หลังจากที่แอบดูซุ่มเงียบอยู่นาน ต้นสังกัดอย่าง VICTORY ก็เลยปล่อยตัวเด็ดพลังไฟฟ้าออกมาจนได้ ซึ่งแม้ว่ารถไฟฟ้าจะต่างชั้นผิดแบบอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับรถที่ต้นสังกัดเคยผลิต แต่นี่คือบทพิสูจน์ทางความคิดว่าพลังงานไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รูปทรงของรถรุ่นนี้ไม่เหมือน “อินเดียน” ที่เคยขี่ แถมเสียงเครื่องที่คำรามก็มลายหายสิ้น คงไว้เพียงแต่ความเร็วและเสียงกระซิบจากสายลมเท่านั้น ส่วนจะเป็นรุ่นไหน? ติดตามได้เลยครับผม

เล่นเอาทีมงานออกอาการ “มึน” อยู่พักใหญ่ ตามด้วยการขยี้ตา เพราะรถที่เห็นอยู่ในหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้นคือ VICTORY Empulse TT 2016 มันโดดเด่นด้วยรูปทรงชนิดที่เรียกได้ว่า ถ้าไม่คาดโลโก้ของค่ายก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเป็นรถจากค่ายใด ไฟหน้าที่แทรกความคิดของอินเดียนไว้อย่างลงตัว โดยเป็นโคมไฟหน้าแบบสปอร์ต ใช้ไฟสูงและต่ำได้ในหลอดเดียวกัน ส่วนด้านบนจะเป็นไฟหรี่ ครอบหัวอีกชั้นด้วยชุดครอบกระโหลกไฟหน้า ลองมองดีๆ จะเห็นว่ามันคือการดัดทอนรูปทรงของหมวกอินเดียนแดงแบบขนนกของหัวหน้าเผ่า ชุดเรือนไมล์มีหน้าตาไม่ต่างจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ที่สันดาปด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง มีการรายงานรอบเครื่องยนต์ด้วยระบบไฟฟ้าผ่านมาตรวัดแบบเข็ม และมีหน้าจอดิจิตอลรายงานเรื่องความเร็วและจำนวนกระแสไฟที่คงเหลือในการใช้งาน

ชุดแฮนด์บังคับมาแบบสบายๆ ด้วย T-Bar ผสานกับเบาะนั่งที่กดเป็นหลุมลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ควบคุมรถได้ดีขึ้น พักเท้ามาแบบรถสปอร์ตที่มีการยกองศาขึ้นมานิดๆ เพื่อเรียกดีกรีความสะใจเวลาขี่ ชุดเบาะเป็นเบาะแบบใบเดียวไม่ได้เน้นความนิ่มสบายอะไรมากนัก เพราะนี่ไม่ใช่รถเดินทางไกลและไม่ใช่รถสปอร์ตกำลังสูงๆ หากแต่มันคือรถที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน กล่าวคือ เอาไว้ใช้ขี่ไปเที่ยวใกล้ๆ ไปห้างสรรพสินค้า ไปทำงานที่ออฟฟิศ แต่ก็ควรอย่าลืมเช็คเรื่องกระแสไฟด้วยว่าต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง “เราจะไปได้ไกลขนาดไหน” ชุดไฟท้ายยกไฟร่วมรวมสุขอยู่กับชุดติดป้ายทะเบียน โดยเป็นชิ้นส่วนที่แยกออกจากเฟรมของรถ ไฟเลี้ยวทั้งหน้าและหลังเป็นทรงลูกดิ่งแบบหน้าเลนส์ใส หลอดในไส้ส้ม เก๋กว่าด้วยการเป็นรถไฟฟ้าที่มีพักเท้าสำหรับผู้โดยสาร เรียกได้ว่าสาวๆ คนไหน? ชอบโลกสวย หรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รถรุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด

ขุมกำลังนั้นมาจากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนขับเคลื่อนด้วยกำลังกระแสไฟ โดยมีโซ่และสเตอร์ทำหน้าที่ส่งกำลังในการหมุนไปยังล้อหลัง อ้าวๆ รถไฟฟ้า ใช้โซ่สเตอร์!!! ถามว่าจะดีหรือเปล่า? บอกเลยนะครับว่า “ดีเลิศ” เพราะมันสามารถลดหรือเพิ่มขนาดจำนวนของฟันสเตอร์ได้แบบง่ายๆ ใครชอบแบบเก๋าก็ใส่สเตอร์หลังใหญ่ หรือจะชอบเป็นเจ้าหนูลมกรด ก็สามารถลดสเตอร์หลังให้เล็กลง การใช้โซ่สเตอร์ในระบบขับเคลื่อนก็เพื่อเพิ่มสีสันของสไตล์ในการขับขี่ ในส่วนของระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นช็อคอัพเทเลสโคปิคหัวกลับ MARZOCCHI ด้านหลังเป็นช็อคอับเดี่ยวที่ติดตั้งแบบเยื้องเซ็นเตอร์ SACHS กล่าวคือ การติดตั้งจะโยกมาทางด้านขวาของตัวรถบริเวณใต้เบาะคนขี่ ลักษณะของช็อคอัพเกือบๆ จะขนานกับพื้นถนน

ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าพอใช้นานๆ แล้วความร้อนสะสมจะเกิดที่มอเตอร์ พอมาเป็นรถคันนี้ บอกเลยว่า “หมดห่วง” เพราะเล่นสนุกด้วยการระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ หลักการทำงานแบบเดียวกับเครื่องยนต์ หรือจะคิดแบบหลักคอมพิวเตอร์ ก็ไม่ต่างอะไรจากการใส่ Cool System โดยมีปั๊มน้ำไฟฟ้าเป็นตัวผลักน้ำในระบบ จานเบรคหน้ากลัวจะหยุดความแรงไม่อยู่ เลยมาพร้อมกันถึง 2 จาน ขนาบดุมล้อหน้า และเป็นจานเบรคแบบกึ่งให้ตัวได้ คาลิเปอร์ 4 ลูกสูบ เรเดียลเมาท์ BREMBO สั่งงานด้วยระบบไฮดรอลิค จานเบรคหลังตายตัว คาลิเปอร์ 1 ลูกสูบ ขนาดยางหน้าและหลัง เท่ากับ 120 / 60 ZR 17 นิ้ว และ 160 / 60 ZR 17 นิ้ว แถมยังมีการเสียบชาร์จคล้ายๆ กับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีปลั๊กตัวเมียติดอยู่ที่ตัวรถ รอแค่ปลั๊กตัวผู้ที่ทำหน้าที่เป็นหัวจ่ายส่งกำลังไฟเท่านั้น รัศมีการใช้งาน ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งแบบเต็มๆ เท่ากับ 232 กิโลเมตร ระยะเวลาในการชาร์จ คือ 3.9 ชั่วโมง

เรียบเรียงโดย A’Lure Magazine
victorymotorcycles
thecarconnection
autoevolution

//men.mthai.com/car/superbike/11145.html