จะสุขหรือทุกข์ ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นทำ แต่อยู่ที่เราเลือก
Group Blog
 
All blogs
 
เที่ยวปักกิ่ง ปีนกำแพง สักครั้งในชีวิต (Day 4 bye)

18 มิถุนายน 2008

  วันสุดท้ายแล้วเนี่ย มาแป็บเดียวเท่านั้น เหมือนยังไม่ค่อยได้สัมผัสกับความเป็นจีนปักกิ่งกันเลย
  แม้จะเป็นวันสุดท้าย แต่โปรแกรมก็ยังมีหนาแน่น

  เนื่องจาก วันก่อนๆ เพื่อนทัวร์ของเราเห็นไกด์ฝนสวมจี้ห้อยคอรูป ปี่ชิว ก็เลยสอบถามว่า ไปเช่ามาจากที่ไหน อยากไปเช่าบ้าง ฝนก็บอกว่า เป็นศูนย์ หรือ มูลนิธิ อะไรซะอย่างเนี่ยเกี่ยวกับ ปี่ชิว ที่นี่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์ การเข้าเยี่ยมชม จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า เพราะจะมีคิวในการเข้าชม
  ในที่สุด ไกด์ฝนก็จองให้คณะทัวร์เข้าชมได้ ดังนั้น โปรแกรมเช้านี้ก็ไปเช่า ปี่ชิว กันก่อน

  คนที่มาบรรยายวันนี้ เป็นคนไทยเลยล่ะ เริ่มแรกก็บรรยาย ถึงความเป็นมาเป็นไปของ ปี่ชิว อย่างคร่าวๆ แล้วก็บอกว่าที่นี่จะมี ปี่ชิว 2 ตัวตั้งอยู่ ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้ องค์ชายที่ 4 เลยละมั้ง
  ต่อการบรรยายด้วย ลักษณะฮวงจุ้ยของบริษัทใหญ่ 2-3 บริษัทในปักกิ่ง ซึ่งตอนแรกค้าขายไม่ดี หลังจากปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย และตั้ง ปี่ชิว 2 ตัว หน้าบริษัทแล้วก็ทำให้กิจการรุ่งเรือง

  สุดท้ายก่อนเปิดการขายเป็นกิจจะลักษณะ ก็ให้ลูกทัวร์ได้เห็นปี่ชิวตัวหนึ่ง และสาธิตวิธีการลูบ เช่นจากแก้ม คาง เท้า หลัง สะโพก แล้วก็เอา 2 มือที่ลูบนั้น มาทำท่าใส่กระเป๋า
  ทุกคนก็เริ่มเข้าไปทำการลูบทีละคน ตัวฉันเองรู้สึกเฉยๆอ่ะ แต่ก็เข้าไปลูบเหมือนกัน (ก็ไหนๆมาถึงที่นี่แล้วนี่นา)

  ก่อนการขาย ผู้บรรยาย จะบอกวิธีการเบิกเนตร ประมาณว่า ปี่ชิวนี้จะเป็นของคนผู้นั้นจริงๆ จะต้องไปทำพิธีก่อน เรียกว่า เบิกเนตร ต้องทำการล้างด้วยน้ำร้อน-เย็น เช็ดด้วยผ้าขาวสะอาด แล้วก็นำไปฝังดิน 49 วัน เพื่อให้ลืมหน้าตาคนที่ทำตัวปี่ชิวนี้มา วิธีการตั้ง ก็ต้องตั้งให้ต่ำกว่าระดับสายตาลงมา
  คือประมาณว่า ถ้าปี่ชิวตัวนี้ เป็นของเรา เฉพาะเราคนเดียวที่จับต้องได้ ไม่ให้ใครมาจับ สีของปี่ชิวแต่ละสีก็มีความหมายไม่เหมือนกัน เช่น เขียว-สุขภาพ, ขาว-หน้าที่การงาน, ดำ-การเงิน, ลายทองคำ-ค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว, ดำลายเสือดาว (มีจุด) – ดูแลทุกด้าน

  แต่มีอีกสีหนึ่ง ที่ไม่ควรตั้งอยู่ในบ้าน คือสีพุทรา ไว้สำหรับเฝ้าทรัพย์ เงินทอง แต่จะตั้งอยู่ฮวงซุ้ย
  ก็แล้วแต่ความเชื่อ...

  ตัวหนึ่งราคาไม่เบาเลยอ่ะ แค่จี้ห้อยคอ ก็เกือบ 300 หยวนไปแล้ว โปรโมชั่นของร้านนี้จะเป็นแบบนี้ ซื้อตัวใหญ่ แถมตัวเล็ก ซื้อตัวเล็ก แถมตัวเล็กกว่า ไปเรื่อยๆ
  โปรแกรมถัดไป จะไปนั่งสามล้อเที่ยวบริเวณ หูต่ง กัน
  สามล้อที่นี่ คันหนึ่งนั่งได้ 2 คนสบายๆเลย กว้างขวาง ไม่แคบ ดูแข็งแรงและสะอาด



  พวกเราทั้งหมดนั่งสามล้อกัน เป็นทิวแถว ขับขี่ผ่านไปบนซอยเล็กๆ ไม่ค่อยได้เห็นอะไรมากนัก เห็นแต่แนวกำแพง บ้านคนส่วนใหญ่ก็ปิดประตู มองไม่เห็นด้านใน

บ้านเรือนในหูต่ง


  บ้านแถวนี้ เป็นบ้านชั้นเดียว สมัยก่อน จะไม่ให้ประชาชนสร้างบ้านเกิน 1 ชั้น อันเนื่องจาก มีเฉพาะพระราชวังเท่านั้น ที่จะสร้างสูงได้
  ไกด์ฝนบอกว่า ที่เราเห็นสภาพแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงิน แต่บ้านแถวนี้ ราคาหลายล้านหยวนกันเลยทีเดียว ก็น่าจะจริง เพราะอยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้ (ประมาณ เยาวราช สีลม บ้านเรา) แถมมีทะเลสาบกว้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บ้านอยู่ใจกลางเมืองแถมทะเลสาบและสวน ราคาก็คงไม่เบาจริงๆ


  อันที่จริง ฉันอยากเดินสำรวจเองมากกว่า เคยดูสารคดีเกี่ยวกับหูต่งแห่งนี้ จำได้ว่า น้องชายของจักรพรรดิองค์สุดท้ายก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย แต่สถานที่แห่งนี้ เป็นบ้านเรือนคนอาศัย จะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเดินเที่ยว คงไม่เหมาะแน่ (ไม่ได้ทำแบบแหล่งท่องเที่ยวเหมือนตลาดสามชุกบ้านเรา )


  ไม่ค่อยได้ feel อย่างที่ต้องการเลยแหะ ต้องทำใจ มากับทัวร์นี่นา
  โปรแกรมสุดท้าย ก่อนไปเทกระเป๋า shopping ภาคบ่าย คือไปวัดลามะ วัดแห่งนี้เป็นที่พำนักขององค์ชายสี่ รัฐบาลจึงต้องอนุรักษ์ไว้

ด้านหน้าวัดลามะ

  ข้างในวัด จะทำเป็นศาลเจ้าประมาณ 5-6 ศาลเจ้า โดยจะทำเป็นแนวลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่ละศาลเจ้าก็จะมีองค์พระต่างๆ เช่น เจ้าแม่กวนอิม, องค์พระศาสดาในปางต่างๆ

แผนผังแสดงที่ตั้งทั้งหมดของวัดลามะ

  สำหรับศาลสุดท้าย จะเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ ทำมาจากไม้แก่นจันทน์ที่ใหญ่ที่สุด สูงเสียจนต้องสร้างฐานลงไปข้างล่าง จึงจะนำทั้งองค์อยู่ในศาลได้
  เสียดาย ที่นี่เขาไม่ให้ถ่ายรูปในศาล ถ่ายได้แต่ข้างนอก เลยไม่ได้รูปมาแสดงให้ดู


  ที่นี่ เวลาประชาชนจะมาจุดธูป เขาจะไม่ให้จุดในศาลเจ้า จะให้จุดนอกศาล แต่ถ้าใครอยากไหว้ข้างใน หน้าองค์พระพุทธรูป ก็ทำการไหว้ด้วยธูปแบบไม่ต้องจุดไฟ
  ธูปของที่นี่เขาทำได้ใจมากๆ อันใหญ่กว่าบ้านเราอ่ะ บางอันน่าจะใหญ่ประมาณ 10 เท่าได้ละมั้ง แล้วเวลาเขาจุดแต่ละที ก็เล่นกันเป็นกำๆ เลยทีเดียว
  บริเวณข้างนอก สองข้างทาง จะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ไกด์ฝนบอกว่าเป็นต้นแป๊ะก้วย เพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย

ต้นแป๊ะก้วย

  อาหารกลางวันวันนี้ เป็นสุกี้มองโกล แต่ละคนจะมีหม้อของตัวเองอันเล็กๆ (ไม่ได้เป็นหม้อรวมเหมือนสุกี้บ้านเรา) เนื้อที่กินก็มี หมู ไก่ และ แพะ
  ไม่ได้ลองเนื้อแพะหรอกค่ะ เคยเข็ดเนื้อแกะ(เหม็นสาบ)แล้วก็เลยขอกินอะไร ธรรมดาๆดีกว่า

  สุดท้ายและท้ายสุดของวันนี้ คือ shopping ที่ตลาดรัสเซีย ตอนแรกฉันก็นึกภาพว่า จะต้องเป็นแหล่ง shopping ที่ใหญ่โต ของขายถูก มีของเยอะแยะ
  แต่ถึงแม้ถ้าจะมีของขายเยอะยังไง ของฝากที่นึกออก เป็นของกินดีกว่านะ ง่ายดีไม่ต้องคิดมากด้วย

  ปรากฏว่า ตลาดรัสเซียที่นี่มีแต่ขายของจำพวก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า (copy brand name) ไม่มีของกินอ่ะ ไกด์ฝนบอกว่า ของกินต้องซื้อที่ตลาดรัสเซียที่เราไปกินสุกี้อ่ะ (อ้าว เป็นงั้นซะ)
  ก็เลยสอบถามได้ความว่า ซูเปอร์มาร์เกต อยู่ใกล้ๆ ประมาณ 200 เมตร ที่คิดอยู่ในใจ ว่าจะซื้อประเภท เกาลัด ลูกบัว แห้งละกัน น่าจะกินกันได้

  ไกด์ฝนก็ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมไม่ซื้อกับฝนล่ะ คือ เมื่อวาน ฝนเขาเอาของแห้งพวกนี้มาให้ชิมกันบนรถ แล้วก็ขายในราคาพิเศษ แต่ปริมาณนี่ซิ ต้องซื้อกันเป็นลัง ลังหนึ่งก็มีทั้ง 30 ห่อ 50 ห่อ แล้วแต่ประเภทของแห้ง
  โห จะซื้อไปทำไมเยอะแยะขนาดนั้น พอจะแบ่งครึ่งกับเพื่อนทัวร์คนอื่น ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มา join ด้วย

  กำลังจะเดินไป supermarket ก็บังเอิญเห็นร้านขายผลไม้ มีหลากหลาย ว่าจะซื้อลูกท้อไปฝากที่บ้านซะหน่อย สอบถามราคา บอกว่า ครึ่งโล 10 หยวน อือม เดี๋ยวกลับมาซื้อละกัน ขอไป supermarket ก่อน
  เดินดูของที่ต้องการใน supermarket ก็ไม่พบของที่ต้องการ สุดท้าย ก็เลยซื้อถั่วพุสตาชิโอ้ มาฝากละกัน คราวที่ไปสิงคโปร์ ซื้อมาฝากก็เห็นกินกันอร่อย

  เพิ่มช๊อคโกแลตอีกสัก 3 ถุงละกัน ยังไงซะ ของกินแบบนี้ กินได้อยู่แล้ว ดีกว่าซื้อพวกบ๊วย ของแห้งแบบอื่นๆ เป็นไหนๆ
  ที่เมืองจีนเดี๋ยวนี้ ถ้าไปซื้อของ เขาจะไม่ให้ถุงพลาสติก ถ้าจะเอาถุงด้วย เขาจะบวกไปอีก 5 หยวน พอดีไกด์บอกมาก่อน ก็เลยเอาถุงผ้าไปจ่ายตลาดด้วย

  กลับมาซื้อท้อ สรุปว่า ได้ประมาณ 10 ลูก 30 หยวน บังเอิญฉันเห็นเชอร์รี่สีแดงสด ลองชิมดู รสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆ ราคา 35 หยวนต่อ 1 กิโล ก็เลยซื้อมา 1 กิโล
  ไปเดินข้างในตลาดรัสเซียดีกว่า ไปดูซิ มีอะไรขายบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าอ่ะ แล้วก็ไม่ได้ดูดี ธรรมดาม๊ากมาก ส่วนพวกเครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ก็ไม่ได้น่าซื้อตรงไหนเลย การจัดพื้นที่ขายของก็ไม่น่าสนใจ ฉันว่า มาบุญครองบ้านเรากินขาดกว่ากันเยอะ (ไม่รู้ว่า จะมาหาซื้อไรกันนักหนา)

  มาแค่เดินเล่นเท่านั้นเอง เพราะยังเหลือเวลาอีกแค่ 45 นาทีเท่านั้น เดินๆไปเห็น magnet ติดตู้เย็น รูปกำแพงเมืองจีน จากราคา 10 หยวน ก็ต่อได้ในราคา 5 หยวน คนขายพยายามขายให้ฉันแบบ 10 อันในราคาเท่านี้ แต่ฉัน say no สุดท้ายซื้อมา 2 อัน อันละ 5 หยวน เป็นรูปกำแพงเมืองจีน กับ หอฟ้าเทียนถาน


  มานั่งรอที่รถ นั่งนึกๆดูแล้วก็บอกแม่ว่า ไปซื้อเชอร์รี่อีก กิโลดีกว่า ไปเป็นของฝากให้ที่ office น่าจะดูดี
  คราวนี้ ไม่ต้องต่อรองไรมาก ซื้อเลย 1 กก. 35 หยวน
แต่ที่แสบเนี่ยซิ มีอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน

  1.อาแป๊ะแกไม่ใช่เล่นเลยนะ ฉันให้ไป 100 หยวน ตอนแรกแกทอนเงินมา 60 หยวน แล้วก็หยิบแบงค์ 5 เหมา มาให้ (10 เหมา = 1 หยวน) บังเอิญ เจ้าแบงค์นี้ ฉันเห็นลายมันแปลกๆตั้งแต่เมื่อตอนซื้อหยก แล้วก็ถามฝน ฝนก็บอกมาว่าเป็น 5 เหมา ฉันก็เลยต่อว่าอาแป๊ะแกว่า ฉันรู้นะว่านี่มันแบงค์ 5 เหมา ไม่ใช่ 5 หยวน แกเอาแต่หัวเราะแหะๆ
  2.เชอร์รี่ที่ซื้อมาเนี่ย ไม่ใช่ 1 กก. ซะหน่อย แต่แค่ 7 ขีดกว่าๆเท่านั้นเอง โกงผู้บริโภค โกงนักท่องเที่ยวนี่หว่า

  บนรถ ไกด์หมูได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้ชนะในการเล่นเกมส์ พอคุณหมูหยิบออกมาเท่านั้นแหละ โห มันช่างคล้ายกับไอ้ที่ฉันซื้อมาซะจริง แล้วก็ใช่ด้วยอ่ะ magnet
  อันที่ได้ ก็ใกล้เคียงกับที่ฉันซื้อซะด้วย magnet รูปกำแพงเมืองจีน เพียงแต่ของฉันมันเป็นสีเทาดำ แต่อันที่เพิ่งได้เป็นสีขาว ฉันก็เลยให้แม่ไปเลย

  อาหารเย็น มื้อสุดท้ายของทริปปักกิ่งในวันนี้ จะได้ชิมเป็ดปักกิ่งขนานแท้ กับไวน์แดง เป็ดปักกิ่งที่นี่จะกินหนังรวมกับเนื้อ (ไม่เหมือนที่เมืองไทย ที่กินแต่หนัง) แต่วิธีการกินก็คล้ายๆกัน เอาแป้งแผ่นบางๆมาห่อใส่เป็นลงไป รวมกับเครื่องเขียงนิดหน่อย ใส่น้ำจิ้ม แล้วกิน
  ตอนแรก นึกว่า พนักงานจะมาห่อให้ทุกอัน แต่ที่ไหนได้ แสดงวิธีการห่อให้อันเดียว ที่เหลือจัดการเองคร้าบ

  อิ่มแปร้กันแล้ว ก็จัดแจงอำลาปักกิ่ง
  สมใจอยากของฉันแล้ว แม้เพียงเศษเสี้ยวของที่ตั้งใจ แต่ก็ขอให้ได้ปีนกำแพงเมืองจีนสักครั้งหนึ่งในชีวิต..


Create Date : 22 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 22:33:21 น. 2 comments
Counter : 776 Pageviews.

 
มาเยี่ยมนะคับ


โดย: อยากไป IP: 161.139.212.182 วันที่: 25 สิงหาคม 2551 เวลา:16:49:53 น.  

 
แหม น่าเสียดาย ทำไมไม่กินเนื้อแพะค่ะ อร่อยมากเลย ไม่เหม็นสาปเลยค่ะ

ของที่ระลึกที่เป็นที่ติดตู้เย็นซื้อเหมือนเราเลยค่ะ แต่เราซื้อได้ถูกกว่า เราซื้อมาในราคา 2 อัน 5 หยวน ต่อแหลกเลยค่ะ

ไปซื้อของที่ซุปเปอร์ ต้องไปซื้อขนม วา วา ค่ะ เป็นขนมที่อร่อยที่สุดในเมืองจีน ที่บ้านเราไปเมืองจีนกี่ครั้งก็ต้องไปซื้อทุกครั้ง อร่อยมากค่ะ


โดย: kimminhee IP: 125.25.28.112 วันที่: 27 สิงหาคม 2551 เวลา:22:58:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

susanjoan
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




    ข่าวท่องเที่ยว

    ข่าวไลฟท์สไตล์

Friends' blogs
[Add susanjoan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.