จอมขบถอารมณ์ไหว
 
Faraway ตอนที่ 4

“ผมยังไม่กลับเมืองไทยนะครับพ่อ”
สีหน้าแย้มยิ้มด้วยความปลาบปลื้มในความสำเร็จของลูกชายคนเดียวของบิดาของเขาเปลี่ยนไปทันที

“ผมอยากฝึกทำงานในบริษัทของต่างชาติ และหาประสบการณ์ในการทำงานอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อน”

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าอย่างไรเขาก็ต้องแต่งงานกับวันวิสา แต่เขาก็ยังอยากยืดเวลาออกไปอีก ในความคิดของเขาการแต่งงานมันต้องมีรากฐานมาจากความรักเป็นอันดับแรก และการที่เขาจะรักวันวิสามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีขวัญชนกก็ตาม จนป่านนี้แล้วเขายังรู้สึกผิดต่อขวัญชนกแล้วเขาจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไร และถ้าหากว่าขวัญชนกยังมั่นคงและซื่อตรงต่อเขา เขายิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาหวังเหลือเกินว่าจะมีผู้ชายดีๆ สักคนผ่านเข้ามาในชีวิตของหล่อน เขาอยากเหลือเกินที่จะได้รู้ว่าหล่อนได้ลงเอยกับใครสักคนไปแล้ว
………………………………
ขวัญชนกกอดโครงร่างวิทยานิพนธ์ของหล่อนเอาไว้แนบอก รูปร่างบอบบางของหล่อนดูเพรียวบางลงยิ่งไปกว่าเดิมอันเป็นผลมาจากคร่ำเคร่งในตำราเรียนที่ต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมมากมาย ผนวกกับงานประจำที่ไม่เคยลดเบาลงเลยตลอดเวลาในการศึกษาต่อของหล่อน

“หัวข้อวิจัยของคุณผ่านการอนุมัติตามโครงการสนับสนุนงานวิจัย จากสภาวิจัยแล้ว”

คณบดีเรียกหล่อนไปพบและแจ้งข่าวเรื่องการขอทุนสนับสนุนการทำวิจัย นั่นมันแทบทำให้หล่อนกระโดดตัวลอยขณะเดินออกจากห้องคณบดี ฐานะอย่างหล่อนนะหรือจะมีปัญญาไปศึกษางานยังต่างประเทศ อย่าว่าแต่แค่ไปเที่ยวเลยแค่ค่าเครื่องบินหล่อนยังต้องเก็บเงินตั้งหลายเดือน แต่นี่หล่อนจะต้องไปทำวิจัยตามโครงการถึงหกเดือน ถือว่าเป็นเกียรติประวัติแก่ตนเองยิ่งนัก

“MD ไม่อนุมัติการลาของคุณ”

ผู้จัดการฝ่ายยื่นหนังสือคำขอของหล่อนมาตรงหน้า ขวัญชนกรับซองมาเปิดอ่านด้วยดวงตาพร่าพราย จบกันความฝันของหล่อน ไม่มีใครรู้หรอกว่าขวัญชนกต้องใช้พยายามขนาดไหน กว่าจะผ่านด่านการทดสอบจากสภาวิจัย หล่อนฝึกฝนภาษาอังกฤษแทบทุกนาทีที่หล่อนยังลืมตาอยู่ มีเวลานอนหลับพักผ่อนเพียงแค่วันละ 3-4 ชั่วโมงและหล่อนก็สามารถทำได้ คือการได้เป็นนักศึกษาแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นในสาขาที่หล่อนเรียนในมหาวิทยาลัย

“คุณลองเข้าไปคุยกับท่านดูมั้ย เผื่อว่าจะมีโอกาส”

ผู้จัดการส่วนแนะนำหล่อนสั้นๆ ทำให้ความหวังของหล่อนเริ่มจุดประกายขึ้นมาอีก

“ผมว่าน่าจะลองดู ผมไม่เคยเจอกรณีอย่างนี้ ถ้าเป็นผมผมคงอนุมัติให้คุณไปเพราะมันเป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในตัวพนักงานอย่างหนึ่ง”

ขวัญชนกได้ผู้บังคับบัญชาที่ดีเสมอนับจากสำนักงานต่างจังหวัด ที่ไม่คิดเหนี่ยวรั้งหล่อนเอาไว้ใช้งานใน เมื่อขวัญชนกขอย้ายกลับมาทำงานยังสำนักงานใหญ่ เมื่อครั้งหล่อนสอบเข้าเรียนต่อได้เมื่อสองปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาอยู่ในสำนักงานใหญ่ผู้บังคับบัญชาหล่อนก็ไม่เคยจ้องจะจับผิดในยามที่หล่อนใช้เวลาว่างในการท่องตำราเรียน

“จะให้แจ้งท่านว่าใครมาขอพบคะ”
น้ำเสียงหวานใสของเลขาหน้าห้องถามขวัญชนก เมื่อหล่อนแจ้งความประสงค์ในการเข้าพบกับกรรมการผู้จัดการขององค์กรใหญ่แห่งนี้

“ขวัญชนกคะ คุณสมชัยเป็นคนนัดไว้ให้ค่ะ”
หล่อนเอ่ยนามผู้จัดการส่วนที่เป็นผู้บังคับบัญชาหล่อนโดยตรง

“กรุณานั่งรอสักครู่นะคะ”
เลขาสาวผายมือเชิญหล่อนให้นั่งรอตรงชุดรับแขกบุนวมตัวใหญ่ที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้องนี้ เคาะประตูเบาๆ เป็นการขออนุญาตก่อนผลักประตูเข้าไป

ขวัญชนกสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ทอดสายตามองผ่านกระจกชั้นที่ 21 ของตึกสูงแห่งนี้ ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า ความเจริญทางวัตถุที่รุดหน้าไปทุกวัน เพียงแค่กระพริบตาเดียวอาจมีการเซ็นอนุมัติเงินในการก่อสร้างตามโครงการต่างๆ หลายสิบโครงการ เศรษฐกิจของประเทศไทยในยามนี้ส่งผลให้มีการซื้อง่ายจ่ายคล่องกันทุกระบบ กระทั่งบริษัทที่หล่อนทำงานอยู่ก็มีการขยายธุรกิจโดยการขยายสาขาออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“การจัดตั้งองค์กรในรูปแบบโฮลดิ้งของบริษัทเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในความคิดของขวัญชนก การเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมาย เพื่อหวังแค่ส่วนแบ่งกำไรโดยไม่ได้ดูจุดมุ่งหมายการลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่น่าวิตก อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุนนั้นเกิดความล้มเหลว

“เชิญค่ะ”
เลขาหน้าห้องสาวสวยเดินออกมายิ้มให้กับหล่อน

ขวัญชนกยิ้มให้ผู้หญิงสวยจัดคนนี้ รู้สึกชื่นชมในความงดงามทั้งรูปร่างหน้าตาและกริยาของหล่อน ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานห้องใหญ่ตรงหน้า เป็นครั้งแรกของขวัญชนกในการได้มาเผชิญหน้ากับนักบริหารที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองไทยคนนี้ตามลำพัง หนุ่มใหญ่วัย 50 ที่ดูหนุ่มกว่าวัยเป็นสิบปีนั่งผึ่งผายอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ สมฐานะผู้บริหารองค์กรใหญ่แห่งนี้ ขวัญชนกรู้สึกว่าเสียงหัวใจของหล่อนเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงออกมานอกอก ขณะที่ก้าวเท้าของหล่อนกับมั่นคงพาตนเองไปยืนสงบอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่

“คุณขวัญชนกนั่งสิ ผมสนใจหัวข้อวิทยานิพนธ์ของคุณนะ คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณไม่น้อย”

ขวัญชนกรู้สึกเหมือนว่าโอกาสไปทำวิจัยของหล่อนลอยมาอยู่แค่เอื้อม แต่หล่อนยังคงนั่งเป็นผู้ฟังอย่างสงบ รู้สึกชื่นชมผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ไม่แปลกเลยที่เขาจะนำองค์กรนี้ไต่ระดับขึ้นมาเป็นบริษัทขั้นนำของประเทศไทย ขวัญชนกได้แต่หวังว่าสักวันหล่อนจะก้าวไปขอเพียงแค่สักครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ก็พอใจแล้ว

ขวัญชนกอ่านร่างสัญญาการยอมรับเงื่อนไข มันเป็นสัญญาผูกพันหล่อนให้ทำงานกับองค์การนี้ต่อไป โดยจะต้องไม่เรียกร้องค่าตอบแทนพิเศษใดๆ เพิ่มเติมหลังจากหล่อนกลับมาจากการทำวิจัย โดยอนุญาติให้หล่อนลาพักงานได้ 6 เดือนและผลงานวิจัยของหล่อนจะต้องเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นหล่อนต้องทำงานอยู่ในองค์กรแห่งนี้ไม่น้อยกว่า 3 ปี ทั้งที่ขวัญชนกรู้ว่าบริษัทเอาเปรียบหล่อนอยู่มาก และถ้าหล่อนละเมิดสัญญาดังกล่าวหล่อนจะต้องจ่ายค่าชดเชยในจำนวนเงินที่สูงมากก็ตาม แต่หล่อนก็เต็มใจลงนามในหนังสือสัญญานั้น

ภาวะของตลาดแรงงานในตอนนี้ อำนาจต่อรองมักจะเป็นของแรงงานเสมอ เพราะแรงงานสามารถหางานทำได้ง่าย การเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วจึงเกิดขึ้นในองค์กรเกิดใหม่และโตเร็ว ผลก็คือผู้บริหารระดับต้นหรือระดับกลางของบางองค์กร คือเด็กรุ่นใหม่วัยเดียวกับขวัญชนก เพื่อนหล่อนบางคนย้ายงานไปเป็นผู้จัดการได้เงินเดือนสูงลิ่ว ทั้งที่ประสบการณ์การทำงานไม่ถึง 5 ปี ประสบการณ์ของชีวิตเพียง 25 ปีเช่นหล่อน แต่ขวัญชนกไม่คิดย้ายไปไหนถึงแม้ว่ามีบริษัทเกิดใหม่บางแห่งมายื่นข้อเสนอเงินเดือนให้กับหล่อนเท่าตัวพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ ข้อเสนอดังกล่าวนั้นทำให้ขวัญชนกตื่นเต้นเป็นนักหนา แต่เมื่อประเมินค่าความเสี่ยงแล้ว ขวัญชนกเลือกที่จะเกิดและเติบโตในองค์กรที่ใหญ่และมีความมั่นคงมากกว่า และที่ทำงานของหล่อนก็ถือได้ว่าเป็นบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งเช่นกัน

“ทิวขวัญจะไปเมืองนอก”
ขวัญชนกโทรทางไกลไปหาธงทิว เขายังเป็นเพื่อนที่แสนดีของขวัญชนกอยู่เสมอ

“จริงเหรอ”
ธงทิวพลอยตื่นเต้นไปกับหล่อนด้วย

“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

ขวัญชนกบอกกำหนดการของหล่อนคร่าว ๆ ในยามนี้ธงทิวเป็นเหมือนญาติสนิทคนหนึ่งของหล่อน มีเพียงธงทิวเท่านั้นที่ร่วมยินดีกับหล่อนในยามหล่อนมีความสุขและมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อนเวลาหล่อนเจอทางตันของชีวิต

“พอดีเลย กลับมาทันงานแต่งงานของผม”
ธงทิวบอกข่าวดีของเขา หล่อนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเป็นงานของตนเอง

“ทำไมเร็วจัง”
ขวัญชนกรู้สึกใจหาย

“ลิสเขาต้องกลับไปประจำอยู่สำนักงานใหญ่ ต้องจดทะเบียนกันก่อนผมถึงจะย้ายตามไปด้วยได้”
ธงทิวอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ

“อย่าบอกนะว่าทิวแต่งงานกับอลิเซียเพราะต้องการกรีนการ์ด”

ขวัญชนกแน่ใจว่าธงทิวยังรู้สึกดีๆ กับหล่อน แล้วเหตุใดเขาถึงจะจากเมืองที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขา เป็นบ้านที่เขาบอกว่ารักนักหนา แต่ตอนนี้เขากลับจะไปปักหลักอยู่ไกลถึงอีกหนึ่งซีกโลก

“ไม่ใช่หรอกขวัญ ลิสน่ารักมากถ้าขวัญรู้จักเขา ขวัญจะรักเขาเหมือนที่ผมรัก”

น้ำเสียงของธงทิวแจ่มใสชัดเจนอยู่ในแก้วหูของขวัญชนก เหมือนกับว่าเขาพูดอยู่ข้างหูหล่อน ขวัญชนกรู้สึกยินดีกับธงทิวเหลือเกินที่เขาหาคนของเขาเจอ ขวัญชนกรู้ดีว่าคนอย่างธงทิวต่อให้เขาไปอยู่ที่ไหนเขาก็เป็นสุขเพราะเขารักในสิ่งที่เขาเป็น ขวัญชนกนึกเปรียบเทียบธงทิวเป็นเหมือนดังแม่น้ำที่อยู่กลางหุบเขามีแต่ความฉ่ำเย็นสุขสงบ

ขวัญชนกวางโทรศัพท์ลงเบาๆ ความรูสึกเงียบเหงาถาโถมเข้ามาหาหล่อนจนแทบตั้งตัวไม่ติด ขณะที่ใครต่อใครเขามีใครต่อใครกันไปหมดแล้ว แล้วขวัญชนกล่ะหล่อนกำลังวิ่งวนเพื่อไขว่คว้าหาดาวดวงไหนอยู่หรือ การมีอนาคตอยู่ร่วมกับปรมีชายคนแรกรักนั้นหล่อนก็ได้บอกตนเองมาตั้งนานแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ป่านนี้เขาคงแต่งงานไปแล้วกับคู่หมายของเขาคนที่เป็นข่าวครึกโครมตั้งแต่ตอนนั้น และหล่อนก็ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรของเขาอีกเลย เหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักเหมือนกับตายจาก

ปรมีตัดสินใจกลับเมืองไทยอย่างกระทันหัน ถึงแม้ว่าเขากำลังไปได้ดีกับการทำงานในต่างแดน บิดาของเขาวางแผนจะเกษียนอายุงานก่อนกำหนดโดยมีเป้าหมายคือ การก้าวเข้าสู่สนามการเมือง

บิดาของเขาได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเงียบ ๆมา ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้ ผ่านพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายรัฐบาล มารดาเขามักจะโทรศัพท์มาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอในเรื่องการเข้าออกของเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมศึกษาของบิดาของเขา ที่เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงหลักของพรรคร่วมรัฐบาล

บิดาของเขาในต้นวัยห้าสิบ ถึงแม้ว่าจะถือว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่งของระบบราชการ แต่บิดาของเขาไม่ปล่อยให้สถานการณ์ของตนเองเป็นไปเช่นนั้น การสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายการเมืองนั้นเป็นการปูทางเพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปสู่การเข้ามามีบทบาทในการเมืองของบิดาของเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานที่บิดาของเขาเป็นประธานบริหารอยู่นั้น คือหน่วยงานส่งผ่านงบประมาณอย่างมหาศาลในแต่ละปี การเข้าพบกับบิดาของเขาของนักการเมืองจึงมีเกิดขึ้นเสมอทั้งในทางตรงและทางลับ

ปรมีรู้สึกแปลกใจกับจำนวนเงินมหาศาล ที่บิดาของเขาได้โอนผ่านเข้ามาในบัญชีเงินฝากของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาเคยถามบิดาของเขาในคราวหนึ่ง เมื่อครั้งบิดาของเขาเดินทางไปเยี่ยมเขาและให้เขาไปดูบ้านในย่านพักผ่อนนอกเมือง เพื่อซื้อเอาไว้เวลามาพักผ่อนต่างประเทศ นั่นยิ่งทำให้เขาแปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะถามถึงที่มาของจำนวนเงินเหล่านี้

เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แทบจะเรียกได้ว่ามีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีโครงการใหญ่ ๆ มีวงเงินหมุนเวียนในแต่ละโครงการเป็นพันล้าน รอการอนุมัติเพื่อเริ่มโครงการ ไม่รวมโครงการขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่กำลังตอกเสาเข็ม เพื่อวางรากฐานการก่อสร้างทุกมุมเมืองของประเทศไทย บิดาของเขากลายเป็นบุคคลที่ได้รับผลพลอยได้จากการขยายตัวจากภาคธุรกิจนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ปรมีพลิกหนังสือ MIRACLE OF ASIAN ในมือของตัวเองด้วยแววตาครุ่นคิดในฐานะของนักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากสถาบันการเงินต่างประเทศชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้กลิ่นบางอย่างมาพร้อมเงินมหาศาลที่ฝากเข้ามาในบัญชีของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมันกระจ่างชัดอยู่ในตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ทำให้เขารู้สึกว่ามันดูฉาบฉวยเป็นเหมือนภาพลวงตา กระทั่งตึกสูงระฟ้าที่แข่งกันผุดขึ้นมาในกลางกรุงเทพฯ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอน 3 ปีที่แล้วก่อนที่เขาจากไปเรียนต่อจนแทบจำถนนหนทางไม่ได้

“อ้าว ปอลูกมายังไง แล้วทำไมไม่โทรศัพท์บอกแม่ก่อน”

เสียงตื่นเต้นของมารดาของเขาแสดงอาการประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้านในชุดเดินทางมีเด็กรับใช้ลากกระเป๋าใบใหญ่เดินตามมาห่างๆ ปรมีเดินเข้าไปกอดมารดาที่ยังคงมีอาการตื่นเต้นกับการมาของเขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ยังไม่นอนอีกหรือฮะแม่”

โดยปกติแล้วมารดาของเขาจะเข้านอนก่อนใคร ถ้าไม่ออกไปงานเลี้ยงสรรสรรค์กับบิดาของเขาที่ไหน เขามองดูผมของแม่ยังคงจัดรูปทรงสวยงามเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก

“แม่เพิ่งกลับจากสนามบิน ไปส่งพ่อ เขาไปดูงานต่างประเทศ”

ปรมีเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนอนของตนเองอย่างครุ่นคิด การเปลี่ยนเวลาที่เกิดจากการเดินทางข้ามทวีปทำให้ร่างกายของเขายังปรับสภาพได้ไม่ดีนัก เขาเดินออกมาข้างล่างเพื่อหาเครื่องดื่นร้อนๆ ดื่ม เมื่อไม่สามารถข่มเปลือกตาให้หลับลงไปได้ เขาเลือกที่นั่งตรงมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เปิดม่านออกให้เห็นกระจกใสที่สามารถมองทะลุสวนหย่อมหน้าบ้านได้ทั้งบริเวณ แสงไฟแรงเทียนต่ำภายในห้องทำให้มองเห็นสวนที่จัดแต่งอย่างงดงามชัดเจนจากสีนวลของแสงจันทร์ที่ส่องสว่างจนเขารู้สึกว่าแม้สัตว์ตัวเล็ก ๆ แอบหลบอยู่ใต้พุ่มไม้ก็มองเห็นได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ได้นั่งมองการทำงานของธรรมชาติที่ผสมผสานกลมกลืนกันอย่างนี้ มันนานพอกันกับเวลาที่เขาไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับขวัญชนกนั้นเลยทีเดียว

“ถ้าขวัญหายไป ปอจะตามหาขวัญไหม”
ขวัญชนกเอ่ยกับเขาเบาๆ ในกลางดึกคืนหนึ่ง เมื่อเขาและหล่อนแอบกลุ่มเพื่อนออกมาชมพระจันทร์เพียงลำพัง

“ไม่ตามหรอก”
เขากระเซ้าหล่อนเล่น ทั้งที่แขนสองข้างของเขายังคงโอบกอดเอวบางของหล่อนไว้ในอ้อมแขน

“ถ้าอย่างนั้นปอมากอดขวัญทำไม”
ขวัญชนกพยายามแกะมือของเขาที่เกี่ยวกอดหล่อนเอาไว้ ทำให้ปรมีรัดวงแขนเขาให้แน่นขึ้น กดจมูกของเขาเพื่อสูดดมกลิ่นกรุ่นของผมสวยของขวัญชนก

“ตามซิ ปอจะประกาศหาขวัญตามบิลบอร์ดทั่วเมืองและประกาศหาตามหนังสือพิมพ์ด้วย”

“จ้างให้ก็ตามหาไม่เจอ”
ขวัญชนกหันกลับมาทำตาโตให้กับเขา

“แต่ถ้าปอเดินตามพระจันทร์ไป ปอถึงจะหาขวัญเจอ ง่ายๆ”
ขวัญชนกเน้นเสียงคำว่า “ง่ายๆ”

ทำให้เขาฟังแล้วเหมือนกับว่ามันจะเป็นอย่างที่หล่อนว่านั้นจริงๆ รวมทั้งสีหน้าแววตาของขวัญชนกที่แย้มยิ้มพริ้มพรายอยู่ตรงหน้าทำความรู้สึกของเขาให้พลุ่งพล่าน ร่างบางอรชรอุ่นอัดแน่นไปด้วยเนื้อสาวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ปรมีไม่กล้าวาดรอยหมองเอาไว้ในร่างกายของขวัญชนก หล่อนสะอาดไปทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งที่เขาอยากจะทำอะไรหล่อนมากกว่าการตระกองกอดอยู่แค่นั้น

“เห็นไหมพอขวัญหยุดเดินพระจันทร์ก็หยุดเหมือนกัน”

หล่อนพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็นจริง

“ขวัญเดินไปซ้ายพระจันทร์ก็ไปซ้าย พอขวัญไปทางขวาพระจันทร์ก็ไปทางขวาด้วย”

หล่อนเดินไปซ้ายก่อนหันกลับมาเดินไปทางขวาแสดงลักษณะตามที่หล่อนพูด ปรมีกอดอกมองดูหล่อนอย่างเอ็นดูทุกๆ อริยาบทของขวัญชนกนั้นต้องตาต้องใจเขาเสมอถึง แม้เรื่องราวที่หล่อนบอกกล่าวนั้นจะเป็นเรื่องราวเพ้อฝันไร้สาระขนาดไหนในความคิดของเขา

“แล้วที่พระจันทร์จมทะเลหายไปนั้นไงล่ะ”
เขานึกสนุกในการโต้แย้งกับหล่อน

“ก็…”
พอขวัญชนกตอบคำถามเขาไม่ได้ ขวัญก็พาลพาโลกับเขาอย่างกับเด็กๆ เขาวิ่งหนีกลับไปบังกะโลที่พักที่มีเพื่อนๆ นอนเกะกะอยู่เต็มบ้าน

“นอนไม่หลับหรือลูก”
มารดาของเขาตื่นเช้าก่อนใคร

“ฮะแม่”
ปรมีหลับตาลงก่อนจะหายใจยาว

“มีอะไรหรือเปล่าลูก”

ในความเป็นแม่ถึงแม้ว่าไม่ได้ใกล้ชิดเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวคนนี้สักเท่าไหร่ ปรมีเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แต่การที่เขาลุกมานั่งเงียบๆ กับสีหน้าและแววตาครุ่นคิดทำให้คนเป็นแม่รู้สึกกังวล

“ผมอยากไปหาขวัญ”
ปรมีตัดสินใจบอกมารดาถึงความคิดของเขา

“จะดีหรือลูก ถ้าพ่อเขารู้เขาจะว่าอย่างไร อย่าลืมนะว่าลูกมีหนูสาเป็นคู่หมั้นอยู่”

มารดาเตือนสติเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ถึงแม้จะรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวคนนี้เป็นคนว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาขนาดไหน และนางก็รู้สึกเสียใจที่จะมาบังคับจิตใจของลูกในเรื่องอย่างนี้ ในฐานะของการเป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชิวิตขึ้นอยู่กับการนำพาของสามี นางเป็นตัวแทนของคำว่าช้างเท้าหลังอย่างสมบูรณ์ นางไม่เคยรังเกียจรังงอนกับผู้หญิงคนไหนถ้าลูกของนางได้เลือกแล้ว ขอให้เป็นคนดีและเป็นที่รักของปรมีนางก็ยินดีรักด้วย แต่คุณประพัฒน์เขาคิดไปไกลกว่านั้น เขาได้วางแผนทางเดินชีวิตของลูกชายเอาไว้แต่แรกเริ่ม ตั้งแต่ปรมียังเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ และคนอย่างเขาคงไม่ยินยอมปล่อยให้ลูกชายของเขาเดินออกไปนอกรูปนอกรอยที่เขาวาดเอาไว้

“ผมเพียงแค่อยากจะไปดูเท่านั้น ว่าเขาสุขสบายดีแค่ไหน”

ผู้เป็นมารดาได้แต่ถอนหายใจ นางคุ้นเคยเสียแล้วกับการเป็นผู้รับฟังและคล้อยตาม ถึงแม้ว่าการที่ปรมีจะไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่คุณประพัฒน์ตั้งข้อรังเกียจเรื่องชาติตระกูล ทั้งที่ตัวเขาเองก็มาจากตระกูลคนสามัญธรรมดา แต่ด้วยความอุตสาหะและสติปัญญาดีกว่าคนอื่น บวกกับการได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าเมืองต้นตระกูลเก่าแก่จึงเป็นแรงหนุนอย่างดี ช่วยทำให้คนทะเยอทะยานอย่างคุณประพัฒน์ก้าวหน้าในอาชีพได้รวดเร็วกว่าคนอื่นในรุ่นราวคราวเดียวกัน จนในบางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเลือกแต่งงานกับนางนั้น เพื่ออนาคตการงานของเขาเป็นประการสำคัญ

ในบางครั้งคุณประพัฒน์ได้เดินทางไปประชุมสัมมนาคราวละหลายวัน ก็มีข่าวมากระทบหูของนางทั้งที่อยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม แต่นางก็ไม่เคยตีโพยตีพายกับเขา ทุกเรื่องทุกราวที่ผ่านเข้ามาจึงเก็บเงียบอยู่ในใจของนางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเขากลับมาบ้านนางก็ดูแลปรนนิบัติเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตามปกติ การถูกอบรมให้เป็นแม่เหย้าแม่เรือนไม่ให้มีปากมีเสียง บางครั้งก็สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้กับนาง แต่สิ่งที่ทำได้คือแอบปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าถักริมลายสวยด้วยฝีมือประณีตของตนเอง

เมื่อเห็นเด็กขวัญชนกนั้น ทุกท่าทีทุกถ้อยคำและท่วงท่าดูสง่าผ่าเผยถึงแม้เจ้าตัวจะมีรูปร่างบอบบาง ทำให้นางรู้สึกนิยมเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาเหมือนกัน มันเป็นบุคลิกเดียวกันกับคุณประพัฒน์เมื่อตอนหนุ่มนั่นเอง นางมองเห็นลักษณะของคนสามัญที่ไม่สามัญในแววตาของเด็กคนนั้น

************
ปรมีบอกให้คนขับรถของโรงแรมพาเขาไปยังสถานีขนส่ง แทนที่จะไปสนามบิน เขาอยากยืดเวลาทางเดินทางกลับกรุงเทพฯ ให้นานขึ้นสักหน่อย ความสวยงามของปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวของเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้ทำให้เขาอยากอยู่พักผ่อนต่อไปอีกแม้สักชั่วโมงเดียว แต่เขาก็ยังอยากคิดทบทวนอะไรบ้างในระหว่างการเดินทาง

“หนูขวัญเขาย้ายกลับไปเรียนต่อกรุงเทพฯนานแล้ว เขาไม่ได้ส่งข่าวให้คุณทราบหรือ”

คุณยายเจ้าของบ้านเช่าบอกกับเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เปล่าฮะ คือผมไปเรียนต่อเพิ่งกลับมาคิดว่าขวัญยังคงอยู่ที่นี่”

ปรมีบอกตัวเองไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับขวัญชนก เขาแค่เพียงอยากจะแน่ใจว่าขวัญชนกมีใครอื่นแล้ว เพื่อเขาจะได้แต่งงานกับวันวิสาโดยไม่รู้สึกผิดต่อขวัญชนกเพียงแค่นั้นนะหรือ แล้วที่เขารู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าอยู่ในเวลานี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอยู่อย่างไรที่ไหนกับใครไม่ใช่หรือ

***************
เสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นขึ้นมาในห้องเล็กๆ ของขวัญชนกในตอนเช้าตรู่ ตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งเดียวนี้ ขวัญชนกเพิ่งจะรู้สึกชังน้ำหน้าเสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าก็ตอนมาใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ในต่างแดนนี่เอง หล่อนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลับแต่นั้นมันถึงเวลาที่หล่อนจะต้องตื่นได้แล้ว หล่อนได้นอนวันละ 4-5 ชั่วโมงก็จริง แต่เป็นการนอนที่ในหัวของหล่อนเต็มไปด้วยข้อมูลและรูปแบบสมการต่างๆในงานวิจัย ด้วยระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าเพียงแค่หกเดือนทำให้หล่อนต้องเร่งทำงานจนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน

ความยุ่งยากของขวัญชนกไม่เพียงแต่แค่นั้นการเป็นชาวเอเชียคนเดียวในกลุ่มผู้วิจัยทั้ง 8 คนนั้นหล่อนมีอาวุโสน้อยที่สุด กว่าขวัญชนกจะทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของคนในกลุ่มนั้น หล่อนต้องใช้กลวิธีมากมายแต่ด้วยความโอบเอื้อของนิสัยคนตะวันออกนั่นเอง ที่เป็นเครื่องมืออย่างดีสำหรับหล่อน การอาสาทำงานในส่วนที่ใครๆ ไม่สนใจและในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบขวัญชนกก็ทำได้ดีนั่นเอง ทำให้ชาวต่างชาติต่างภาษาหันมาสนใจหญิงสาวตัวเล็กๆ คนนี้จากเมืองไทยด้วยความชื่นชม

วันนี้จะมีคณะรัฐมนตรีและผู้ติดตามที่มาจากเมืองไทยมาเยี่ยมชมการทำงานวิจัยระหว่างประเทศ มันเป็นงานที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าการนั่งจมอยู่กับกองข้อมูลมหึมาเพื่อสรุปหาสมมติฐานการวิจัยเสียอีก แต่ขวัญชนกจำเป็นต้องลุกขึ้นแต่งตัวออกไปทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่มาเยือนในสายของวันนี้ เสียงเป่าปากเฟี้ยวฟ้าวดังมาจากลุ่มผู้ชายหนุ่มและไม่หนุ่มที่นั่งรวมกันอยู่ก่อนหน้าที่ขวัญชนกจะเดินเข้ามาแล้ว ขวัญชนกยิ้มหวานให้กับทุกคนขณะที่ย่อกายถอนสายบัวอย่างงดงาม วันนี้หล่อนแต่งตัวเป็นพิเศษกว่าเคยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเพื่อนรวมงานวิจัยหนุ่มๆ ของหล่อนได้ ขวัญชนกจัดการเชื่อมต่อข้อมูลในส่วนของหล่อนเข้าไปในเครื่อข่ายของทุกคน และเปิดรับข้อมูลของทุกคนที่ป้อนเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของหล่อน ก่อนออกไปที่ห้องรับรองเมื่อเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้ว

ขวัญชนกคว้าเสื้อโค้ตที่แขวนอยู่มุมประตูสวมมาทับชุดเข้ารูปแบบเก๋เหมาะกับรูปร่างได้สัดส่วนของหล่อน ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินตรงไปตามเทอเรสหน้าตึกที่เป็นทางเชื่อมไปยังอีกตึกหนึ่ง หล่อนเคาะประตูเบาๆ ก่อนผลักประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน

ศาสตราจารย์ชาวอินเดียผู้เป็นประธานควบคุมการทำงานคณะวิจัยของขวัญชนกลุกขึ้นยืน กล่าวแนะนำขวัญชนกแก่อาคันตุกะผู้มาเยือน ขวัญชนกยกมือไหว้ทุกคนแทนการจับมือตามธรรมเนียมชาวตะวันตก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อในทฤษฎีโลกกลมเพราะมันเกิดขึ้นกับขวัญชนกมาแล้วถึงสองครั้งสองครา

ท่าทางประหลาดใจของคุณประพัฒน์บิดาของปรมี เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้านั้นคือขวัญชนกยิ่งทำให้หล่อนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น รู้สึกรักศาสตราจารย์ชาวอินเดียท่านนี้ขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าพันทวี ค่าที่เขาเอ่ยคำยกยอหล่อนจนเกินจริงให้หมู่อาคันตุกะชาวไทยเหล่านั้นฟัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งขวัญชนกและกลุ่มเพื่อนที่ทำงานวิจัยร่วมกันต่างไม่ขอบศาสตราจารย์ท่านนี้มากนัก ด้วยเวลาเข้าร่วมฟังความคืบหน้าของงานวิจัย เขามักจะกล่าวชื่นชมการทำงานของทุกคนว่า ดีมาก ยอดเยี่ยมมาก เป็นประโยคที่ออกจากปากเขาอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาให้คะแนนผลงานกลับเป็นไปอีกด้าน
ขวัญชนกเดินนำคณะผู้มาเยี่ยมชมผลงานวิชาการไปเยี่ยมชมยังภาควิชาต่าง ๆ ทั่วทั้งมหาวิยาลัยแห่งนี้ ก่อนจะพาเข้าไปดูห้องทำงานวิจัยของหล่อนเป็นอันดับสุดท้าย คืนนั้นหล่อนกลับมาถึงที่พักเกือบเที่ยงคืน หลังจากการไปกินเลี้ยงรับรองจากรัฐมนตรีตามคำเชิญ







Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2550 12:21:10 น. 0 comments
Counter : 211 Pageviews.  
 
Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ดาวสีแดง
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็น บล็อคเกอร์ สมัครเล่นครบไตรมาสในต้นปี 2550 พอดี เขียนอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งสาระ และไม่มีสาระ ทุกคนใน บล็อคแก๊งค์ เป็นบุคคลแห่งปี ถูกต้องแล้วคร๊าบ ในเมื่อสื่อกระแสหลักไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ และ บล็อคแก๊งค์คือก็คำตอบหนึ่งของสังคมปัจจุบัน การเขียนเป็นความชอบส่วนตัว เขียนทั้งนวนิยายเรื่องยาว (Far away) เอาไว้นานแล้ว เขียนเรื่องสั้น เอาไว้ก็หลายเรื่อง เขียนบทความ (ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่ง ในฐานะคอลัมภ์นิสต์ ประจำฉบับ) เขียนเอาไว้เยอะมาก แต่ไม่มีพื้นที่ลงผลงานให้คนอื่นได้วิจารณ์ ก็เลยถือโอกาส จะทยอยเอามาลงใน blog gang ซะเลย ขอบคุณ blog gang และเพื่อน ๆ ในนี้ที่ให้โอกาสดีอย่างนี้
[Add ดาวสีแดง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com