ย้ายบ้านแล้วครับผม มีดอทคอมเป็นของตัวเองเรียบร้อยครับ
10000tip.com
หมื่นทิพ's Movie Review

เทพบุตรตบะแตก!!
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 116 คน [?]




ค้นหารีวิวหนังเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เทพบุตรตบะแตก!!'s blog to your web]
Links
 

 
Film Retro: A Time for Slasher! เปิดกรุหนังเชือด

สารภาพประการหนึ่งเลยนะครับว่ากระผมชอบดูหนัวแนวไล่ฆ่าทำนองนี้พอสมควร โอ้ ไม่ได้แปลว่าชอบจนอินแล้วอยากจะไปประทุษร้ายคนอื่นหรอกครับ แต่ชอบเพราะมันเป็นหนังดูง่าย เอาสนุกสะใจ ตื่นเต้นเป็นพอ สาระไม่ต้องหวังให้มากมาย เหมือนเราแวะเวียนเข้าบ้านผีสิงน่ะครับ ทำให้เลือดสูบฉีดตื่นเต้นเล็กน้อยชั่วครั้งคราว พอจบแล้วก็จบกัน แต่เชื่อเถอะครับว่าไม่ได้มีผมคนเดียวในโลกแน่ๆ ที่สนุกกับการดูหนังแนวนี้ ไม่งั้นหนังแนว Slasher Film คงไม่สามารถอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงวันนี้หรอก

เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าครับว่าอะไรทำให้เสน่ห์หนังไล่เชือดไม่ยอมตายไปซักที อมตะพอๆ กับพวกบ้าที่ฆ่ายังไงก็ยังหน้าด้านคืนชีพกลับมาล่าคนนั่นแหละครับ




อะไรคือ Slasher Film


หนังแนวเชือดไล่ฆ่าคนนั้นมีศัพท์เฉพาะว่า Slasher Film แปลได้ตรงตัวคือ “หนังว่าด้วยนักเชือด” ซึ่งก็ยังมีชื่อเรียกอื่นอีกว่า Bodycount Films (หมายถึงหนังอุดมศพน่ะครับ โดนเชือดเยอะนี่หน่า) หรือ Dead Teenager Movies (หนังวัยรุ่นสิ้นชีพ เพราะส่วนมากเหยื่อในเรื่องหนีไม่พ้นวัยนี้แหละครับ)

หากจะบอกเล่ากันถึงองค์ประกอบหนังเชือดชั้นดีแล้วล่ะก็ จะต้องมีบทที่ซับซ้อนพอประมาณ ให้คนดูตามทันแต่ก็ไม่ง่ายจนเกินเหตุเหมือนดูถูกผู้ชม เดินเรื่องก็เป็นไปอย่างมีชั้นเชิง ฆาตกรไม่ตายยากเกินเหตุและควรจะฉลาดเก่งกาจ วางแผนสังหารได้อย่างเหนือชั้น ขณะเดียวกันพระเอกนางเอกก็ต้องฉลาดตามมันทัน อันจะทำให้หนังมีความเข้มข้นลุ้นตื่นเต้นขึ้นอีกมาก ส่วนฉากการฆ่าก็ไม่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมมากมาย ขอเพียงสร้างบรรยากาศเงามืดได้น่าผวาก็เพียงพอแล้ว





อะไรคือต้นฉบับแห่งหนังเชือด


แม้ว่าในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดจะมีแนวสยองขวัญมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าว่ากันถึงแนวฆ่ากันโดยมีฆาตกรลงมือเชือดชาวบ้านแบบเรียงตัว จุดเริ่มต้นของคนทำหนังกลับได้แรงบันดาลใจจากนิยายฆาตกรรมสืบสวนระดับตำนานของ Agatha Christie โดยเฉพาะเรื่อง And Then There Were None หรือ Ten Little Indians ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1939 (ชื่อไทยบ้านเราก็มีหลากนามครับ ที่จำกันได้เยอะหน่อยก็คือ ฆาตกรรมยกเกาะ หรือ ตุ๊กตาอาถรรพ์) ที่มีเนื้อหาว่าด้วยคนสิบคนถูกเชิญยังเกาะแห่งหนึ่ง ก่อนจะถูกสังหารทีละคนๆ สูตรสำเร็จหนังเชือดทั้งหลายก็ได้นิยายเรื่องนี้แหละครับมาปูทางให้ ไม่ว่าจะเรื่องพื้นที่ปิดตาย การฆ่าแบบมีเรื่องจิตวิทยามาเจือปน การตามหาความจริงและฆาตกรที่แอบซ่อนอยู่ในหมู่พวกเขา



จากนั้นก็มีการทำหนังลักษณะตามรอย And Then There Were None ออกมาอีกหลายเรื่อง แต่โดยมากเรื่องเหล่านั้นมักจะถูกจัดเข้าพวกหนังฆาตกรรมสืบสวน (Suspense – Thriller) เพราะเนื้อความจะพุ่งเป้าไปที่การหาตัวฆาตกรมากกว่าจะเน้นความอำมหิตและความน่าสะพรึงกลัว

จนกระทั่งการมาของหนังเรื่อง Psycho (1960) ซึ่งนักดูหนังยกตำแหน่งให้เป็นหนังเจ้าตำนานสำหรับภาพยนตร์แนวเชือดทั้งมวล (The Mother of all Slasher Films) แทบไม่ต้องแนะนำคนกำกับเลยนะครับ เขาคือ Alfred Hitchcock ราชาหนังเขย่าขวัญ ที่จัดการดัดขนบหนังฆาตกรรมเสียใหม่ โดยไม่เน้นไปที่การสืบสวน แต่มาโฟกัสที่พฤติกรรมโหดของฆาตกรแทน เพิ่มบรรยากาศความน่าสะพรึงลงไป ตามด้วยฉากฆ่าที่ถือว่าโหดอย่างยิ่งสำหรับยุคนั้น (ได้แก่ฉากคลาสสิก ฆ่ากันใต้ฝักบัวนั่นไงครับ)

ลีลาการเล่าเรื่องก็สร้างทั้งความอกสั้นขวัญแขวนให้ผู้ชม ซึ่งหมัดเด็ดของหนังก็คือการทำให้ผู้ชมรู้สึกหวาดผวา เพราะแต่ละฉากแต่ละตอนที่เกิดการฆ่า มันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และเกิดขึ้นได้จริงไม่ว่าจะกับใคร เจ้าฆาตกรก็ไม่ใช่ผีสางเหนือธรรมชาติ มันคือคนด้วยกันนี่แหละ อีแบบนี้ก็อดกลืนน้ำลายเอื้อกไม่ได้ตอนดู อีกทั้งเรื่องราวยังซับซ้อน มีการพลิกผันพลิกปมจนคนดูสัมผัสได้ถึงพลังของเรื่องราว Psycho เลยได้รับการยกย่องให้เป็นหนังติดอันดับยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลอีกเรื่อง



มีนักดูหนังบางส่วนจัดแบ่งหนังเรื่องนี้ว่าเป็นแนวฆาตกรรมกึ่งจิตวิทยามากกว่าจะเป็นหนังแนวเชือด เพราะเนื้อความตามที่หนังต้องการสื่อจริงๆ มันว่าด้วยอาการทางจิตที่ส่งผลต่อพฤติกรรมคน ไม่เหมือนหนังเชือดในยุคหลังๆ ที่ฆ่ากันโดยไม่มีเหตุผลเท่าไร ทว่าคนส่วนใหญ่ก็ยอมรับกันว่าถ้าพูดถึงหนังแนวฆ่าที่เป็นต้นแบบ ทำให้คนทำหนังสยองเจ้าอื่นเดินตามกันในเวลาต่อมา ก็ได้แก่เรื่องนี้นี่แหละ

ใครสนใจอ่านรีวิวของ Psycho คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ

ถัดจากนั้นมา ก็มีหนังคล้ายๆ กับ Psycho ต่อคิวเดินตามมาอีกหลายเรื่อง โดยมีการจับเอาสไตล์ที่ Psycho กรุยทางไว้ ได้แก่การเล่าเรื่องที่ชวนผวา ตัวฆาตกรต้องมีความผิดปกติบางอย่าง เหตุต้องเกิดในที่ห่างไกลไร้คนช่วยเหลือ และฉากฆ่าก็ต้องจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งหนังที่เดินตามรอยแล้วดังสนั่นก็มีจะแนะนำดังต่อไปนี้ครับ





The Texas Chain Saw Massacre (1974) สิงหาสับ




นี่คือภาพยนตร์โหดสยอง ที่ว่ากันว่าคนดูพากันอาเจียนเป็นลมคาโรงมาแล้วตอนออกฉาย เนื้อหานั้นก็ว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่น 5 คนเดินทางผ่านไปยังย่านเท็กซัส เพื่อจะไปเที่ยวเฮ้วตามประสา แต่แล้วพวกเขากลับมีเหตุให้ต้องขอความช่วยเหลือจากคนแถวนั้น ก็เดินไปเจอบ้านหลังหนึ่ง ที่เหมือนจะเป็นโรงงานฆ่าสัตว์ร้าง... แต่ปัญหาคือ มัน ไม่ร้าง! คงไม่ต้องว่าต่อนะครับว่าพวกเขาจะเจอกับอะไร

นี่ถือเป็นหนังสยองเฉพาะกลุ่ม (Cult Horror) เพราะมันโหดครับ คนทั่วไปพากันยี้ได้ง่ายๆ ที่ชอบก็ต้องเป็นคอจริงๆ เพราะมันฆ่ากันสมจริงเกินไป ไหนจะอาวุธที่ใช้ฆ่า ซึ่งก็คือเลื่อยยักษ์คมกริบอีก ดูแล้วหมดหวังมากๆ ครับ ผมเองสมัยดูรอบแรกก็อึ้งเหมือนกัน หนังอะไรเนี่ยกดดันสิ้นดี แต่ถ้าถามว่าชอบไหมก็ให้สามดาวไปนอนกอดได้สบายๆ ครับ หนังเข้าเด็ดจริงๆ

Result: แจ้งเกิดผู้กำกับ Tobe Hooper และก่อให้เกิดตอนต่ออีก 3 ตอน ก่อนจะมีคนเอาไปรีเมคใหม่อีกสองภาค และทำให้คนพากันสงสัยว่านี่คือเรื่องจริงหรือไม่ เพราะหนังโฆษณาว่าสร้างจากเรื่องจริง (ซึ่งถ้าจะให้ถูกต้องบอกว่าสร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจแบบผิวๆ จากเรื่องจริงของ เอ็ด กีน ฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนแล้วสตั้ฟฟ์ไว้!) และเหนืออื่นใด คือหนังได้วางมาตรฐานสำคัญของหนังเชือดว่าต้องมี “ฆาตกรชูโรงประจำเรื่อง” เป็นเครื่องสร้างความหลอนให้คนดู

ใครสนใจอ่านรีวิวของ The Texas Chain Saw Massacre คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ





Black Christmas (1974) ปฏิบัติการเดือดล่าซานต้า




เหตุเกิดในคืนวันคริสต์มาส ณ. หอพักแห่งหนึ่ง แทนที่เหล่านักศึกษาสาวจะได้สนุกสนาน แต่กลับมีคนเดินทางมาเพื่อฆ่าและเก็บพวกเธอทีละคนๆ มันคือใคร และมันต้องการอะไร!

นี่ก็ถือเป็นต้นแบบของหนังแนวเชือดตามบ้านที่มีคนเดินตามอีกเพียบในเวลาต่อมา ซึ่งก็บอกได้ว่าสนุกตื่นเต้นเอาเรื่องครับ บรรยากาศมืดๆ สยองใช้ได้ จะว่าไปหนังยังเป็นเรื่องแรกๆ ที่ใช้ความมืด ซอกหลืบตามมุมห้องให้เกิดประโยชน์ เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าฆาตกรมันจะซ่อนอยู่ที่ไหนและมันโผล่มาได้ทุกเมื่อ สร้างความอึดอัดและหายใจไม่ทั่วท้องให้คนดูได้เป็นอย่างดี แล้วยังกำหนดเหตุให้เกิดในบ้าน ซึ่งผู้ชมขวัญอ่อนพากันจิตตกเป็นแถบๆ เพราะมันดูเป็นไปได้และใกล้ตัวอย่างแรง และที่ลืมไม่ได้คือ หนังมีดาราวัยรุ่นสาวๆ มากมายเต็มจอ เลยถือได้ว่าเป็นหนังที่ครบสูตรเบื้องต้นของแนวเชือด อันได้แก่ สาวเยอะ เชือดแยะ ความมืดเพียบ และเหตุเกิดในที่แคบ

Result: ตัวหนังไม่มีภาคต่อ (แต่มีคนเอามีรีเมคในปี 2006 และผลคือเจ๊ง) แต่มีอิทธิพลต่อมากับ Halloween และ ยังกำหนดอีกหนึ่งสูตรสำเร็จให้หนังเชือดว่า เหตุสยองมักเกิดในคืนวันหยุดหรือเทศกาล

ใครสนใจอ่านรีวิวของ Black Christmas คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ





Halloween (1978) ฮัลโลวีนเลือด




หนังเชือดระดับตำนานที่ใครๆ ต่างยกนิ้วให้ว่ายอดเยี่ยมรองลงมาจาก Psycho (ผมก็ยกนิ้วด้วยอีกคน) กับเรื่องราวของไมเคิล ไมเยอร์ส เด็กโรคจิตที่ลงมือแทงพี่สาวตัวเองจนถึงแก่ความตายเมื่อหลายสิบปีก่อน บัดนี้เมื่อวันฮาโลวีนมาถึง เขาได้หนีออกจากที่คุมขัง เพื่อกลับมาเล่นเกมโหดอีกครั้ง!

เหตุผลที่ทำให้ Halloween ได้ชื่อว่ายอดเยี่ยมก็เนื่องจาก ความกลมกล่อมลงตัวอย่างยิ่งในเรื่องราว ลีลาจังหวะมุมกล้องที่ถ่ายทำแล้วสร้างอารมณ์ผวาให้คนดูได้ตลอด (โดยเฉพาะมุมกล้องแบบแทนสายตาฆาตกร) กับการปรากฏตัวแต่ละครั้งของไมเคิลที่แผ่รัศมีความโหด น่ากลัวออกมาทะลุจอเลยทีเดียว

คนดูส่วนมาก บอกดูที่โรงไม่น่ากลัวเท่าดูที่บ้าน เพราะดูในบ้านแล้วหลอนมาก ต้องหันไปมองด้านหลังตลอดกลัวตัวบ้าจะโผล่มา ซึ่งดีกรี จังหวะการเล่าเรื่อง การถ่ายภาพและดนตรีประกอบ (ที่หนังไทยเอามาใช้บ่อยมาก) ต้องเรียกว่าเหนือชั้นกว่า Black Christmas หลายขุม แม้จะเดินตามรอยเรื่องนั้นมา แต่ก็สามารถทำได้ดียิ่งกว่า จับใจจับขวัญคนดูได้อยู่หมัดกว่ากันเยอะ

Result: ดันชื่อผู้กำกับ John Carpenter จนดังไปยืนอยู่แถวหน้าของคนทำหนังสยองอยู่พักใหญ่ๆ และมีตอนต่อตามมาอีก 7 ตอน ตามด้วยฉบับรีเมคที่ได้รับทรัพย์ไปเยอะ คนชมมาก ครองตำแหน่งหนังเชือดสยองที่ดูคุ้มค่า ได้อารมณ์ จนหลายคนไม่กล้าดูคนเดียว

ใครสนใจอ่านรีวิวของ Halloween คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ





Friday the 13th (1980) ศุกร์ 13 ฝันหวาน




แม้จะถูกครหาว่าสร้างออกมาตามรอย Halloween อย่างไร้แรงบันดาลใจใดๆ (นอกจากเรื่องเงิน) แต่ขอโทษครับ นี่กลายเป็นหนังสยองแนวเชือดที่สร้างตอนต่อกันออกมามากที่สุด และชื่อของเจ้าฆาตกรต่อเนื่องจอมโหด เจสัน วอร์ฮีส์ เป็นที่รู้จักและติดหูยิ่งกว่าฆาตกรปีศาจตัวไหนๆ

ส่วนจุดเริ่มของเรื่องก็คือ เจสันนั้นเป็นเด็กอัปลักษณ์ที่มีแม่เป็นคนดูแลแคมป์คริสตัล เลค เขาเลยได้มาเดินเล่นป้วนเปี้ยนอยู่แถวทะเลสาบนั่นแหละ แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุส่งผลให้เจสันจมน้ำไป... หลายปีต่อมาหลังจากเกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่แคมป์คริสตัล เลค เจ้าของก็เห็นว่าเรื่องซาแล้ว จึงวางแผนเปิดใหม่โดยว่าจ้างวัยรุ่นหนุ่มสาวให้ไปช่วยปรับปรุงเตรียมเปิดแคมป์นี่อีกครั้ง... และพวกเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นศพ จากฝีมือของใครสักคนที่ต้องการฆ่า ฆ่า และฆ่า... หรือว่ามันคือเจสัน!

จริงที่ความตื่นเต้น ชั้นเชิงความหยดหยองจะสู้ Halloween ไม่ได้ อีกทั้งสารพัดสิ่งยังลอกมาแทบทั้งดุ้น ไม่ว่าจะมุมกล้องแทนสายตาฆาตกร (ประเภทแอบมองเหยื่อหรือมองจากนอกบ้าน) ความมืดตามหลืบมุม แค่เปลี่ยนจากในเมืองมาเป็นกลางป่าเท่านั้น แต่ในฐานะคอหนังสยองก็ขอบอกครับว่า ดูได้เพลินและตื่นเต้นไม่ใช่เล่น ศุกร์ 13 อาจไม่ได้มีความยอดเยี่ยมจนขึ้นหิ้ง แต่หนังก็จับเอาไฮไลท์หลักๆ ที่หนังเชือดควรมีมาใส่ไว้แบบครบถ้วน แบบนี้คุณภาพอาจไม่ได้มากมาย แต่ความบันเทิงแบบหนังสยอง มีเต็มๆ

Result: บอกแล้วไงครับ หนังจับเอาไฮไลท์ที่ควรมีในหนังเชือดมาเอาใจคนดูแบบครบ มีหนุ่มหล่อสาวสวย อีกทั้งโลเกชั่นในป่าเขาก็กลายเป็นเสน่ห์อีกอย่างของหนังชุดศุกร์ 13 เพราะอย่างน้อยระหว่างดู หนังก็ทำให้เราหายใจไม่ทั่วท้องได้ ยามที่มีตัวละครใดก็ตามต้องเดินเข้าป่า หรือไปไหนมาไหนคนเดียว ว่ากันว่าเด็กฝรั่งดูหนังชุดนี้แล้วขยาดการไปแคมป์อยู่พักหนึ่งครับ... ส่วนตอนต่อก็ล่อเข้าไป 9 ตอน ซ้ำยังมีตอนแยกไปตีกับพี่นิ้วเขมือบอีก ล่าสุดก็มีเวอร์ชั่นรีเมคมาอีกด้วย

ใครสนใจอ่านรีวิวของ Friday the 13th คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ





A Nightmare on Elm Street (1984) นิ้วเขมือบ




มาหลังเขาเพื่อน แต่ถ้าว่ากันถึงดีกรีความสร้างสรรค์สดใหม่ ต้องยกให้ เฟรดดี้ ครูเกอร์ (Robert Englund) ฆาตกรปีศาจที่ฆ่าคนในฝัน แล้วคนผู้นั้นจะต้องตายจริงๆ แม้เรื่องจะดูเหลือเชื่อไปบ้าง แต่ Wes Craven ผู้ให้กำเนิดพี่เฟรดดี้ สามารถสร้างเรื่องออกมาได้อย่างน่าขนลุกและน่าเชื่อถือสุดขีด อีกทั้งยังเป็นหนังสยองที่รุกคนดูจนไร้ทางหนี เพราะเตียงนอนถือเป็นสถานที่อันแสนสุขและอบอุ่น ปลอดภัยมีไว้พักผ่อนโดยเฉพาะ แต่ Craven ได้ทำลายเขตแห่งความปลอดภัยนี้โดยสิ้นเชิง ตัวหนังเองก็ออกมาเลือดเลอะเทอะ คนตายมากมาย หนีก็ไม่ได้ ฆาตกรฆ่าไม่ตาย ลองว่าครบรสถึงเครื่องขนาดนี้ ไม่ฮิตก็แปลกแล้วนะครับ

Result: เบ็ดเสร็จ ทำออกมา 7 ภาคกับตอนแยกไปตีกับพี่เจสันอีกหนึ่ง ตามด้วยการรีเมคอีกหนึ่งคำรบ และทำให้เด็กๆ มากมายไม่กล้าหลับเพราะกลัวฝันร้าย กลัวไม่ได้ตื่นอีก และเหนืออื่นใด กลัวเจอพี่เฟรดดี้!

ใครสนใจอ่านรีวิวของ A Nightmare on Elm Street คลิ้กเบาๆ ตรงนี้ได้เลยครับ



สารพัดหนังเชือดสยองรุ่นหัวหอกพวกนี้ก่อให้เกิดสูตรสำเร็จที่จะมักต้องประกอบด้วย

1. ฆาตกรโรคจิตที่ถ้าไม่หน้าอัปลักษณ์ก็จะสวมหน้ากากมาสร้างความพรั่นพรึงให้กับเหยื่อก่อนเชือดแบบโหด ไม่มีหน้ากากไม่ว่า แต่อย่างน้อยต้องมีหัวครับกับมือด้วยไม่งั้นถืออาวุธไม่ได้

2. ลีลาการฆ่าก็มักจะเดินมาเชือดครับ มาช้าๆ ใจเย็น แต่ดักหน้าเหยื่อได้ทันทุกที ขนาดคนจะโดนฆ่าสวมวิญญาณนักวิ่งโอลิมปิกก็ยังไม่สามารถหนีมันไม่พ้น ไม่รู้มันใช้ประตูไปไหนก็ได้ของโดราเอมอนรึไง ไปได้หมด

3.เจ้าฆาตกรยังต้องฉลาดเกินคนรู้หมดว่าเหยื่อทำอะไรที่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยื่อที่กำลังทำอะไรต่อมิอะไรกันอยู่ ฆาตกรจะแม่นยำในการกะจังหวะฆ่าเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นมันต้องฆ่าเหยื่อมากกว่าหนึ่ง

4. ใครกล้ามามีเซ็กซ์ในหนังของพี่แก ถ้าไม่ขึ้นชื่อเป็นพระเอกหรือนางเอกมีโทษสถานเดียว คือ ตาย!

5. เหยื่อมักเป็นคนอายุราว 16 – 35 ปี เกินกว่านี้มักรอด เจ้าฆาตกรมักไปโผล่ยังที่ซึ่งวัยรุ่นอยู่กันเยอะ พวกโรงเรียนหรือแคมป์ แต่บ้านพักคนชราไม่ค่อยไปครับ (แสดงว่าแถวบางแคค่อนข้างปลอดภัย)

6. เจ้าฆาตกรบ้านี่ต้องตายยาก ใช้อะไรฆ่ามันไม่ตาย วิธีเดียวที่จะสยบมันได้คือไม่ไปดูหนังเรื่องนั้น (พอมันเจ๊งจะได้เลิกสร้าง รับรองมันตายสนิท) และอาวุธที่ใช้ต้องสร้างความขนหัวลุกได้ พวกมีด เลื่อย อะไรก็ได้ที่โหดๆ (ก็เคยเห็นแกถือไอติมไล่จิ้มใครไหมล่ะครับ เน้อะ)




ทำไมมันถึงฮิต?


ถ้ามองแบบเผินๆ ที่มันฮิตก็เนื่องจากคนดูชอบรู้เรื่องน่ากลัวๆ เสมอล่ะครับ เรื่องตื่นเต้นชวนขนลุกแบบนี้จ่ายเงินนิดหน่อยไปแลกประสบการณ์เฉียดตายก็ไม่เลวเหมือนกัน ไม่ต้องไปโดนไล่เชือดเองอีกด้วย

แต่หากมองให้ลึกก็อยากชวนสังเกตนะครับ หนังฆ่าเชือดสับมักมีที่มาจากเมืองมะกัน ซึ่งบ้านเมืองเขานี่มีตำนานสยองอยู่แทบทุกเมือง (Urban Legends) บางทีก็เล่าว่าหากออกนอกบ้านไปชิงสุกก่อนห่ามจะมีฆาตกรมือตะขอไล่ฆ่าอะไรเช่นนี้ ซึ่งมันก็เป็นกุศโลบายกันไม่ให้เด็กๆ ออกไปทำอะไรห่ามๆ นอกบ้าน เพราะมันอันตรายครับ เหมือนบ้านเราก็มีการขู่เด็กว่าเล่นซ่อนหาตอนค่ำแล้วผีจะลักไป ส่วนหนึ่งก็มาจากไม่อยากให้ไปเล่นซ่อนหาตอนดึกๆ เพราะมันไม่ปลอดภัยนั่นเอง

แต่เด็กอเมริกันๆ ที่โดนขู่ ส่วนมากจะฝังใจนะครับ อีกทั้งฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer) ก็มีอยู่จริงในอเมริกา เช่น ฆาตกรจักรราศี (ดูเพิ่มเติมจากหนัง Zodiac นะครับ) หรือ ฆาตกรโหดที่แม่น้ำกรีนริเวอร์ ซึ่งพวกนี้ก่อคดีไว้แล้วตำรวจก็จับไม่ได้ด้วย

ทีนี้พอวัยรุ่นเจอทั้งตำนานทั้งขู่หลอกๆ ปนเข้ากับข่าวจริงๆ ทำให้พวกเขามักจะตื่นเต้นและผูกพัน (แบบหลอนๆ) กับเรื่องราวฆาตกรโหด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับที่พอมีหนังแบบนี้โผล่มาทีไร วัยรุ่นนี่แหละจะตามไปดูกันเยอะ เพราะเรื่องพวกนี้มันฝังหัวมาแต่ไหนแต่ไรไงครับ บ้านเราก็อาจไม่เข้าใจ ว่าไอ้หนังเชือดแบบนี้เมืองนอกบอกกันนักหนาว่าน่ากลัวๆ แต่พอเราดูก็ไม่เห็นจะตื่นเต้นตรงไหนเลย นั่นก็เพราะพื้นเพชีวิตและการหล่อหลอมจากสิ่งแวดล้อมมันต่างกันน่ะครับ บ้านเราไม่ได้สอนให้กลัวฆาตกรต่อเนื่อง (และบ้านเราก็แทบไม่มีด้วย) แต่บ้านเขาเจอขู่ด้วย เจอของจริงด้วย เลยทำให้หนังแนวเชือดได้รับความสนใจจนปัจจุบัน เข้าใจนะครับ เจตนาหลักที่คนทำน่ะไม่ได้ให้เราดูหรอก เขาตั้งใจหลอกตังค์จากวัยรุ่นเมืองมะกันต่างหาก

จริงๆ อยากร่ายยาวกว่านี้นะครับ เพราะตำนานที่มาการสร้างหนังชุดสยองแต่ละเรื่องก็มีที่น่าสนใจเยอะ แต่เอาไว้มีโอกาสหนังพวกนั้นมีภาคต่อหรือมีคนรีเมก ผมค่อยเอาตำนานสยองมาเล่าเป็นชุดๆ เลยดีกว่า (ที่แน่ๆ Friday the 13th ผมก็จองพื้นที่ล่วงหน้าในการ Retro ไว้เลยครับ ฉายเมื่อไร เล่าแน่ๆ)

ส่วนตอนนี้รู้จักหนังเชือดกันพอหอมปากหอมคอนะครับ แต่อย่างไรก็ดี ดูแล้วคิดให้ดีนะครับ การกระทำโหดเหี้ยมขนาดต้องฆ่าแกงนั้นไม่ใช่อะไรที่น่าข้องแวะเลยแม้แต่น้อย พ่อแม่ผู้ปกครองที่พาบุตรหลานเข้าไปดูหนังแบบนี้กรุณาชี้แจงสอนให้พวกเขาเข้าใจอะไรควรไม่ควรด้วยนะครับ

ดูหนังสยองน่ะเพื่อให้ตระหนักว่าการฆ่าทำร้ายกันเป็นสิ่งน่ากลัวที่ไม่ควรกระทำ สอนลูกหลานแบบนี้ดีกว่าครับ




Create Date : 06 พฤษภาคม 2554
Last Update : 6 พฤษภาคม 2554 10:41:11 น. 3 comments
Counter : 4247 Pageviews.

 
สุดยอดจบได้ดีครับพี่ จากเริ่มต้นสยอง แต่จบได้มีความหวัง แบบ สปีลเบิร์ก

แรกๆผมไม่ค่อยชอบดฟุหนังแบบนี้เท่าไหร่นะครับ ดูแล้วมันรู้สึกเถื่อนจิต ไงไม่รู้

แต่ฟังพี่เล่าแล้ว ผมอยากไปหาระดับคลาสสิค แบบ physo halloween ดู

จัง


โดย: คนรักหนัง007 IP: 58.8.225.228 วันที่: 12 พฤษภาคม 2554 เวลา:21:23:50 น.  

 
เหมือนบทความนี่คุณหมื่นทิพจะเคยเขียนลงนิตยสาร Movie Time ใช่ไหมครับ? เหมือนว่าผมเคยอ่านอยู่


โดย: i_am IP: 14.207.158.60 วันที่: 17 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:21:44 น.  

 
ถูกต้องครับผม เอามาจาก Movie Time ที่ผมเคยเขียนลงน่ะครับ แหม ดีใจจังมีคนเคยได้อ่านด้วย


โดย: หมื่นทิพ (เทพบุตรตบะแตก!! ) วันที่: 19 พฤษภาคม 2554 เวลา:9:42:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.