Forex คืออะไร และนิยมเทรดคู่ไหนบ้าง

Forex ย่อมาจากคำว่า "Foreign Exchange" ซึ่งแปลว่า "การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ" หรือ "ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ" เป็นตลาดที่ซื้อขายเงินตราต่างประเทศกัน และเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีการซื้อขายกันรวมถึงกิจกรรมการซื้อขายแบบนานาชนิด เช่น การซื้อขายเงินตราของประเทศต่าง ๆ กัน

Forex มีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงตลอด 5 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์ถึงศุกร์) เนื่องจากต่างกับตลาดหุ้นที่มีเวลาทำการแน่นอน การซื้อขายในตลาด Forex สามารถทำได้โดยใช้อินเทอร์เน็ตและผ่านโบรกเกอร์ทางการเงินที่เชื่อถือได้ ซึ่งใครก็สามารถเข้าร่วมการซื้อขายในตลาดนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือนักลงทุนมืออาชีพ

การซื้อขายในตลาด Forex เน้นการแลกเปลี่ยนอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินตราต่างประเทศ เช่น การซื้อเงินตราหนึ่งประเทศและขายเงินตราอีกประเทศหนึ่ง เพื่อวางเดิมพันในการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ส่วนใหญ่จะใช้การวิเคราะห์เทคนิคและเทรดด้วยกฎระเบียบที่มีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในตลาดนี้ การลงทุนในตลาด Forex มีความเสี่ยงสูงและควรให้ความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกรรมและการบริหารความเสี่ยงอย่างดีก่อนที่จะลงทุนในตลาดนี้

ความนิยมใน Forex ส่วนใหญ่เทรดคู่เงินอะไร

ความนิยมในการเทรด Forex ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความสนใจและกลยุทธ์การเทรดของนักลงทุนแต่ละคน คู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดและเป็นที่นิยมในตลาด Forex รวมถึงความนิยมในระยะเวลาที่แตกต่างกันอาจมีคู่เงินที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา นี่คือบางคู่เงินที่พบบ่อยในการเทรด Forex:

  1. EUR/USD (Euro/US Dollar): คู่เงินนี้เป็นคู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาด Forex เนื่องจากครอบคลุมสองในสากลสำคัญ คู่เงินนี้มักถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์และการเทรดโดยมาก

  2. USD/JPY (US Dollar/Japanese Yen): คู่เงินนี้เป็นคู่เงินที่มีความนิยมเนื่องจากเป็นคู่เงินที่มีความเสถียรสูงและมีความเป็นที่นิยมในการเทรดเนื้อหา

  3. GBP/USD (British Pound/US Dollar): คู่เงินนี้มักถูกนำมาใช้ในการเทรดด้วยเหตุผลการเศรษฐกิจและเหตุการณ์ทางการเมืองในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา

  4. AUD/USD (Australian Dollar/US Dollar) และ NZD/USD (New Zealand Dollar/US Dollar): คู่เงินเหล่านี้มักถูกนำมาใช้ในการเทรดโดยมากในเวลาที่มีข้อมูลเศรษฐกิจของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ออกมา

นอกจากนี้ยังมีคู่เงินอื่น ๆ ที่มีความนิยมตามสถานการณ์และเหตุการณ์ทางโลก เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY, และอื่น ๆ โดยนักลงทุนจะเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดและคาดการณ์ของตลาดในขณะนั้นเพื่อทำกำไรในการซื้อขาย Forex




 

Create Date : 06 กันยายน 2566    
Last Update : 6 กันยายน 2566 22:58:42 น.
Counter : 314 Pageviews.  

Final Manufacturing PMI คือ ค่าดัชนีอะไร

Final Manufacturing PMI (Purchasing Managers' Index) คือค่าดัชนีที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกลุ่มผู้จัดการซื้อในภาคการผลิตของประเทศหรือภูมิภาคเศรษฐกิจในระดับสูงสุด ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อติดตามและวัดการเปลี่ยนแปลงในสภาวะทางเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมการผลิต

Final Manufacturing PMI สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท โดยปกติแล้วมีการประเมินในรูปแบบดัชนี ค่าดัชนี PMI ที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงการขยายในกิจกรรมการผลิตในภาคการผลิต ในขณะที่ค่าดัชนี PMI ที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ถึงการย่อยลงในกิจกรรมการผลิต สำหรับค่าดัชนี PMI ที่ให้ค่าเป็น 50 หมายถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากในกิจกรรมการผลิต ค่าดัชนี PMI นี้ช่วยให้นักลงทุนและนักวิเคราะห์เศรษฐกิจวิเคราะห์สภาพของตลาดและเศรษฐกิจต่าง ๆ และช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตและการผลิตในระดับทางธุรกิจได้ดีขึ้น

"Final Manufacturing PMI" หมายถึงค่า PMI ที่ถูกประกาศในช่วงสิ้นเดือนหรือเร็วกว่านั้นหลังจากการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์จากผู้จัดการซื้อในภาคการผลิต โดยมักจะมีค่านี้เมื่อช่วงเวลาการสำรวจและวิเคราะห์ครั้งสุดท้ายของเดือน ดังนั้น "Final Manufacturing PMI" สามารถใช้เพื่อประมาณความสุขสัมพันธ์ของภาคการผลิตในตัวประเทศหรือภูมิภาคเศรษฐกิจในรอบปัจจุบันหรือหลังจากสิ้นเดือนนั้น ค่าดัชนี PMI นี้มีผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนและการบริหารจัดการธุรกิจในระดับบริษัทและอุตสาหกรรมการผลิตได้มาก ๆ




 

Create Date : 01 กันยายน 2566    
Last Update : 1 กันยายน 2566 20:55:50 น.
Counter : 321 Pageviews.  

ทฤษฎี Risk of Ruin คืออะไร

ทฤษฎี Risk of Ruin เป็นแนวคิดหนึ่งในการจัดการความเสี่ยงที่ใช้ในการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงที่ผู้เล่นหรือนักลงทุนอาจเผชิญหน้าในการลงทุนหรือการเล่นเกมต่าง ๆ ซึ่งมักนำมาใช้ในบริบททางการเงิน, การลงทุน ทฤษฎีนี้ช่วยให้ผู้เล่นหรือนักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงของการสูญเสียเงินทุนในกรณีที่เขาหรือเธอต้องพบกับความโชคร้ายหรือสภาวะที่ไม่เอื้อมความสำเร็จ.

การคำนวณ Risk of Ruin อาจเริ่มต้นโดยระบุปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการลงทุน ซึ่งรวมถึง:

  1. อัตราการชนะ: คือความน่าจะเป็นที่ผู้เล่นหรือนักลงทุนจะชนะในแต่ละครั้งที่ลงทุนหรือเล่นเกม.

  2. อัตราการสูญเสีย: คือความน่าจะเป็นที่ผู้เล่นหรือนักลงทุนจะสูญเสียเงินในแต่ละครั้งที่ลงทุนหรือเล่นเกม.

  3. ขนาดเงินทุนเริ่มต้น: คือจำนวนเงินที่ผู้เล่นหรือนักลงทุนมีเมื่อเริ่มต้นกิจกรรม.

Risk of Ruin จะถูกคำนวณโดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์และสถิติที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยดังกล่าวเพื่อหาความน่าจะเป็นที่เราจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดหรือถูกลงโทษในการลงทุนหรือการพนัน. การใช้ทฤษฎี Risk of Ruin ช่วยให้ผู้เล่นหรือนักลงทุนสามารถวางแผนการจัดการเงินและการเล่นเกมหรือการลงทุนให้เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการสูญเสียทุนหรือล้มเหลวในระยะยาว.

Risk of Ruin เป็นแนวคิดที่มีข้อดีหลายประการในบริบททางการเงินและการจัดการความเสี่ยง ซึ่งรวมถึง:

  1. การวางแผนการจัดการเงิน: Risk of Ruin ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการจัดการเงินในการลงทุนหรือการพนันของคุณอย่างมีระบบและมีหลักการ. มันช่วยคุณกำหนดขนาดของการลงทุนที่เหมาะสมและช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียทุนในระยะยาว

  2. ควบคุมความเสี่ยง: การทราบค่า Risk of Ruin ช่วยคุณรับรู้ถึงระดับความเสี่ยงที่คุณกำลังเผชิญหน้าอยู่ นี่ช่วยให้คุณสามารถปรับเปลี่ยนการลงทุนหรือการพนันของคุณในกรณีที่คุณพบความเสี่ยงที่สูงเกินไป

  3. การลดความเสี่ยงในการสูญเสีย: การคำนวณ Risk of Ruin ช่วยคุณหลีกเลี่ยงการลงทุนที่อาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมดหรือเสี่ยงการล้มเหลวในการพนัน. การปรับแผนการเล่นเกมหรือการลงทุนของคุณอาจช่วยลดความเสี่ยงนี้

  4. การตัดสินใจที่มีระบบ: Risk of Ruin ช่วยให้คุณตัดสินใจเชิงระบบและมีหลักการ ไม่ต้องเสี่ยงพนันหรือลงทุนโดยไม่มีข้อมูลหรือการวิเคราะห์ที่เพียงพอ

  5. การเพิ่มโอกาสในระยะยาว: การปฏิบัติตามหลักการ Risk of Ruin ช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณสามารถเล่นเกมหรือลงทุนในระยะยาวโดยไม่สูญเสียทุนหรือล้มเหลว. การลดความเสี่ยงในการสูญเสียช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาเงินทุนและเพิ่มกำไรในระยะยาว

  6. การใช้สถิติและคณิตศาสตร์: Risk of Ruin ใช้ความรู้ในสถิติและคณิตศาสตร์เพื่อการวิเคราะห์ ซึ่งช่วยให้คุณมีข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือเมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเงินและการลงทุน

  7. การเสริมสร้างความมั่นคง: การคำนวณ Risk of Ruin ช่วยสร้างความมั่นคงในการเล่นเกมหรือการลงทุน โดยคุณรู้ว่าคุณมีแผนการจัดการเงินที่สามารถช่วยคุณป้องกันความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน




 

Create Date : 30 สิงหาคม 2566    
Last Update : 30 สิงหาคม 2566 9:13:14 น.
Counter : 425 Pageviews.  

กลยุทธการเทรดด้วย 3 EMA Strategy

"3 EMA strategy" เป็น กลยุทธ์การซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ทางการเงินโดยใช้เส้นค่าเฉลี่ยเลขคณิต (Exponential Moving Average, EMA) 3 เส้นเป็นตัวชี้วัดหลักในการตัดสินใจเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ กลยุทธ์เชิงเทคนิคแบบนี้มักถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อช่วยในการตัดสินใจในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว เช่น ตลาดหุ้นหรือตลาดแปลงสกุลเงิน

กลยุทธ์ 3 EMA สามารถสรุปได้ดังนี้:

  1. 3 EMA Lines: กลยุทธ์นี้ใช้เส้น EMA 3 เส้น โดยมีค่าเฉลี่ยเลขคณิตที่แตกต่างกัน: EMA สำหรับระยะเวลาสั้น ระยะเวลากลาง และระยะเวลายาว ส่วนที่พบบ่อยคือ EMA 5, EMA 10, และ EMA 20 หรือ EMA 10, EMA 20, และ EMA 50 ซึ่งเป็นต้น

  2. Crossovers: การตัดกันของเส้น EMA สามารถใช้เป็นสัญญาณในการซื้อหรือขาย โดยเมื่อ EMA ระยะสั้นข้ามขึ้นเหนือ EMA ระยะยาว อาจถือเป็นสัญญาณซื้อ ในขณะที่เมื่อ EMA ระยะสั้นข้ามลงใต้ EMA ระยะยาว อาจถือเป็นสัญญาณขาย สัญญาณเหล่านี้เรียกว่า "Crossovers."

  3. Trend Confirmation: เมื่อสามเส้น EMA มีการจัดเรียงตามลำดับแนวนอน ตัวชี้วัดนี้สามารถช่วยยืนยันแนวโน้มของตลาดว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง ถ้า EMA ระยะสั้นอยู่เหนือ EMA ระยะกลางและ EMA ระยะยาว อาจแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น และขาลง

  4. คลื่นของราคา: หากราคาเข้าสู่ขณะที่ EMA ระยะสั้นและระยะกลางกำลังร่วงลง แต่ยังคงอยู่เหนือ EMA ระยะยาว อาจเป็นสัญญาณแสดงถึงแนวโน้มการกลับขึ้น

สำหรับการใช้กลยุทธ์ 3 EMA Strategy หรือกลยุทธ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนหรือการซื้อขายสินทรัพย์ ควรทำการศึกษาและทดสอบกลยุทธ์ด้วยข้อมูลประวัติศาสตร์ก่อนใช้ในตลาดจริง เนื่องจากผลการลงทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามเงื่อนไขตลาดและสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2566    
Last Update : 28 สิงหาคม 2566 18:55:38 น.
Counter : 295 Pageviews.  

Drawdown (ในการลงทุน) คืออะไร

 "Drawdown" ในบริบทการลงทุนคือ การวัดความขาดทุนหรือการลดลงในมูลค่าของการลงทุนจากจุดสูงสุดของมูลค่าการลงทุนในอดีตไปยังจุดต่ำสุดที่มีในปัจจุบันหรือจุดสูงสุดในอนาคต นี่เป็นวิธีวัดความเสี่ยงในการลงทุนและการวัดผลประสิทธิภาพของการลงทุนในช่วงเวลาที่กำหนดไว้.

เมื่อพูดถึง Drawdown ควรรู้สองคำสำคัญ:

  1. Peak (จุดสูงสุด): นี่คือจุดที่มูลค่าการลงทุนสูงที่สุดในระหว่างช่วงเวลาที่คุณกำลังพิจารณา

  2. Trough (จุดต่ำสุด): นี่คือจุดที่มูลค่าการลงทุนต่ำที่สุดในระหว่างช่วงเวลาที่คุณกำลังพิจารณา

Drawdown คือการวัดระยะเวลาตั้งแต่จุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุดและบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าการลงทุนของคุณในช่วงเวลานั้น ในบริบทการลงทุนทางการเงิน Drawdown นี้อาจเกิดขึ้นเมื่อราคาหรือมูลค่าสินทรัพย์ลดลงจากระดับสูงสุด นักลงทุนนิยมใช้ค่า Drawdown เพื่อประเมินความเสี่ยงของการลงทุนและความคุ้มค่าของกองทุนหรือสินทรัพย์ที่ต่างกัน

ตัวอย่าง: คุณลงทุนในกองทุนรวมและมูลค่าการลงทุนของคุณเพิ่มขึ้นจาก $10,000 ในจุดสูงสุดถึง $12,000 ในช่วงที่มี Drawdown อยู่ที่ $11,000 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุด ในกรณีนี้ Drawdown คือ $1,000 (ค่า Peak คือ $12,000 ลบกับค่า Trough คือ $11,000) หรือเท่ากับ 8.33% (Drawdown รวมถึง $1,000 แบ่งด้วย Peak คือ $12,000) ความเสี่ยงที่คุณเผชิญอยู่ในระหว่างช่วงนี้คือการลดลงในมูลค่าการลงทุนเป็น $1,000 หรือ 8.33%.

Drawdown เป็นวิธีที่นักลงทุนใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของการลงทุนและตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนในอนาคตในกรณีที่มีความเสี่ยงต่ำลงทุนอาจเหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีระดับความเสี่ยงต่ำ ในขณะที่นักลงทุนที่ต้องการมากกว่านี้อาจจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงแต่มีโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2566    
Last Update : 26 สิงหาคม 2566 14:35:20 น.
Counter : 363 Pageviews.  

1  2  

สุดท้ายที่ปลายฟ้า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สุดท้ายที่ปลายฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.