ประวัติ ต้นกำเนิด การทำกิมจิ (Kimchi) และวิธีการทำ

กิมจิ (Kimchi) เป็นอาหารประจำและสัญลักษณ์ของประเทศเกาหลี มีประวัติและที่มาที่ยาวนานในวัฒนธรรมและอาหารของเกาหลี

ประวัติและต้นกำเนิดของกิมจิ:

  1. ต้นกำเนิด: กิมจิมีประวัติยาวนานกว่า 2000 ปี มันมีรากฐานในสมัยราชวงศ์ตองโคและราชวงศ์ตองโก กิมจิในสมัยนั้นนิยมใช้สมุทรสาครสะดวกเพื่อการหมัก หลังจากนั้นในสมัยราชวงศ์ชิลลา (Shilla) กิมจิกลายเป็นอาหารที่พัฒนามาและใช้ในสิ่งสำคัญของพิธีกรรมและเทศกาล

  2. การทำกิมจิ: การทำกิมจิเป็นกระบวนการหมักอาหาร โดยใช้ผักสดเป็นส่วนหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กะหล่ำปลี (napa cabbage) และผักอื่น ๆ อาจรวมถึงหัวไชโปโป (daikon radish) โดยหมักร่วมกับเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ เช่น พริกป่น กระเทียม น้ำปลา และเกลือ ในระยะเวลาที่ยาวนาน การหมักนี้ช่วยให้กิมจิมีรสชาติเปรี้ยว หวาน และเครื่องเทศ และกลิ่นหอมพริ้งเนื่องจากกระบวนการหมักนี้ทำให้แบคทีเรียและสปอร์ของสาหร่ายทะเลเป็นส่วนสำคัญในกิมจิ

  3. การใช้งาน: กิมจิเป็นอาหารที่สำคัญในการกินของชาวเกาหลี มันเป็นส่วนหนึ่งของอาหารหลักและส่วนข้าง สามารถรับประทานเป็นอาหารหลักหรือเสิร์ฟเป็นจานข้าง กิมจิมีหลายรสชาติและสูตรแตกต่างกัน และมีความเผ็ดหรือไม่เผ็ด ขึ้นอยู่กับสูตรและวัตถุดิบที่ใช้

  4. ความสำคัญ: กิมจิมีความสำคัญมากในวัฒนธรรมและอาหารของเกาหลี มันมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมและเทศกาล และมักปรากฏอยู่ในโต๊ะอาหารของครอบครัวและสาธารณะที่ทุกโอกาส เกาหลีมีหลายสูตรกิมจิที่นิยมและมีชื่อเสียง เช่น กิมจิชวาน (Kimchi Chawon) และกิมจิตราไรตรง (Tongin Market Kimchi) ซึ่งมีรสชาติและสูตรที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่และสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศเกาหลี

นอกจากนี้ กิมจิยังมีคุณค่าทางสุขภาพเนื่องจากมีโปรไบโอติกและโปรไบโอติกต่อยอดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ กิมจิมีการหมักธรรมชาติที่ช่วยสร้างแบคทีเรียดีที่สุดในกระเพาะอาหารและช่วยให้กระเพาะอาหารสามารถย่อยอาหารได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ กิมจิเป็นอาหารที่เป็นประจำและมีความสำคัญในวัฒนธรรมและสุขภาพของคนเกาหลี

การทำกิมจิไม่ยากมาก แต่มีขั้นตอนและกระบวนการที่ต้องทำให้ถูกต้องเพื่อให้ได้กิมจิที่อร่อยและปราณีต

ขั้นตอนพื้นฐานในการทำกิมจิ:

  1. เตรียมวัตถุดิบ: เริ่มต้นด้วยการเลือกผักสดที่จะใช้ในกิมจิ เผาะผักออกและล้างให้สะอาด ส่วนใหญ่ใช้กะหล่ำปลี (napa cabbage) และหัวไชโปโป (daikon radish) แต่สามารถใช้ผักอื่น ๆ ได้ตามความชอบ

  2. เตรียมส่วนผสม: ผสมเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ เช่น พริกป่น กระเทียม น้ำปลา น้ำผึ้ง และเกลือ ตามสูตรที่คุณต้องการ ส่วนผสมนี้จะให้กิมจิมีรสชาติที่คุณชื่นชอบ

  3. หมักผัก: นำผักที่เตรียมไว้มาหมักในส่วนผสมที่คุณทำไว้ ต้องให้เครื่องปรุงรสคลุกเครื่องเทศทาทั่วผัก แล้วให้ผักเข้าหมักในภาชนะที่สามารถปิดปิดอากาศได้ เช่น โถหรือถังหมัก แล้วนำใส่ที่เย็น เมื่อหมักให้เวลานานพอ ปกติจะใช้เวลาหมักประมาณ 1-5 วัน หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความชื้น

  4. เก็บรักษา: หลังจากที่กิมจิหมักเสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณสามารถเก็บรักษากิมจิในตู้เย็นเป็นเวลานาน กิมจิจะพัฒนารสชาติและความเผ็ดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยคุณสามารถรับประทานกิมจิเมื่อคุณพร้อมที่จะทาน

  5. การบริโภค: กิมจิสามารถรับประทานเป็นอาหารหรือเสิร์ฟร่วมกับอาหารหลักของคุณ มันอร่อยกับข้าวสวย นานาชนิดของส้มตำและเครื่องอื่น ๆ ตามความชอบของคุณ

ข้อสำคัญคือการระมัดระวังเรื่องความสะอาดและการปรับปรุงสูตรให้ถูกต้องตามรสชาติที่คุณต้องการ เริ่มต้นด้วยการทำกิมจิแบบพื้นฐาน แล้วคุณสามารถปรับปรุงและสร้างสูตรที่เป็นของคุณเองได้ตามความชอบของคุณ




 

Create Date : 15 กันยายน 2566    
Last Update : 15 กันยายน 2566 6:17:58 น.
Counter : 342 Pageviews.  

ไทเทเนียม (Titatium) คืออะไร

ไทเทเนียม (Titanium) ได้รับการค้นพบในสถานที่ต่าง ๆ ของโลก แต่มีประวัติการค้นพบที่สำคัญที่สุดในเฉพาะสมัยทศวรรษที่ 1800 (18th century) โดยนักค้นพบคนหนึ่งชื่อว่า William Gregor ที่เป็นชีวิตอยู่ในอังกฤษ โดยเขาค้นพบไทเทเนียมในเร่งธรรมชาติในตัวอย่างของมินแร่ ซึ่งเป็นแร่ที่มีสัญลักษณ์เคมี TiSiO3 และเรียกได้ว่านักเคมีชื่อ Gregor เป็นผู้ค้นพบแร่นี้เป็นคนแรกในปี พ.ศ. 2230 หรือ 1791 ในทางประวัติศาสตร์ไทเทเนียมเริ่มมีการศึกษาและใช้งานก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 และพัฒนาการใช้งานต่อมาในศตวรรษที่ 20 ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การผลิตเครื่องบิน ยานพาหนะ และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องการวัสดุที่มีความแข็งแรงและคงทนต่อเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์และอุตสาหกรรมที่ต้องการวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นการทนต่อแสงแดดและความทนทานต่อสารเคมีต่าง ๆ ไทเทเนียมได้รับความสนใจและใช้งานอย่างแพร่หลายในหลายแขนงงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั่วโลก

ไทเทเนียม (Titatium) เป็นธาตุที่มีสัญลักษณ์เคมี Ti และมีตัวอย่างเลขอะตอม 22 ในตารางธาตุ มีความหนาแน่นสูงและเป็นโลหะที่มีความแข็งแรงและทนทานต่อการกัดกร่อน โดยมีสีเทาและเป็นเรือนแสง นิยมใช้ในหลายองค์กระบบ เช่น ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องบิน ยานพาหนะ บรรจุภัณฑ์อาหาร อุปกรณ์ทางการแพทย์ และการก่อสร้างเครื่องจักร

นอกจากนี้ ไทเทเนียมยังมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อความร้อนและกาบอกซ์ไซด์ มีความเป็นตัวนำทางไฟฟ้าและมีความคงทนต่อแรงกระแทก ซึ่งทำให้มีการนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องยนต์ การผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักร และในเทคโนโลยีสูงอีกด้วย

ไทเทเนียม (Titanium) เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำให้มีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรมและการใช้งานต่าง ๆ ดังนี้:

  1. เครื่องบินและยานพาหนะ: ไทเทเนียมมีน้ำหนักเบาและความแข็งแรงทนทาน ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตโครงสร้างของเครื่องบินและยานพาหนะ การลดน้ำหนักในโครงสร้างช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและเพิ่มประสิทธิภาพของยานพาหนะ

  2. การแพทย์: ไทเทเนียมมีความทนทานต่อสารเคมีและการกัดกร่อน ทำให้เหมาะสำหรับการใช้ในอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การทำฟันเทียม การผลิตอวัยวะเทียม และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่น ๆ

  3. อุตสาหกรรมที่ต้องการความทนทานต่อความร้อน: ไทเทเนียมทนต่อความร้อนได้ดีและมีจุดหลอมต้นที่สูง ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมที่ต้องการวัสดุที่ทนความร้อน เช่น การผลิตเครื่องจักรที่ต้องทนต่ออุณหภูมิสูง

  4. การใช้งานในสภาวะที่ต้องการความคงทน: ไทเทเนียมทนทานต่อการกัดกร่อนและความกดที่สูง ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาวะที่มีความต้องการความคงทน เช่น ในอุตสาหกรรมเครื่องจักร

  5. อุตสาหกรรมการก่อสร้าง: ไทเทเนียมมักถูกใช้เป็นวัสดุสำหรับการก่อสร้างที่ต้องการความแข็งแรงและคงทนต่อสภาพอากาศ นิยมใช้ในโครงสร้างอาคาร สะพาน และโครงการสถาปัตยกรรมอื่น ๆ

  6. อุตสาหกรรมอาหาร: ไทเทเนียมมีความทนทานต่อสารเคมีในอาหารและไม่มีสารเปลือกตกตะกอน ทำให้เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตอุปกรณ์บรรจุภัณฑ์อาหารและอุปกรณ์ครัว

  7. การใช้งานในสนามเชิงวิทยาศาสตร์: ไทเทเนียมเป็นวัสดุที่มีความเคลื่อนไหวต่ำในการสร้างแม่เหล็กและอุปกรณ์ในสนามเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น การสร้างห้องทดลองแม่เหล็ก

  8. อุตสาหกรรมนานาชาติ: ไทเทเนียมมีความสำคัญในอุตสาหกรรมนานาชาติและเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตและการใช้งานในหลายภาคต่าง ๆ ของโลก

สรุปคือ ไทเทเนียมมีคุณสมบัติที่หลากหลายที่ทำให้มีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรมและในเทคโนโลยีต่าง ๆ และเป็นวัสดุที่มีความหลากหลายการใช้งานอย่างแพร่หลายในวงกว้างของภาคต่าง ๆ ของสังคม




 

Create Date : 13 กันยายน 2566    
Last Update : 13 กันยายน 2566 10:47:13 น.
Counter : 225 Pageviews.  

เพลง "ช้าง ช้าง ช้าง" (แต่งเองให้เด็กฟัง)

เพลง "ช้าง ช้าง ช้าง" เป็นเพลงสำหรับเด็กที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับช้าง และมีเนื้อเพลงง่าย ๆ สำหรับเด็กเรียนร้องเพลง

เนื้อเพลง:

ช้าง ช้าง ช้าง ยังอยู่ในป่า ใหญ่โตและแข็งแรง มีงานมากมาย

เดินในป่า กินใบไม้ ช้างตัวนี้ น่ารักมากเลย

ช้าง ช้าง ช้าง ยังอยู่ในป่า ใหญ่โตและแข็งแรง มีงานมากมาย


เพลง "ช้าง ช้าง ช้าง" นี้เป็นเพลงที่ใช้เพื่อสอนเด็กเรียนรู้เกี่ยวกับช้างและธรรมชาติในป่า มีเนื้อหาที่เหมาะสำหรับวัยเรียนรู้และบันทึกข้อมูลเรื่องช้างและสิ่งแวดล้อมของมันในแบบที่สนุกสนานสำหรับเด็ก ๆ ในการเรียนรู้เรื่องสิ่งรอบข้ามเขตที่มีช้างอาศัยอยู่ด้วย




 

Create Date : 06 กันยายน 2566    
Last Update : 6 กันยายน 2566 9:14:21 น.
Counter : 251 Pageviews.  

ประวัติชาดำเย็น และวิธีการทำ

ชาดำเย็น (Iced Black Tea) คือชาดำที่ถูกชงและใส่น้ำแข็งให้เป็นชาเย็น ซึ่งมักจะเป็นเครื่องดื่มร้อนที่ถูกทำให้เย็นขึ้นด้วยน้ำแข็งหรือแช่ในตู้เย็นเพื่อให้เย็นสดชื่นก่อนดื่ม ชาดำเย็นมีลักษณะเป็นน้ำชาสีดำและมีรสชาติเข้มข้นและติดปาก มักจะไม่มีน้ำตาลเพิ่มเติมหรือนมข้นหวาน (แต่คุณสามารถเพิ่มน้ำตาลหรือนมข้นหวานตามความชอบของคุณ)

ชาดำเย็นเป็นเครื่องดื่มที่สามารถค้นพบได้ในหลายที่ทั่วโลกและมักถูกบริโภคในช่วงฤดูร้อนเพื่อกระตุ้นร่างกายให้สดชื่นและรับประทานในช่วงอากาศร้อน ชาดำมีสารแอนติออกซิแดนท์และคาเฟอีนที่มีประโยชน์ในการให้พลังงานและช่วยกระตุ้นให้ไม่ง่วง

นอกจากนี้ ชาดำเย็นยังสามารถปรับปรุงรสชาติโดยการเพิ่มน้ำมะนาวหรือน้ำผึ้งในบางกรณีเพื่อเพิ่มความหวานหรือความสดชื่นในรสชาติ ชาดำเย็นเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมและสดชื่นในหลายส่วนของโลกในช่วงฤดูร้อน

การทำชาดำเย็นเป็นเรื่องง่ายและมีขั้นตอนพื้นฐานที่คุณสามารถทำได้ในบ้านโดยใช้ถุงชาตามนี้คือวิธีทำชาดำเย็น:

วัตถุดิบ:

  1. ชาดำ (ชาใบเขียวหรือชาดำหมักเลือกได้)
  2. น้ำร้อน
  3. น้ำแข็ง
  4. น้ำตาล (ถ้าต้องการหวาน)

ขั้นตอนที่ 1: ตั้งระดับความความต้องการความเข้มข้น

  • ใส่ใบชาลงในถุงชา ปริมาณที่คุณใช้ขึ้นอยู่กับความความชอบส่วนตัวและขนาดของแก้ว

ขั้นตอนที่ 2: ผสมชากับน้ำร้อน

  • ใส่ชาลงในถ้วยแก้วหรือหม้อต้ม
  • เทน้ำร้อนที่ใส่ในถ้วยหรือหม้อต้ม
  • ค้นให้เข้ากันประมาณ 3-5 นาที (หรือตามความเข้มข้นที่คุณต้องการ)

ขั้นตอนที่ 3: กรองชา

  • หลังจากการชงชาเสร็จสิ้น นำชาออกจากถ้วยหรือหม้อต้มโดยใช้ตัวกรองชาหรือกรองผ้า
  • เทน้ำชาที่คุณได้มาใส่ถ้วยแก้วที่มีน้ำแข็ง

ขั้นตอนที่ 4: เพิ่มน้ำแข็งและน้ำตาล (ถ้าต้องการ)

  • ใส่น้ำแข็งลงในชาที่คุณสร้าง
  • หากคุณต้องการชาที่หวาน ใส่น้ำตาลลงในชาและคนให้เข้ากันตามความชอบ

ขั้นตอนที่ 5: เสริฟชา

  • เสิร์ฟชาดำเย็นที่คุณทำขึ้นและเพลิดเพลินกับชาที่มีรสชาติเยี่ยม

แนะนำให้ปรับปรุงสูตรตามรสชาติและความชอบส่วนตัวของคุณ เช่น การเพิ่มนมข้นหวานหรือเครื่องปรุงรสอื่น ๆ เพื่อทำให้ชาดำเย็นของคุณมีรสชาติที่เข้ากันกับรสส่วนตัวของคุณมากยิ่งขึ้น




 

Create Date : 03 กันยายน 2566    
Last Update : 3 กันยายน 2566 9:01:51 น.
Counter : 431 Pageviews.  

แก้วทำมาจากอะไร

แก้วทำจากวัสดุหลากหลายชนิดตามประโยชน์และการใช้งานที่ต้องการ โดยวัสดุที่ใช้ในการทำแก้วสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทดังนี้:

  1. แก้วบานด์กรีก (Glass): แก้วกรีกทำจากโครงสร้างของเจลซิลิกา, ซึ่งประกอบด้วยกระจกที่ผสมกับสารอื่น ๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น แก้วบานด์กรีกปกติที่ใช้ในเครื่องดื่มและเครื่องครัวทำจากแก้วโซดา (soda-lime glass) ที่ผสมแอลกอฮอล์เพื่อให้มีความแข็งแรงมากขึ้น

  2. แก้วคริสตัล (Crystal): แก้วคริสตัลมีความสวยงามและมีคุณสมบัติที่ทำให้เสียงเกิดจากการชนกันของแก้วมีความหนาแน่นสูง ส่วนใหญ่ทำจากแก้วโซดาคริสตัล (soda-lime crystal) หรือแก้วแคดเลียมคริสตัล (lead crystal) ซึ่งมีการเติมสารเลดเพิ่มเข้าไปในโครงสร้างของแก้ว

  3. แก้วพลาสติก (Plastic): แก้วพลาสติกทำจากพลาสติกหรือเรซิล มีน้ำหนักเบาและทนทานต่อการแตกหัก มักใช้ในการทำแก้วพับหรือแก้วพลาสติกใส่น้ำประปา

  4. แก้วโลหะ (Metal): แก้วโลหะเป็นที่นิยมในรูปแบบของแก้วเตาและแก้วใส่เครื่องดื่ม มักใช้แก้วเรือนเงินหรือเรือนทองที่ทำจากโลหะต่าง ๆ

  5. แก้วขัดมากมาย: นอกเหนือจากวัสดุที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีแก้วอื่น ๆ ที่ทำจากวัสดุหลายชนิด เช่น แก้วไฟเบอร์การ์บอน (Fiber glass) ที่ใช้ในแก้วรถยนต์ แก้วหินแก้ว (Jade glass) ที่ใช้ในเครื่องประดับ และอีกมากมาย

การเลือกใช้วัสดุที่ทำแก้วขึ้นอยู่กับการใช้งานและความต้องการของผู้ผลิตและผู้ใช้งาน แต่ละวัสดุมีคุณสมบัติและข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน การบำรุงรักษาและการใช้งานอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาแก้วให้ใช้งานได้นานและปลอดภัย




 

Create Date : 20 สิงหาคม 2566    
Last Update : 20 สิงหาคม 2566 14:40:10 น.
Counter : 348 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

สุดท้ายที่ปลายฟ้า
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add สุดท้ายที่ปลายฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.