ย้ายบ้านแล้วครับผม มีดอทคอมเป็นของตัวเองเรียบร้อยครับ
10000tip.com
หมื่นทิพ's Movie Review

เทพบุตรตบะแตก!!
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 116 คน [?]




ค้นหารีวิวหนังเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ
Group Blog
 
 
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
27 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เทพบุตรตบะแตก!!'s blog to your web]
Links
 

 
Film Retro: Do You Know Spoof Movie!!!! (ย้อนรอยหนังฮาล้อเลียน)

เมื่อนายตำรวจคนหนึ่งสืบพบแหล่งกบดานของคนร้าย เขาไม่รอช้าที่พังประตูเข้าไปจ่อปืนขู่พวกมัน แต่แล้วเขาก็พลาดท่าถูกหัวหน้าวายร้ายยิงเข้าหกนัด หากมันเป็นหนังบู๊นี่คงเป็นฉากลุ้นชวนสะเทือนใจ นายตำรวจต้องหมดลมหายใจลงตรงนั้น

แต่เผอิญนี่มันหนัง Spoof! การเลยกลับกลายเป็นว่า นายตำรวจบาดเจ็บ เดินเซไป ชนมอเตอร์ร้อนๆ (ซวยจริงๆ), ประตูที่สียังทาไม่แห้ง (เอ้า เลอะอีก), ชนเค้กแต่งงาน (มันมาตั้งอยู่ในโกดังของผู้ร้ายได้ไงฟะ!) ก่อนจะโดนกับดักหนูอันเบ่อเร้องับขา (ไม่รู้เอามาดักหนูหรือดักควาย!) ก่อนจะเซถลาตกลงทะเลไป ... แล้วยังหน้าด้านไม่ตายอีก! หมอให้เหตุผลว่า กระสุนที่ผู้ร้ายยิงทั้งหกนัดไม่โดนจุดสำคัญเลยรอด ... เอา กะมันสิ

ที่ผมเล่าไปนั่นคือฉากเปิดที่ฮาแบบหาสาระไม่เจอของ The Naked Gun: From the Files of Police Squad! หรือชื่อไทยว่า ปืนเปลือย หนังฮากระจายแห่งปี 1988 เห็นไร้สาระแบบนี้อย่านึกว่าคนจะไม่ชอบนะครับ ถล่มรายได้ไป 78 ล้านเหรียญ ซ้ำยังมียอดการเช่าสูงเอาเรื่อง แถมตอนต่อตามมาอีกสอง ซึ่งภาคสองนี่บ้ากว่าภาคแรกมากๆ เรียกว่าถ้าอยากคลาดเครียด เอามาดูได้เลย กระผมแนะนำ



พูดมาไกลก็เพื่อจะเกรินเป็นแนวทางก่อน ว่า หนัง Spoof เจ๋งๆ มันต้องแบบนี้ล่ะครับ

Spoof Movie คือชื่อเฉพาะของหนังแนวตลกล้อเลียน ที่สร้างขึ้นเพื่อขายขำเป็นหลัก องค์ประกอบที่จำเป็นก็มี

อย่างแรก ต้องไม่มีเนื้อหาหนักหนา แค่เอาพล็อตมาจากหนังที่ต้องการล้อ นอกนั้นขนสาระออกให้หมด เน้นยำเข้าว่า เอาฉากชนฉาก ใส่ฉากฮาเยอะๆ

อย่างที่สอง ตัวละครทั้งหลายต้องหลุดโลก ติงต๊อง ไม่ใช้สมองสุ่มสี่สุ่มห้า (ยิ่งบ้ายิ่งดี ถ้าโง่ด้วยยิ่งเยี่ยม)

อย่างที่สาม ต้องเอาฉากหรือสไตล์จากหนังดังๆ มายำให้กระจุย เช่น Scream ดังนักก็เอาฉากฆ่ามาหยดมุกให้ขำกันไปข้างนึง หรือ ฉากกังฟูแบบ The Matrix เท่ห์นักใช่ไหม ต้องเจอยำ!

อย่างที่สี่ ทุกความรุนแรง ทุกเหตุขัดแย้งในหนัง จะต้องนำไปสู่ความขำอย่างเดียวเท่านั้น (ฉีกไปเศร้านี่ไม่ได้เลยนะครับ ผิดกฎมณเฑียรบาล ไม่ได้ ไม่ได้)

อย่างที่ห้า ทั้งคนดูและคนทำ ห้ามใช้เหตุผลเด็ดขาด! ทุกอย่างไม่ว่าจะบ้าแค่ไหนก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ห้าประการคือกฎแห่งหนังล้อเลียนครับ ดูเรื่องไหนแล้วเข้าข่ายนี้ จับยัดเข้าประเภท Spoof ได้เลย

อันว่าหนังล้อเลียนนั้น ถือกำเนิดเป็นครั้งแรกเมื่อใดก็ยังไม่มีใครยืนยันได้ เพราะแนวทางการกัดหรือล้อหนังเรื่องอื่นมีมานานตั้งแต่สมัยหนังเริ่มสร้าง ประเภทแซวเรื่องนั้น ล้อเรื่องนี้แบบเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็จับเอาตัวละครจากหนังบางเรื่อง (ส่วนมากจะเป็นหนังสยอง) มาล้อในหนังตลก อย่างบรรดา Dracula, Frankenstein และมนุษย์หมาป่า พวกนี้ก็โดนสองซี้ Bud Abbott และ Lou Costello มาล้อซะสนุก แต่ก็ยังไม่ใช่หนัง Spoof แบบเต็มปากเต็มคำ

หรือหนังอย่าง Dr. Strangelove or: How I Learned to Stop Worrying and Love the Bomb (1964) ของอภิมหาผู้กำกับ Stanley Kubrick ก็มีการกัดทั้งหนังทั้งสังคมแต่ไม่ได้ล้อหนังเรื่องไหนเต็มตัว หรือ What’s Up, Tiger Lily? (1966) ของ Woody Allen ก็จับเอาฟุตเตจหนังสายลับญี่ปุ่นมาตัดต่อทำเป็นแนวล้อเลียนแต่ก็ออกแนวหนังทดลองมากกว่าจะเป็นหนังล้อยัดมุก

ทำให้หากพูดถึงหนังเรื่องแรกที่ได้ชื่อว่าเป็นหนังใหญ่และมีเจตนาล้อหนังเรื่องอื่นโดยตรง ต้องยกตำแหน่งให้ Casino Royale ... อ้อ เปล่าครับ ไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุดของพี่ Daniel Craig แต่เป็นฉบับปี 1967



ต้องเล่าเท้าความนิดหนึ่งว่าตอนนั้นบริษัท EON Productions ที่ทำหนังเจมส์ บอนด์ต้นฉบับ ได้กว้านซื้อลิขสิทธิ์นิยาย 007 มาไว้ในมือทั้งหมด ยกเว้นตอน Casino Royale อันเป็นนิยายบอนด์ตอนแรกที่หลุดไปอยู่ในมือของคนอื่น ท้ายสุดมาสิทธิ์มาตกอยู่ที่ Charles K. Feldman ซึ่ง Feldman ก็อยากจะหอบนิยายไปขายให้ EON แต่ไม่ขายเปล่านะครับ จะขายแบบต้องให้เขาร่วมอำนวยการสร้างด้วย ซึ่งทาง EON ปฏิเสธ เพราะเข็ดมาจากหนังบอนด์ตอน Thunderball ที่มีคนมาร่วมอำนวยการสร้าง แล้วก็มีแต่ปัญหา

ทีนี้ Feldman เลยตัดสินใจทำเอง แต่ครั้นจะไปทำแนวแอ็กชันแข่งกันมันก็ไม่น่าจะดี พี่แกเลยทำเป็นแนวล้อเลียนหนังบอนด์ไปเลย เนื้อหาก็บ้าแล้วครับท่านผู้ชม ว่าด้วยเรื่องของเจมส์ บอนด์ (David Niven) ที่ตอนนี้ปลดเกษียณกลายเป็นท่านเซอร์ วันๆ เอาแต่นั่งชมดอกไม้ เล่นเปียโนแล้วก็นั่งระลึกถึงความผิดที่ตัวเองเคยก่อไว้กับมาตาฮารี (เธอคือสายลับสาวที่มีตัวตนจริงๆ และก็ถูกประหารเนื่องจากเป็นนายลับนี่เอง แต่หนังเอามายำซะมั่วเลย) แต่แล้วก็เกิดศัตรูวายร้ายที่ชื่อด็อกเตอร์โนอาห์โผล่มาขู่จะทำลายความสงบ บอนด์เลยต้องกลับเข้าสู่ถนนสายลับ พร้อมแผนอันบรรเจิดที่จะหลอกล่อศัตรู โดยการให้สายลับในสังกัด MI6 ใช้ชื่อว่าเจมส์ บอนด์ให้หมดเลย ศัตรูจะได้งงว่าคนไหนตัวจริงกันแน่ (ดูไปอึ้งไป คิดได้ไงฟะ)

นายเจมส์ บอนด์ตัวปลอมนี่ก็ได้นักแสดงดังอย่าง Peter Sellers มาร่วมขบวน แล้วยังได้ Woody Allen มาเป็นจิมมี่ บอนด์ หลานสุดต๊องของเซอร์เจมส์ ผมยังจำประโยคเปิดตัวแกได้เลยครับ เป็นฉากที่กำลังจะโดนลากไปยิงเป้า เลยพูดกับเจ้าหน้าที่ว่า “ไม่ได้นะครับ หมอสั่งไว้ว่าห้ามกระสุนปืนเข้าร่างผมเด็ดขาดไม่ว่าจะกรณีใดๆ มันจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ” ... ก็แหงล่ะพี่

แม้ Casino Royale จะไม่ได้รับคำชมอะไรมากมาย (แต่รายได้ไม่เลวนะ โกย $21 ล้าน ติดทำเนียบหนังทำเงินอันดับสามของปี) ส่วนผมดูแล้วก็ขำอยู่ล่ะครับ คิดดูสิดาราฝีมือเฉียบอย่าง Niven, Sellers, Allen, John Huston, Ursula Andress, Deborah Kerr และ Orson Welles มาสลับกันออกอาการเพี้ยน ถ้าไม่คิดอะไรมาก หนังก็ขำพอเพลินใช้คลายเครียดได้อยู่

แต่ยุคทองสมัยแรกของหนังล้อเลียน มาเกิดเอาช่วงปี 1970 ด้วยฝีมือของชายชื่อ Mel Brooks ที่เติบโตจากงานเขียนบท (ตัวละครหนึ่งที่สร้างสรรค์จากมันสมองของเขาคือ แม็กซ์เวลล์ สมาร์ท แห่งซีรี่ส์สุดฮิต Get Smart และตอนนี้ก็ถูกสร้างเป็นหนังใหญ่ นำแสดงโดย Steve Carrell) ก่อนจะผันตัวมากำกับ



ผลงานอันโด่งดังของลุงคนนี้ก็คือ Blazing Saddles และ Young Frankenstein ที่ออกสู่สายตาผู้ชมในปี 1974 ทั้งคู่ เรื่องแรกนั้นล้อหนังคาวบอยซะขำกระจาย ส่วนเรื่องหลังก็เอาตำนานผีดิบแฟรงเกนสไตน์มาเล่าใหม่ในแบบขากรรไกรค้างแล้วค้างอีก จนนักวิจารณ์ยกให้ทั้งสองเรื่องเป็นหนังตลกคลาสสิกตลอดกาล



แนวทางของ Brooks ถือว่าเป็นการให้กำเนิดหนังตลกล้อเลียนอย่างเป็นทางการ เพราะหลังจากสองเรื่องนี้ดัง ลุงแกก็ขยันปั้นเรื่องออกมาล้อ ไม่ว่าจะ Silent Movie (1976) ที่เอาสไตล์หนังเงียบมาล้อ แสดงถึงความอัจฉริยะของ Brooks ที่ทำให้คนขำโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ยังได้ ตามด้วย High Anxiety (1977) ที่ผมชอบสุดขีดเลยครับ เป็นการเอาผลงานคลาสสิกของ Alfred Hitchcock มาทำใหม่ พล็อตหลักว่าด้วยตัวเอก ดร.ริชาร์ด ธอร์นไดค์ (Brooks เล่นเอง) จิตแพทย์ที่กลัวความสูง (ล้อ Vertigo แล้วนะครับ) ที่ต้องมารักษาการในโรงพยาบาลบ้าที่มีลับลมคมใน (The Man Who Knew Too Much) ซ้ำยังต้องหนีการตามล่าจากนกที่ไล่อึรดเขา (The Birds) และ พนักงานโรงแรมที่ประทุษร้ายเขาขณะอาบน้ำ (Psycho) ... หนังยังมีความบ้าอีกเยอะครับ ใครเคยผ่านตาหนังของ Hitchcock มาก่อน ได้ขำปางตายกับหนังเรื่องนี้แน่นอน ผมนี่ก็ชอบขนาดตามล่ามาเก็บเลยครับ



Brooks เลยถือได้ว่าเป็นผู้กำกับหนังล้อเลียนเจ้าแรกที่ทำหนังออกมาต่อเนื่องและสนุกอย่างยอดเยี่ยม แนวทางของเขาก็คือต้นแบบขนานแท้สำหรับ Spoof Movie ทั้งหลาย กฎสี่ประการแรกของหนังล้อเลียนก็ได้เขานี่แหละเป็นผู้วางรากฐานมันขึ้นมา

นอกจาก Brooks แล้วก็ยังมีกลุ่มนักแสดงตลก Monty Python แห่งอังกฤษที่ประกอบไปด้วย Graham Chapman, John Cleese, Terry Gilliam, Eric Idle, Terry Jones และ Michael Palin ที่ดังมาจากทีวีช่อง BBC ก็โดดจากจอแก้วสู่จอเงินในหนังล้อตำนานกษัตริย์อาเธอร์ตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ใน Monty Python and the Holy Grail (1975) ที่ล้อตำนานแบบกระจุยครับ แล้วก็ฮาโคตรๆ อีกด้วย

ตามด้วย Monty Python's Life of Brian (1979) และ Monty Python's The Meaning of Life (1983) ซึ่งแต่ละเรื่องสามารถเรียกเสียงฮาได้อย่างดีครับ แต่ต้องไม่คิดมากระหว่างดู เพราะส่วนใหญ่พวกเขาจะนำเอาตำนานเก่าแก่ (เช่น ตำนานพระเยซู) มาเล่าแบบเอาตลกเข้าว่า ทำให้คนรุ่นเก่าไม่ปลื้มนัก แต่คนรุ่นใหม่กลับชอบในความช่างคิดและช่างกล้า และที่สำคัญคือเพลงในหนัง (ส่วนใหญ่แต่งโดย Eric Idle) นั้นก็ช่างไพเราะ และมีความหมายเชิงบวกมากๆ เช่นเพลง Always Look on the Bright Side of Life ที่หลายๆ คนน่าจะคุ้นเคย ก็ขอบอกเลยครับว่ามาจากคณะตลกกลุ่มนี้นี่แหละ



ถัดจากยุค 70 ก็ล่วงเข้าสู่ยุค 80 ที่ถือได้ว่าเป็นยุคทองรุ่งเรืองสุดขีดของหนังล้อเลียน นอกจากงานชิ้นใหม่ของ Brooks จะยังคงครองใจคนได้ เช่น Spaceballs (1987) ที่เอา Star Wars มาสังฆกรรมได้น่ารักน่ากระโดดถีบเหลือคณา (โดยเฉพาะตัวร้ายอย่าง ดาร์ค เฮลเม็ต หรือ “ท่านหมวกกันน็อก” และ พิซซ่า เดอะ ฮัตต์!)

และในยุคนั้นยังมีการถือกำเนิดของกลุ่มผู้กำกับหนังล้อเลียนที่มีอิทธิพลมาจนทุกวันนี้ ได้แก่ David Zucker, Jim Abrahams และ Jerry Zucker หรือกลุ่ม ZAZ (เอามาจากนามสกุลครับ) สามซี้ที่เปิดศักราชหนังล้อเลียนยุคใหม่ ที่สดกว่ายุคของ Brooks เล็กน้อย นั่นคือการนำกฎข้อที่ห้าใส่ลงไปอีก เพราะสมัยของ Brooks นั้น หนังจะล้ออย่างไรเรื่องราวก็จะยังอยู่บนความเป็นไปได้บ้าง แต่พวกพี่สามคนนี้ใส่กฎที่ว่า “ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในหนังล้อเลียน” ลงมา โดยพวกเขาเริ่มสร้างชื่อจากหนังล้อเลียนแบบยำรวมมิตรที่ชื่อ The Kentucky Fried Movie ที่เขาร่วมกันเขียนบทสร้างเรื่อง ส่วนเก้าอี้กำกับก็มอบให้ John Landis ไป ซึ่งรสชาติก็ออกมาเพลินครับ แต่ยังไม่สุดยอดเทาผลงานต่อมา อันเป็นงานที่เด็ดแบบจัดเต็ม และเป็นหนังเรื่องแรกที่พวกเขากำกับด้วย มันคือ Airplane! (1980)

แรงบันดาลใจที่ทำให้ผู้กำกับ ZAZ อยากทำเรื่องนี้ก็เพราะ ช่วงนั้นมีหนังแนวหายนะเกิดขึ้นมาเพียบ ไหนจะเครื่องบินมีดันมีคนเอาระเบิดขึ้นไปด้วย (Airport), ตึกไฟไหม้ (The Towering Inferno), แผ่นดินไหว (Earthquake), เรือล่ม (The Poseidon Adventure) พวกเขาเลยคิดว่าถ้าทำหนังแบบเดียวกันแต่เหตุการณ์เพี้ยนไปให้เป็นฮาสุดขั้วเลยมันจะเป็นยังไง ... ก็ฮาแตกฮาแตนสิพี่

ถ้าคุณเป็นคอหนังล้อเลียนแล้วยังไม่ได้ดูเรื่องนี้ถือว่าไม่ผ่านการเป็นแฟนพันธุ์แท้ หนังมันเพี้ยนมาก ไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันจะบ้าไปทางไหน บางมุกก็ไม่รู้คิดได้ไง เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเครื่องบินแหละครับ และไคลแม็กซ์ก็คือ เมื่อกัปตันกับผู้ช่วยและผู้โดยสารอีกกว่าครึ่งเกิดอาหารเป็นพิษ เลยไม่มีคนขับเครื่องบิน ร้อนถึงพระเอก (Robert Hays) ที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารและเคยขับเครื่องบินรบมาก่อนต้องรับหน้าที่ แต่เนื่องด้วยมีอดีตที่เจ็บปวด เขาเลยไม่ยอมขับให้ (เอาเข้าไป เขาจะตายทั้งลำก็เพราะพี่แกนี่แหละ) แล้วคนบนเครื่องจะรอดไปได้ไหมหว่าเนี่ย

จุดเด่นที่สุดยอดคือความบ้าที่ไร้ขีดจำกัด นึกจะเกิดอะไรก็เกิด ทุกฉากอุดมไปด้วยมุกครับ อย่างจู่ๆ ก็มีผู้หญิงแก้ผ้าวิ่งผ่านกล้องไป ... บนเครื่องบินเจ๊แกมายังไงล่ะนั่น แล้วยังถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ยัดมุกซุกซ่อนลงไปเพียบ พวกของประกอบฉากไงครับ บางชิ้นมันไม่ควรจะอยู่ตรงนั้นแต่ดันไปโผล่และที่ลืมไม่ได้คือการแสดงแจ้งเกิดเจ้าตำรับตลกหน้าตาย Leslie Nielsen ในบทคุณหมอรูแม็กที่แม้คนบนเครื่องเขาจะคลั่งกันขนาดไหนลุงแกก็หน้านิ่งพูดเฉยชาต่อไป หรือตอนพูดโกหกมีการจมูกยืดได้แบบพิน็อกคิโออีกนะ



Airplane! (1980) จึงปลุกกระแสหนังล้อเลียนให้ดังอย่างสุดขีด ด้วยมุกที่อัดแน่นตลอดทั้งเรื่อง (ว่ากันว่าทุกฉากต้องมีอย่างน้อยหนึ่งมุก ไม่คำพูดก็ท่าทาง ไม่ก็ของที่โผล่อย่างผิดที่ผิดทาง) ถ้าถามว่าทำไมมันจึงกลายเป็นความสำเร็จก็เนื่องมาจากความผิดเพี้ยนติงต๊องเกินพิกัดของเหล่าตัวละครและสถานการณ์ที่มันดูงี่เง่าจนคนดูอดขำไม่ได้ แบบที่เรามักจะขำคนที่พูดผิดหรือทำท่าแปลกๆ นั่นแหละ การทำตลกลักษณะนี้ให้ออกมาลงตัวและชวนขำได้ไม่ใช่ของง่ายเลยครับ พวก ZAZ ทำการบ้านกันพอตัวกว่าจะคัดและถ่ายทอดมุกได้อย่างลื่นไหลเพียงนี้

กลุ่ม ZAZ ปล่อยให้คนอื่นทำภาคสองของหนังเครื่องบินสุดต๊อง (ซึ่งก็ไม่เฉียบเท่าต้นฉบับ) แล้วหันไปทำ Top Secret! ที่ได้ Val Kilmer มารับบท นิค ริเวอร์ส พ่อหนุ่มนักร้องเจ้าเสน่ห์ลูกคอเสนาะ ที่ต้องไปพัวพันกับแผนร้ายทำลายประเทศ ซึ่งก็ล้อหนังสไตล์ Elvis Presley (เนื้อหาหนังที่ Elvis แสดงส่วนมากจะเกี่ยวกับนักร้องหนุ่มที่เดินทางไปยังที่แห่งหนึ่ง แล้วก็พัวพันกับเรื่องวุ่นๆ จนเขาต้องลงมือแก้ไขกู้สถานการณ์) และก็ฮาแบบไม่ผิดหวัง

หลังจากกอดคอกันได้ดีไปหลายเรื่อง กลุ่ม ZAZ ก็ได้เวลาแยกกันทำงาน โดย David Zucker ได้ดึงเอาบทนายตำรวจแฟรงค์ เดรบิน สุดต๊องหน้าตายแห่งซีรี่ส์ตลกแต่อายุสั้น เรื่อง Police Squad! ที่ได้ Leslie Nielsen แสดงนำ มาขยายเป็นหนังใหญ่ชุด The Naked Gun ที่ทำให้ Nielsen เป็นที่จดจำได้สุดขีดและกลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังล้อเลียนไปเลย

ส่วน Jim Abrahams ก็ทำหนังชุด Hot Shots! ออกมาล้อ Top Gun แล้วก็สารพัดหนังพระเอกกู้โลกโดยได้พระเอกหล่ออย่าง Charlie Sheen มารับบทนำ พร้อมตอนต่ออีกหนึ่งภาค

จากนั้นหนังชุดล้อเลียนก็เหมือนจะถึงจุดอิ่มตัวเมื่อไม่มีหนังแนวนี้เรื่องไหนสร้างชื่อได้อีก เช่น Fatal Instinct (1993) ที่ยำ Fatal Attraction เข้ากับ Basic Instinct, Loaded Weapon 1 (1993) นี่ก็ตั้งป้อมล้อ Lethal Weapon และ Spy Hard (1996) ที่แม้จะได้ Nielsen มาเล่นก็ไม่ประสบความสำเร็จดังตั้งใจ

สาเหตุประการสำคัญก็เพราะอัตรามุกต่อเรื่องน้อยลง และมุกแต่ละอันก็ไม่ได้พิถีพิถันแต่อย่างใด เรียกว่ารีบๆ เข็นยัดลงไปให้ครบๆ ถ้าจะเรียกว่าสุกเอาเผากินก็คงไม่ผิดอะไร ซึ่งต่างจากการทำหนังล้อเลียนยุคแรกๆ และจุดที่คนทำหนังล้อเลียนยุคหลังเข้าใจผิดไปอย่างแรง คือ คิดว่าหนังล้อเลียนเป็นเพียงการเอาฉากสำคัญจากหนังดังมาล้อก็เสร็จพิธี นั่นคือการมองที่ผิดโดยสิ้นเชิง เพราะแพทเทิร์นสำหรับการล้อฉากหนังดัง ต้องนำฉากที่ว่ามาแล้วหักสถานการณ์ให้กลายเป็นตลก กล่าวคือไม่ใช่ยกมาแล้วจบ มันต้องคิดต่อยอดว่าจะหักมุมไปทางไหนให้มันขำ และนี่แหละครับที่คนทำหนังล้อเลียนรุ่นปี 90 พลาดจนหนังพากันฮากริบไปหมด



ต้องรอจนเกือบปี 2000 หนังล้อเลียนถึงเริ่มกระเตื้องอีกครั้ง เมื่อ Jay Roach นำ Austin Powers สู่สายตาผู้ชม แทนที่จะยัดมุกแบบส่งๆ Mike Myers ที่ทั้งเขียนบทและแสดงเป็นออสติน พาวเวอร์ส สายลับเจ้าเสน่ห์จอมหลงตัวเองตั้งใจสอดแทรกมุกและความขำลงไปทุกส่วน ไม่ว่าจะบท การพูดจา ใส่ความขำลงไปในตัวละคร ซึ่งนี่ถือเป็นเสน่ห์ที่สำคัญมากสำหรับหนังตลก หากตัวละครนำไม่ทำให้คนขำ หนังก็จะจืด ดูไม่ได้ แบบหนังแป้ก ทั้งหลาย เรียกว่าขำก็ต้องถึงเครื่อง ล้อก็ต้องล้อให้ถึงวิญญาณ ไม่ใช่แค่ล้อเป็นฉากๆ ไป

ถัดจากนั้นมาหนังล้อเลียนที่ได้ชื่อว่าขำลั่นสนั่นโรงจนปัจจุบัน มีเพียง Scary Movie (2000) ที่พี่น้องตระกูล Wayans จับหัวใจหลักของการทำหนังล้อเลียนลงไปอย่างเต็มพิกัด นั่นคือกฎห้าข้อ บวกการล้อที่ถูกจุด และยังผสมเอาความห่าม มุกลามกลงไปเพื่อเรียกเสียงฮา อีกเรื่องก็คือ Shaun of the Dead (2005) ที่ยำหนังซอมบี้ท่ามกลางความสยองได้อย่างอร่อย แม้จะแหกกฎไปบ้าง (เพราะเป็นหนังล้อเลียนที่สยองพอตัว) แต่ต้องยกนิ้วให้เพราะมันล้อแบบถึงหัวใจ

ส่วนตัวอย่างหนังตลกที่แป้กในระยะหลังก็ได้แก่ตระกูล Date Movie (2006), Epic Movie (2007), และ Meet the Spartans (2008) ที่แม้จะได้เงินบ้าง แต่คำวิจารณ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ติดอันดับหนังยอดแย่อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในบรรดาหนังล้อเลียน ก็เนื่องมาจาก หนังพวกนี้ทำพลาดเหมือนบรรดาหนังแป้กยุค 90 และยังซ้ำความพลาดด้วยการเอามุกหยาบคายจนเกินขนาดที่คนดูจะรับไหวมาใส่แบบเพียบไปหมด จนคนดูอเมริกาที่ว่าเปิดกว้างยังรับไม่ใคร่จะได้ เพราะมุกในหนังบางอันมันไร้กาลเทศะเกินไป

อย่างที่เขาว่ากัน อะไรที่มากเกินไป ไม่ดีหรอก

การทำหนังล้อเลียนนั้นไม่ใช่ของง่ายครับ เหมือนการทำหนังตลกที่ใช่ว่าใส่ทุกมุกจะขำ คิดมุกแบบงั้นๆ ก็อาจแป้กได้ มันก็ต้องอาศัยความตั้งใจเหมือนหนังทุกประเภทในโลก ก็ต้องยอมรับคนทำรุ่นเก่าอย่าง Mel Brooks และกลุ่ม ZAZ ด้วย ไม่เก่งไม่มีอารมณ์ขันจริงคงไม่สามารถทำหนังชวนยิ้มได้ขนาดนี้หรอกครับ

ผมแนะนำไปคร่าวๆ แล้วนะครับว่าหนังล้อเรื่องไหนดูแล้วคุ้มค่า ที่เหลือที่ผมไม่ได้กล่าวถึงก็ไม่ขอรับประกัน เพราะหนังตลกล้อเลียนเฉียบๆ ไม่ได้มีเยอะหรอกครับ โดยเฉพาะหนัง Spoof ยุคหลัง หาสนุกได้ยาก หากอยากรู้ซึ้งถึงความขำแท้แบบ Spoof ลองเริ่มจาก Airplane!, The Naked Gun สองภาคแรก และ High Anxiety สิครับ (แต่ท่านต้องดู Soundtrack นะครับ พากย์ไทยนี่มุกหายไปอื้อเลย)


Create Date : 27 เมษายน 2554
Last Update : 28 เมษายน 2554 17:12:19 น. 2 comments
Counter : 4853 Pageviews.

 
ขอบคุณครับ ได้หนังดูเพียบเลย ปกติไม่ค่อยได้ดูแนวนี้


โดย: Donut IP: 123.219.32.102 วันที่: 30 เมษายน 2554 เวลา:20:17:38 น.  

 
จุ๊ จุ๊ นี่เป็น ลิงค์ โหลด the naked gun ทั้ง สามภาค
//www.duckload.us/forum/boxset.dvd.vcd.hd.hi-def/519127-%5B%BD%C3%D1%E8%A7%5D-naked.gun.1-3.%7C.%BB׹%E0%BB%C5%D7%CD%C2.1-3.%7C.***.˹ѧ%E0%A1%E8%D2%CDա%E0%C3%D7%E8ͧ.%B7%D5%E8%B9%E8%D2%CA%D0%CA%C1.***-%5Bdvd5%5D.%5Bmodified%5D-%5Bsoundtrack.%BA%C3%C3%C2%D2%C2%E4%B7%C2%5D.html


โดย: kamenrider IP: 125.26.69.76 วันที่: 29 กรกฎาคม 2555 เวลา:10:44:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.