เพราะถือคติว่า ทำอะไรก็ได้ที่เราลุ่มหลงจริงๆ และพูดถึงมันได้ไม่หยุด 24 ชั่วโมง จึงจะประสบความสำเร็จและมีความสุขอย่างยั่งยืน วรวิทย์ ศิริพากย์ อดีตนักเศรษฐศาสตร์ และนักวางแผนธุรกิจมือทอง วัย 38 ปี จึงทิ้งเงินเดือนหลักแสน และหันหลังให้กับองค์กรระดับโลก เพื่อออกเดินทางค้นหาความฝันครั้งใหญ่ กระทั่งมาตกหลุมรักเสน่ห์ของพืชพรรณธรรมชาติ, สมุนไพรไทย และดอกไม้นานาชนิด จนปลุกปั้นขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์สปาอันดับหนึ่งของเมืองไทยที่สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ภายใต้ชื่อ ปัญญ์ปุริ
เด็กเรียนที่อยากเป็นหมอ ผันตัวมาทำธุรกิจสปาได้อย่างไร
คุณพ่อเป็นตำรวจ คุณแม่เป็นนักธุรกิจ ผมโตมาแบบครอบครัวชนชั้นกลาง เป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้าน แต่ไม่ได้ถูกเลี้ยงแบบตามใจ ตั้งแต่เด็กถ้าอยากทำอะไรผมต้องทำเองให้สำเร็จ ผมเป็นเด็กเรียนดีสอบได้เกรด 4 ทุกวิชา เพราะคุณพ่อคุณแม่เข้มงวดมาก ตอนเรียน ม.ปลาย อยู่ห้องควีนเอกวิทย์-คณิต โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็ตั้งเป้าว่าอยากเป็นหมอเหมือนเพื่อนๆ แต่จู่ๆเกิดคำถามกับตัวเองว่าเราอยากเห็นโลกกว้างกว่านี้ไหม จึงแอบไปสอบทุนเรียนต่อต่างประเทศ ปรากฏว่าได้ทุนเรียนต่อปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์ ที่แมคกิลล์ ยูนิเวอร์ซิตี้ ประเทศแคนาดา จบมาด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
อะไรทำให้ตัดสินใจกลับเมืองไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
ผมอยู่แคนาดา 7 ปีเต็ม ช่วงนั้นกำลังเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง จึงอยากเดินทางกลับมาทำงานที่เมืองไทย ผมมองไม่เหมือนคนอื่น คิดว่าการเกิดวิกฤติเป็นความท้าทายสำหรับนักเศรษฐศาสตร์อย่างเรา ทั้งๆที่ช่วงนั้นมีคนตกงานเยอะ ใครๆก็บอกว่าอย่าเพิ่งกลับเมืองไทย ให้อยู่แคนาดาทำงานไปก่อน พอกลับมาเมืองไทย ผมได้ทำงานกับบริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและปรับปรุงแผนธุรกิจระดับท็อปไฟว์ของอเมริกา ดีลอยต์ คอนซัลติ้ง ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ธุรกิจ ช่วงนั้นมีโอกาสเรียนรู้อะไรเยอะ ทำงานได้ 3 ปี เจ้านายผมที่มาจากนิวยอร์ก เห็นฝีมือของเราจึงสนับสนุนให้ผมไปประจำนิวยอร์ก ในฐานะนักวิเคราะห์เอเชียคนแรกที่อายุน้อยที่สุด ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 24 ปี
ไปทำงานที่นิวยอร์ก ต้องฟาดฟันแข่งขันกันขนาดไหน
การแข่งขันสูงมาก จากที่เคยทำงานในออฟฟิศ มีคน 50 คน พอไปถึงนิวยอร์ก มีเพื่อนร่วมงาน 600 คน ที่นิวยอร์กต้องแข่งกันฉลาด เพราะทุกคนจบมหาวิทยาลัยระดับไอวี่ลีกทั้งนั้น จากที่คิดว่าเราทำได้ ก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น และพยายามมากขึ้น กระทั่งได้รับการโปรโมตเป็นนักวางแผนพัฒนาธุรกิจ ดูแลแอคเคาต์ใหญ่ๆ นับไม่ถ้วน ตลอด 1 ปีที่ทำงานอยู่ที่นิวยอร์ก ต้องคลุกคลีอยู่กับการพัฒนาขอบเขตของธุรกิจและวางแผนการเจริญเติบโตของบริษัทระดับโลกหลายแห่ง ทำงานเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างองค์กรไฟ-แนนซ์และธุรกิจประกันภัย โดยวิเคราะห์ศักยภาพการทำงานของพนักงาน เพื่อหาทางลดรายจ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน งานที่ผมทำมันเครียดมาก ต้องทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงเที่ยงคืนทุกวัน
อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้ตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับบ้านรอบสอง
แต่ละคนก็มีจุดหักเหไม่เหมือนกัน ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ 9/11 ก่อวินาศกรรมถล่มตึกเวิลด์เทรด ซึ่งผมก็ทำงานอยู่ในตึกนั้นด้วย โชคดีมากที่ปกติทำงานอยู่ชั้น 67 แต่วันนั้นลงมาประชุมที่ชั้น 5 จึงหนีทัน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมเปลี่ยนไปเลย เพราะเห็นคนตายเยอะมาก จากที่ไม่เคยคิดเรื่องความตาย ผมกลับรู้สึกว่าชีวิตเรามันสั้น อยากทำอะไรก็ต้องลงมือทำทันที ที่ผ่านมาผมโฟกัสเรื่องไฟแนนซ์จ๋ามาก ทำงานอยู่กับเรื่องโหดๆอย่างการตัดรายจ่ายในองค์กร และไล่พนักงานออก!! ผมจำได้เลยว่า วันที่ตึกเวิลด์เทรดถล่ม ในคอมพิวเตอร์ของผมมีแต่ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ต้องไล่พนักงานบริษัทออกกี่คน จึงจะลดรายจ่ายตามความต้องการของลูกค้า ทำให้ผมฉุกคิดว่าเวลาที่เราทุ่มเทไปกับเรื่องพวกนี้ สุดท้ายก็ไหม้ไปกับกองเพลิง และไม่เหลืออะไร ผมเลยตัดสินใจลาออก!! ระหว่างนั้นก็สมัครเรียนเอ็มบีเอ โดยได้ทุนเรียนต่อปริญญาโท ด้านลักชัวรี่ กู้ดส์ แมนเนจเมนต์ ที่ SDA BOCCONI ประเทศอิตาลี เป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่มีการสอนเรื่องบริหารจัดการธุรกิจสินค้าแบรนด์เนม ผมเลือกเรียนด้านนี้เพราะเป็นส่วนผสมระหว่างธุรกิจกับความคิดสร้างสรรค์ หลังจากเรียนจบได้ฝึกงานกับกุชชี่ กรุ๊ป และทำงานกับบริษัท YOOX.COM ที่เมืองโบโลญญา ประเทศอิตาลี เป็นบริษัทดังมากเรื่องการวิเคราะห์และวางแผนธุรกิจ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ เพราะชีวิตกลับเข้าสู่วงโคจรเดิมๆอีกแล้ว ผมถามตัวเองว่า เราจะทุ่มเททำงานหนักขนาดนี้เพื่อคนอื่นทำไม ผมทำอยู่ 5 เดือน จึงตัดสินใจลาออกและกลับเมืองไทยเพื่อค้นหาตัวเอง
ให้คำแนะนำมาเยอะ พอถึงเวลาสร้างธุรกิจตัวเอง ยากกว่าที่คิดไหม
พอกลับมาถึงเมืองไทยตั้งเป้าเลยว่าต้องทำธุรกิจส่งออกและนำเสน่ห์ของศิลปวัฒนธรรมไทยมาตีความใหม่ เพื่อส่งออกขายต่างประเทศ ผมศึกษามาเยอะว่า เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์เนมอิตาลีคือ การนำรากเหง้าของตัวเองมาตีความใหม่ พอพูดถึงรากเหง้าความเป็นไทย ผมจึงนึกถึงธุรกิจสปาและการบริการ ซึ่งไม่มีใครสู้คนไทยได้ บังเอิญผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักเคมีที่มีโรงงานทำผลิตภัณฑ์สปาอยู่แล้ว จึงเริ่มต้นจากจุดนี้ ยุคนั้นยังไม่มีใครทำแบรนด์ผลิตภัณฑ์สปาที่ได้มาตรฐาน ตามโรงแรมใหญ่ๆก็มีแต่ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ผมเป็นเด็กเรียนที่ชอบอ่านฉลากสินค้าทุกชนิด และชอบใช้ผลิตภัณฑ์สปาเป็นทุนเดิม เมื่อถึงเวลาสร้างธุรกิจของตัวเอง ผมจึงลงมือทำทุกอย่าง ตั้งแต่เลือกกลิ่น, ออกแบบแพ็คเกจจิ้ง, วางแผนการตลาด, ขับรถไปส่งสินค้า, จัดดิสเพลย์ และยืนขายเอง เรามีเวลาแค่ 4 เดือน ในการสร้างธุรกิจของตัวเองและผลิตสินค้าลอตแรก เพื่อไปออกงานแฟร์ใหญ่ของกรมส่งเสริมการส่งออก ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับดีพอควร ไม่มีใครรู้ว่าเราเพิ่งเกิดใหม่ เพราะเราจัดเต็มมาก (หัวเราะ) ตอนตั้งชื่อแบรนด์ ผมไปนั่งอ่านหนังสือธรรมะอยู่ 7 วัน เพื่อค้นหาชื่อบาลีสันสกฤต ซึ่งเป็นรากฐานของพุทธศาสนา จนได้ชื่อ ปัญญ์ปุริ โดยคำว่าปัญญะ หมายถึง ความกระจ่าง การตื่นของจิตใจ และปุริ หมายถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย โดยรวมๆตั้งใจสื่อถึงคุณค่าบริสุทธิ์และความสมดุลระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมธรรมชาติรอบตัว ปัญญ์ปุริ ก่อตั้งขึ้นในปี 2003 จากวันแรกเรามีพนักงานแค่ 10 คน ปัจจุบันมีพนักงาน 400 กว่าคน โดยขยายโรงงานไปอยู่ปทุมธานี
นักเศรษฐศาสตร์มือทองฝันจะปั้นผลิตภัณฑ์สปาไทยให้โดดเด่นไปไกลขนาดไหน
ผมฝันไว้ตั้งแต่วันแรกว่า อยากให้ผลิตภัณฑ์สปาไทยโกอินเตอร์ไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศ เหมือนเอาธงชาติไทยไปปักไว้ตามมุมต่างๆของโลก!! ผมอยากให้ฝรั่งมาเข้าคิวรอซื้อของคนไทยบ้าง เราต้องทำโปรดักส์ที่มีรากเหง้าจากความเป็นไทยจริงๆ ขายความเป็นธรรมชาติและความเอ็กโซติกแบบตะวันออก ไม่ใช่ทำของไฮเทคแข่งกับฝรั่ง ยังไงก็สู้ไม่ได้ แบรนด์ของเราสร้างความโดดเด่นจากส่วนผสมของสมุนไพรไทย, พืชพรรณธรรมชาติและดอกไม้นานาชนิดในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นมะลิ, กระดังงา, ตะไคร้, ไม้จันทน์หอม, ว่านหางจระเข้, มะพร้าว, แตงกวา, ข่า, ขิง, น้ำผึ้ง และสะระแหน่ ผลิตภัณฑ์ของเราปลอดน้ำหอมและสารกันเสีย แต่เราเลือกใช้กลิ่นจากเอสเซนเชียลออยล์บริสุทธิ์ 100% ทำให้เกิดกลิ่นเฉพาะตัวแบบไทยๆที่ฝรั่งทึ่ง เทรนด์โลกที่หันมาชื่นชอบความเป็นธรรมชาติก็มีส่วนทำให้เราประสบความสำเร็จ
10 ปีที่ผ่านมา ปัญญ์ปุริ ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมสปาเมืองไทยมากน้อยเพียงใด
ผมภูมิใจมากที่เราสู้มาถึงจุดนี้ กระทั่งผลิตภัณฑ์สปาของไทยได้รับการยอมรับคุณภาพไปทั่วโลก แต่เราก็ไม่หยุดนิ่งนะครับ พยายามก้าวไปข้างหน้าให้ไกลกว่าคนอื่น เมื่อ 6 ปีก่อน เราเป็นแบรนด์แรกในเมืองไทย ที่ริเริ่มนำส่วนผสมจากเกษตรอินทรีย์ไร้สารเคมี 100% มาใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์สปาของ ปัญญ์ปุริ จนได้รับการรับรองจากองค์กรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษระดับนานาชาติของอังกฤษ และเรายังเปิดออร์แกนิคสปาแห่งแรกในเมืองไทยด้วย ล่าสุด ปัญญ์ปุริ จับมือกับมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำ นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายสบู่เซอร์ทิฟายด์ออร์แกนิคทุกชิ้น เข้าสมทบทุนเพื่อพัฒนาชุมชนต้นน้ำ พร้อมส่งเสริมงานวิจัยและปลูกพืชพรรณเกษตรอินทรีย์ ผมภูมิใจที่สุดที่แบรนด์ปัญญ์ปุริไปสร้างชื่อเสียงบนเวทีนานาชาติ ทำให้ประเทศไทยโด่งดังทั่วโลก แบรนด์โรงแรมระดับ 5 ดาวของโลก เช่น ริทซ์ คาร์ลตัน ก็เลือกผลิตภัณฑ์ ปัญญ์ปุริ เข้าไปอยู่ในห้องสวีต ทั้งที่ดูไบและกระบี่ เรายังได้รางวัลจากเวทีนานาชาติมากมาย และมีสินค้าวางขายทั่วยุโรป, อเมริกา, ญี่ปุ่น, เอเชีย และตะวันออกกลาง คนไทยเองก็ให้การยอมรับผลิตภัณฑ์สปาไทยมากขึ้น
ก้าวต่อไปของ ปัญญ์ปุริ จะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน
ผมไม่ชอบทำอะไรเหมือนคนอื่น ฝันอยากสร้างแบรนด์ ปัญญ์ปุริ ให้เป็นแบรนด์เนมระดับโลกที่ทุกคนต้องนึกถึงเป็นชื่อแรก เมื่อพูดถึงผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรและพืชพรรณธรรมชาติของเอเชีย แต่คงต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี
ถ้าปั้นเมืองไทยเป็นแบรนด์ เนมสักแบรนด์ จะปั้นยังไงให้โดนใจตลาด
เรามีของดีเยอะมาก ทั้งรากฐานทางศิลปวัฒนธรรมและทรัพยากร แต่ขาดวิสัยทัศน์ระยะยาวร่วมกัน และขาดการวางกลยุทธ์ระดับชาติ เราต้องตีความความเป็นไทยใหม่ อย่าติดอยู่ในกรอบว่าความเป็นไทยต้องแบบนี้ จุดแข็งของเราคือความประณีตละเอียดอ่อน ควรเน้นธุรกิจที่ส่งเสริมความประณีต, บริการและการเพิ่มมูลค่า เราต้องหาทางนำจุดเด่นเหล่านี้มาตีความใหม่ให้เป็นภาษาสากลขึ้น อยากให้คนไทยมีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำ...จากนั้นก็ลุยเลย!!