายในองค์กร และไล่พนักงานออก!! ผมจำได้เลยว่า วันที่ตึกเวิลด์เทรดถล่ม ในคอมพิวเตอร์ของผมมีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ต้องไล่พนักงานบริษัทออกกี่คน จึงจะลดรายจ่ายตามความต้องการของลูกค้า ทำให้ผมฉุกคิดว่าเวลาที่เราทุ่มเทไปกับเรื่องพวกนี้  สุดท้ายก็ไหม้ไปกับกองเพลิง และไม่เหลืออะไร  ผมเลยตัดสินใจลาออก!! ระหว่างนั้นก็สมัครเรียนเอ็มบีเอ โดยได้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ด้านลักชัวรี่ กู้ดส์ แมนเนจเมนต์ ที่ SDA BOCCONI ประเทศอิตาลี เป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่มีการสอนเรื่องบริหารจัดการธุรกิจสินค้าแบรนด์เนม  ผมเลือกเรียนด้านนี้เพราะเป็นส่วนผสมระหว่างธุรกิจกับความคิดสร้างสรรค์ หลังจากเรียนจบได้ฝึกงานกับกุชชี่ กรุ๊ป และทำงานกับบริษัท YOOX.COM ที่เมืองโบโลญญา ประเทศอิตาลี เป็นบริษัทดังมากเรื่องการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เพราะชีวิตกลับเข้าสู่วงโคจรเดิมๆอีกแล้ว  ผมถามตัวเองว่า เราจะทุ่มเททำงานหนักขนาดนี้เพื่อคนอื่นทำไม ผมทำอยู่ 5 เดือน จึงตัดสินใจลาออกและกลับเมืองไทยเพื่อค้นหาตัวเอง

ให้คำแนะนำมาเยอะ พอถึงเวลาสร้างธุรกิจตัวเอง ยากกว่าที่คิดไหม

พอกลับมาถึงเมืองไทยตั้งเป้าเลยว่าต้องทำธุรกิจส่งออกและนำเสน่ห์ของศิลปวัฒนธรรมไทยมาตีความใหม่ เพื่อส่งออกขายต่างประเทศ ผมศึกษามาเยอะว่า เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เนมอิตาลีคือ การนำรากเหง้าของตัวเองมาตีความใหม่ พอพูดถึงรากเหง้าความเป็นไทย ผมจึงนึกถึงธุรกิจสปาและการบริการ ซึ่งไม่มีใครสู้คนไทยได้ บังเอิญผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเคมีที่มีโรงงานทำผลิตภัณฑ์สปาอยู่แล้ว จึงเริ่มต้นจากจุดนี้ ยุคนั้นยังไม่มีใครทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์สปาที่ได้มาตรฐาน ตามโรงแรมใหญ่ๆก็มีแต่ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ผมเป็นเด็กเรียนที่ชอบอ่านฉลากสินค้าทุกชนิด และชอบใช้ผลิตภัณฑ์สปาเป็นทุนเดิม เมื่อถึงเวลาสร้างธุรกิจของตัวเอง ผมจึงลงมือทำทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกกลิ่น, ออกแบบแพ็คเกจจิ้ง, วางแผนการตลาด, ขับรถไปส่งสินค้า, จัดดิสเพลย์ และยืนขายเอง เรามีเวลาแค่ 4 เดือน ในการสร้างธุรกิจของตัวเองและผลิตสินค้าลอตแรก เพื่อไปออกงานแฟร์ใหญ่ของกรมส่งเสริมการส่งออก ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีพอควร ไม่มีใครรู้ว่าเราเพิ่งเกิดใหม่ เพราะเราจัดเต็มมาก (หัวเราะ) ตอนตั้งชื่อแบรนด์ ผมไปนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ 7 วัน เพื่อค้นหาชื่อบาลีสันสกฤต ซึ่งเป็นรากฐานของพุทธศาสนา จนได้ชื่อ “ปัญญ์ปุริ” โดยคำว่าปัญญะ หมายถึง ความกระจ่าง การตื่นของจิตใจ และปุริ หมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย โดยรวมๆตั้งใจสื่อถึงคุณค่าบริสุทธิ์และความสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติรอบตัว “ปัญญ์ปุริ” ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 จากวันแรกเรามีพนักงานแค่ 10 คน ปัจจุบันมีพนักงาน 400 กว่าคน โดยขยายโรงงานไปอยู่ปทุมธานี

นักเศรษฐศาสตร์มือทองฝันจะปั้นผลิตภัณฑ์สปาไทยให้โดดเด่นไปไกลขนาดไหน

ผมฝันไว้ตั้งแต่วันแรกว่า อยากให้ผลิตภัณฑ์สปาไทยโกอินเตอร์ไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ เหมือนเอาธงชาติไทยไปปักไว้ตามมุมต่างๆของโลก!! ผมอยากให้ฝรั่งมาเข้าคิวรอซื้อของคนไทยบ้าง เราต้องทำโปรดักส์ที่มีรากเหง้าจากความเป็นไทยจริงๆ ขายความเป็นธรรมชาติและความเอ็กโซติกแบบตะวันออก ไม่ใช่ทำของไฮเทคแข่งกับฝรั่ง ยังไงก็สู้ไม่ได้ แบรนด์ของเราสร้างความโดดเด่นจากส่วนผสมของสมุนไพรไทย, พืชพรรณธรรมชาติและดอกไม้นานาชนิดในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นมะลิ, กระดังงา, ตะไคร้, ไม้จันทน์หอม, ว่านหางจระเข้, มะพร้าว, แตงกวา, ข่า, ขิง, น้ำผึ้ง และสะระแหน่ ผลิตภัณฑ์ของเราปลอดน้ำหอมและสารกันเสีย แต่เราเลือกใช้กลิ่นจากเอสเซนเชียลออยล์บริสุทธิ์ 100% ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัวแบบไทยๆที่ฝรั่งทึ่ง เทรนด์โลกที่หันมาชื่นชอบความเป็นธรรมชาติก็มีส่วนทำให้เราประสบความสำเร็จ

10 ปีที่ผ่านมา “ปัญญ์ปุริ” ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมสปาเมืองไทยมากน้อยเพียงใด

ผมภูมิใจมากที่เราสู้มาถึงจุดนี้ กระทั่งผลิตภัณฑ์สปาของไทยได้รับการยอมรับคุณภาพไปทั่วโลก แต่เราก็ไม่หยุดนิ่งนะครับ พยายามก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าคนอื่น เมื่อ 6 ปีก่อน เราเป็นแบรนด์แรกในเมืองไทย ที่ริเริ่มนำส่วนผสมจากเกษตรอินทรีย์ไร้สารเคมี 100% มาใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์สปาของ “ปัญญ์ปุริ” จนได้รับการรับรองจากองค์กรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษระดับนานาชาติของอังกฤษ และเรายังเปิดออร์แกนิคสปาแห่งแรกในเมืองไทยด้วย ล่าสุด “ปัญญ์ปุริ” จับมือกับมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำ นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสบู่เซอร์ทิฟายด์ออร์แกนิคทุกชิ้น เข้าสมทบทุนเพื่อพัฒนาชุมชนต้นน้ำ พร้อมส่งเสริมงานวิจัยและปลูกพืชพรรณเกษตรอินทรีย์ ผมภูมิใจที่สุดที่แบรนด์ปัญญ์ปุริไปสร้างชื่อเสียงบนเวทีนานาชาติ ทำให้ประเทศไทยโด่งดังทั่วโลก แบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาวของโลก เช่น “ริทซ์ คาร์ลตัน” ก็เลือกผลิตภัณฑ์ “ปัญญ์ปุริ” เข้าไปอยู่ในห้องสวีต ทั้งที่ดูไบและกระบี่ เรายังได้รางวัลจากเวทีนานาชาติมากมาย และมีสินค้าวางขายทั่วยุโรป, อเมริกา, ญี่ปุ่น, เอเชีย และตะวันออกกลาง คนไทยเองก็ให้การยอมรับผลิตภัณฑ์สปาไทยมากขึ้น

ก้าวต่อไปของ “ปัญญ์ปุริ” จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน

ผมไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น ฝันอยากสร้างแบรนด์ “ปัญญ์ปุริ” ให้เป็นแบรนด์เนมระดับโลกที่ทุกคนต้องนึกถึงเป็นชื่อแรก เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชพรรณธรรมชาติของเอเชีย แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี

ถ้าปั้นเมืองไทยเป็นแบรนด์ เนมสักแบรนด์ จะปั้นยังไงให้โดนใจตลาด

เรามีของดีเยอะมาก ทั้งรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากร แต่ขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวร่วมกัน และขาดการวางกลยุทธ์ระดับชาติ เราต้องตีความความเป็นไทยใหม่ อย่าติดอยู่ในกรอบว่าความเป็นไทยต้องแบบนี้ จุดแข็งของเราคือความประณีตละเอียดอ่อน  ควรเน้นธุรกิจที่ส่งเสริมความประณีต, บริการและการเพิ่มมูลค่า เราต้องหาทางนำจุดเด่นเหล่านี้มาตีความใหม่ให้เป็นภาษาสากลขึ้น อยากให้คนไทยมีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำ...จากนั้นก็ลุยเลย!!

 





 

Create Date : 25 พฤศจิกายน 2556
0 comments
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2556 6:23:31 น.
Counter : 1456 Pageviews.


amulet108
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 96 คน [?]








Friends' blogs
[Add amulet108's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.