Whitejass417'blog ยินดีต้อนรับค่ะ
"ให้รักกันซักเพียงไหน สุดท้ายก็คงจบด้วยการเลิกลา...จะร้องไห้อีกกี่ปี ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่าขังใจเราไว้กับทุกข์เพียงลำพัง เอาเวลาที่สูญเปล่า ไปทำอะไรที่มีประโยชน์
ต่อมวลมนุษย์ น่าจะดีกว่า"
|
|||||||||
พจนานุกวน
 เรียนลัดหัดเขียนอ่าน
วันนี้เรามาทบทวนกันว่า ภาษาอังกฤษนั้นมีหัวใจหลักอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด คือ
1. คำนาม = Noun = นาวน. 2. คำสรรพนาม = Pronoun = โพรนาวน. 3. คำกริยา = Verb = เวิบ 4. คำวิเศษณ์ = Adverb = แอดเวิบ 5. คำคุณศัพท์ = Adjective = แอดเจคทีฟ 6. คำบุพบท = Preposition = เพรโพซิชึน 7. คำสันธาน = Conjunction = คอนจังชึน 8. คำอุทาน = Interjection = อินเทอเจคชึน ก่อนอื่น เรามาเรียนเรื่องคำนามให้ลึกซึ้งกันเลยดีกว่า คำนาม คือ ชื่อที่เราเรียก คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ตัวอย่างคำนาม คน = boy บอย เด็กผู้ชาย girl เกิล เด็กผู้หญิง teacher ทีชเชอะ ครู สัตว์ dog ดอก สุนัข pig พิค หมู สิ่งของ pen เพน ปากกา สถานที่ club คลับ สโมสร คุณลักษณะ สภาวะ death เดธ ความตาย born บอน การเกิด คำนามยังแบ่งได้อีก 8 ชนิด 1. สามานยนาม Common noun 2. วิสามานยนาม Proper noun 3. สมุหนาม Collective noun 4. วัตถุนาม Material noun 5. อาการนาม Abstract noun 6. สมมูลยนาม Noun Equivalent 7. นามผสม Compound noun 8. นามแสดงความเป็นผู้กระทำ Agent noun เรามาลองดูตัวอย่างกันดีกว่า จะได้เข้าใจง่ายมากขึ้น 1. สามารนยนาม Common noun เป็นชื่อคนสัตว์สิ่งของ หรือสถานที่ ที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร เช่น A fish is swimming. ปลาตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำ A boy is playing in a room. เด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังเล่นอยู่ในห้องหนึ่ง ทั้งสองประโยค เป็นสามานยนาม เนื่องจาก ไม่มีการชี้เฉพาะว่า ปลาตัวไหน เด็กผู้ชายคนไหน ชื่ออะไร 2. วิสามานยนาม Proper noun คือ คำนามที่เอ่ยชี้เฉพาะเจาะจง ว่าเป็น คน สัตว์สิ่งของ สถานที่ ซึ่งไม่ใช่ของทั่วๆ ไป สังเกตได้ง่าย คือ คำเหล่านี้ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวใหญ่ เสมอ เช่น Joy is going to Robinson departmentstore. จอยกำลังไปที่ห้างโรบินสัน Cristian Dior is more expensive than Pias. คริสเตียนดิออร์แพงกว่าเพียช ทั้งสองประโยค มีการชี้เฉพาะเจาะจง โดยการระบุชื่อตัว และชื่อยี่ห้ออย่างชัดเจน 3. สมุหนาม Collective noun เป็นคำนามที่เป็นหลาย ๆ ชิ้น เป็นหมู่ คณะ กลุ่ม พวก ซึ่งบางครั้งจะดูเหมือน คำพหูพจน์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคำนามเอกพจน์ และเป็นคำนามที่นับได้ มีหน่วยเป็นหนึ่ง เช่น A crowd หมู่หนึ่ง A crowd of people คนหมู่หนึ่ง A bunch ช่อหนึ่ง A bunch of rose กุหลาบช่อหนึ่ง หรือ mob หมู่ผู้คน team คณะ ชุด family ครอบครัว party พรรค คณะ 4. วัตถุนาม Material noun คือ นามที่เป็นวัตถุ โดยไม่ว่าจะเป็นของแข็งหรือของเหลว ก็ตาม เช่น air อากาศ gold ทอง oil น้ำมัน soap สบู่ rice ข้าว flour แป้ง wood ไม้ หรือ Soap is in the bathroom. สบู่อยู่ในห้องน้ำ 5. อาการนาม Abstract noun คือ นามที่เป็นชื่อของสถานะ สภาวะ คุณสมบัติ หรือ คุณลักษณะ รวมทั้งการกระทำของคน สัตว์ และสิ่งของ เช่น Beuty is wanted by very women. ความสวยเป็นที่ต้องการของผู้หญิงทุกคน 6. สมมูลยนาม Noun-Equivalent คือ คำอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คำนาม แต่ถูกนำมาใช้ในลักษณะคำนามในประโยคนั้น ๆ เช่น To love is good for life. การได้รักเป็นสิ่งดีสำหรับชีวิต ซึ่งปกติ To love เป็นคำกริยา แต่ถูกนำมาขึ้นต้นประโยค จึงทำให้เปลี่ยนสถานะเป็นคำนาม Eating is the best way if you want to fat. การกิน คือ หนทางที่ดีที่สุดถ้าคุณอยากจะอ้วน The rich always know about expensive cars. คนรวยมักจะรู้เรื่องรถแพง ๆ เสมอ 7. นามผสม Compound noun คือ คำนาม 2 ตัวมาผสมกันเป็นคำเดียวในประโยค เช่น citygirl เด็กสาวชาวกรุง roomboy เด็กรับใช้ 8. นามแสดงความเป็นผู้กระทำ Agent noun คือ คำนามที่มาจากรูปกริยา หรือเป็นคำนามที่เติมปัจจัยเช่น er, ent, ist, or, ant และ ician เช่น actor นักแสดง musician นักดนตรี visitior ผู้มาเยี่ยม sailor กะลาสีเรือ  มาทำความรู้จัก NOUNS กันเถอะ
ประโยค (sentences) อนุประโยค (clauses) และวลี (phrases) ล้วนแต่สร้างมาจากคำพูดหรือคำศัพท์ด้วยกันทั้งนั้น นั่นคือ เมื่อนำคำศัพท์ที่มีหน้าที่แตกต่างกันหลาย ๆ คำ มารวมกันจะทำให้เกิดเป็นประโยค เป็นอนุประโยค และเป็นวลี ซึ่งรวมกันเรียกว่า Parts of Speech ซึ่งมีอยู่ 8 กลุ่ม คือ 1. Noun : คำนามคือ คำพูดที่ใช้แทนชื่อของคน สถานที่ สัตว์ สิ่งของ เช่น Bangkok is the capital city of Thailand กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย The girl wrote a letter to her cousin. เด็กหญิงคนนั้น ได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงญาติของหล่อน คำนามมีสองชนิด คือ สัมผัสได้ (Concrete Nouns)กับ สัมผัสไม่ได้ (Abstract Nouns) * วิธีการทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำนามได้เร็ว 1. ดูรูปร่างของคำศัพท์แล้วบอกได้ทันทีว่าคำนั้นเป็นคำนาม และบอกได้ว่าเป็นคนหรือสิ่งของ เป็นเอกพจน์ หรือพหูพจน์ 2. รู้หน้าที่ของคำนามได้เป็นอย่างดี 3. รู้และท่องจำได้ว่า คำนามชนิดใดเป็นนามนับไม่ได้ ซึ่งจะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ เช่น information equipment advice homewore news knowledge scenery traffic baggage luggage furniture machinery imagery poetry work money และคำนามใดสามารถสัมผัสได้ เช่น hope charity love kindness intelligent joy conflict relief happiness beauty friendship pleasure wisdom affection bravery fear love courage death 4. คำที่ลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้ มักจะเป็นคำนาม และไม่ใช่คน คือ 4.1 ลงท้ายด้วย tion, ence, ity, ness, ship, ism, logy, acy, th, dom, ance, hood, ery, tude, cracy, ace, al, ment, ice 5. คำที่ลงท้ายด้วยคำต่อไปนี้ มักจะเป็นคำนามนับได้ และเป็นคน คือ er, ist, ic, ant, ent, ar, or, ee,ian, ier, ard 6. ตำแหน่งหลัง The เป็นคำนามเสมอ หน้าที่ของคำนาม 1. เป็นประธานของกริยา 2. คำนามเป็นกรรมของกริยาแท้ 3. คำนามเป็นกรรมของคำบุพบท (prepositions) วิธีสร้างคำนาม สร้างมาจากการเติม Suffix ดังตัวอย่างข้างต้น การใช้คำนามบางคำ 1. คำนามลงท้ายด้วย s มักใช้กับคำนามพหูพจน์เสมอ คือ riches, tidings, fetters, breeches, billiards, trousers, valuables, goods, movables, eatables, pantaloons, spectacles, thanks, surroundings, stocks, premises, alms, measles, scissors, wages, proceeds, annals, mumps, shorts, bowels, tongs, stockings 2. คำนามที่มีรูปเป็นพหูพจน์แต่ใช้เป็นเอกพจน์เสมอ คือ mathematics, gymnastics, news, summons, politics, athletics, physics, statistics, mechanics, innings, ethics, gallows, economics, classics 3. สมุหนามหรือนามที่เป็นหมู่คณะ (Collective nouns) จะไม่ลงท้ายด้วย s แต่เป็นพหูพจน์เสมอ คือ gentry, mankind, people, vermin, public, poultry, nation, police, clergy folk, cattle, peasantry, audience 4. คำนามที่ใช้เป็นเอกพจน์เสมอ คือ poetry, cavalry, issure, mischief, advice, infantry, luggage, baggage, physics, offspring, fuel, stationery, hair, information, gram, scenery, rice abuse, alphabet, furniture, bedding, machinery 5. คำนามที่มีเพียงรูปเดียวแต่เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ คือ sheep, fish, apparatus, corps, cod, yoke, series, swine, pair, score, hundred, species, deer, rice, means, heathen, pan, amends, cannon, dozen, gross, thousand 6. คำนามต่อไปนี้ไม่มีในรูปพหูพจน์ คือ hope, charity, love, kindness 7. คำนามที่นับไม่ได้ จะอยู่ในรูปเอกพจน์เสมอ ถ้าใช้เป็นประธานก็จะเป็นประธานเอกพจน์ คือ information equipment advice homewore news knowledge scenery traffic baggage luggage furniture machinery imagery poetry work money คำนามเหล่านี้จะเป็นได้เพียงเอกพจน์เท่านั้น ห้ามเติม s, es 8. คำนามต่อไปนี้เป็นนามธรรม จะอยู่ในรูปเอกพจน์เหมือนกับคำนามนับไม่ได้ ดังนี้ intelligent ,joy, conflict, relief , happiness, beauty, friendship, pleasure, wisdom, hope, affection, bravery, fear , love ,courage, death มาเรียนภาษาอังกฤษกันนะ
กลวิธีที่ทำให้อยากเรียนภาษาอังกฤษ
1. บอกใจให้รัก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารัก เรามักจะมีความพยามเสมอ ดังนั้น เมื่อคุณทำใจให้รักภาษาอังกฤษ คุณต้องทำสำเร็จแน่ ๆ 2. อย่าละเลยต่อการท่องศัพท์ ศัพท์กับภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก เพราะถ้าเราไม่รู้ความหมายของคำศัพท์ คุณก็จะไม่รู้ว่า ประโยคนี้ควรพูดว่าอย่างไร วันหนึ่ง คุณควรจะท่องศัพท์ประมาณ 2-3 คำต่อวัน หัดพูดวันหนึ่งให้ได้ซัก 2-3 ประโยค อย่าทิ้งมันเอาไว้หลาย ๆ วันแล้วค่อยมาท่องศัพท์ครั้งเดียว 10 คำ 20 คำ จะไม่มีความหมายอะไรหรอก สู้กับการท่องวันละ 2-3 คำไม่ได้ ลองทำดู 3. หัดเขียน หัดฟัง หัดพูด ลองหัดเขียนประโยคง่าย ๆ ดู หรือไม่ ก็เปิดเพลงฝรั่งฟังบ่อย ๆ ลองพูดประโยคทักทายง่าย ๆ บ้าง สุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด อย่าอายที่จะพูดภาษาอังกฤษ อย่าอายต่อการแสดงออก จงมั่นใจในตัวเองว่า เราต้องทำได้ ถ้าง่าย ๆ แบบนี้ดีกว่า ขอแนะนำลิงค์ดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง มีทั้งหลัก gramma การเขียนประโยค การพูด //intereladsd2.blogspot.com/2007/01/17.html โครงสร้างประโยค Sentense Structure
C:\Documents and Settings\o_Q\My Documents\SENTENCES.htmโครงสร้างประโยค
|
runya_smile
 ฝากข้อความหลังไมค์ Rss Feed  Smember ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?] Whitejass417'blog ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซด์นะค่ะ ความอ่อนแรงกับชีวิต ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตของเราจะเดินต่อไปไม่ได้ เรามีทั้งพ่อและแม่ พี่และน้อง ญาติผู้ใหญ่มากมาย อีกทั้งเพื่อน ๆ ที่ยังคอยเป็นกำลังให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างเข็มแข็ง ถึงแม้วันนี้เราจะต้องร้องไห้ เสียน้ำตากับเรื่องราวอันแสนเจ็บปวด ทุกข์และทรมานซักเพียงใดก็ตาม เราจะร้องไห้อีกซักกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น อย่าขังใจเราไว้กับทุกข์เพียงลำพัง เอาเวลาที่สูญเปล่า ไปทำอะไรที่มีประโยชน์ ต่อมวลมนุษย์ น่าจะดีกว่า จงรักแสงแดดที่ช่วยคลายความเหน็บหนาว จงรักสายฝนที่ช่วยชำระล้างจิตใจที่แสนจะอ่อนแอ จงรักแสงสว่างที่เป็นเพื่อนคอยส่องแสงบนทางเดิน จงรักความมืดมิด ที่ช่วยทำให้เราได้มองเห็นดวงดาวพร้อมกัน "ปัญหาทำให้เราเข้มแข็งและมีประสบการณ์ สถานการณ์ ทำให้เรารู้จักแก้ไขปัญหา เวลา ทำให้เราหยั่งรู้ความเป็นคน ความคิด ทำให้เราเป็นเลิศทางปัญญา การตัดสินใจ ทำให้เรารู้ว่าผิดหรือถูก ความผูกพัน ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดเวลาเลิกกัน ความจริงใจ ทำให้เราเกิดความรักอันแสนบริสุทธิ์ ความรัก ทำให้เรารู้จักการให้แบบไม่หวังผลตอบ แทนใดๆ ความสงสาร ทำให้เราตกเป็นเหยื่อของการ หลอกลวง ความเห็นแก่ตัว ทำให้เรารู้จักคนเพิ่มมากขึ้น
|
||||||||
