จอมขบถอารมณ์ไหว
 
 

faraway ตอนที่ 7

ปรมีย์ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนขวัญชนกอย่างไรดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวดเร็วเพียงชั่วข้ามคืนจนเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่กล้าถามตนเองด้วยซ้ำไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขายืนยันว่าจะแต่งงานกับขวัญชนกตามที่เขาได้บอกกับหล่อนเอาไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นการปกป้องหน้าตาและชื่อเสียงของหล่อน ในภาวะที่ขวัญชนกกำลังถูกมรสุมของข่าวถาโถมมาอย่างนี้ แต่เมื่อบิดาของเขาประกาศออกมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่าขวัญชนกคือศัตรูหมายเลข 1 ของท่าน อย่างปรมีย์นะหรือจะกล้าทำร้ายบิดาของตนเองเพื่อผู้หญิงที่ตนเองรัก

ขวัญชนกสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ความรู้สึกเริ่มปลอดโปร่งขึ้น หล่อนลุกขึ้นยืนมองทะลุกระจกออกไปยังตึกสูงเบื้องหน้าชำเลืองมองชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าครุ่นคิดอยู่ข้างๆ

“คุณไม่ต้องลำบากใจในเรื่องระหว่างเราทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันคนเดียว”

ขวัญชนกหมุนตัวหันกลับไปเผชิญหน้ากับปรมีย์ รูปร่างบอบบางของขวัญชนกดูทรนง องอาจขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งขณะเดินตัวตรงออกไปจากห้องทำงานของปรมีย์ ในความรู้สึกของขวัญชนกนั้นปรมีย์ในวันนี้กับปรมีย์เมื่อสิบปีก่อนไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือผิดแผกไปจากเดิมเลย เส้นทางและวิธีชีวิตของเขาล้วนแต่เป็นสิ่งที่บิดาของเขาเลือกเอาไว้ให้ปรมีย์เดินแล้วทั้งสิ้น ขวัญชนกบอกให้ตนเองเลิกหวังที่จะให้ปรมีย์หาญกล้า กระโดดออกมาปกป้องหล่อนนั้นมันเป็นเรื่องที่ยากเต็มที ด้วยเหตุนี้กระมั่งที่ทำให้ขวัญชนกไม่เคยโกรธปรมีย์เลยไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อนหรือว่าวันนี้

“เข้ามา”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นขณะที่อารมณ์พลุ่งพล่านของท่านรองสุรชาติเริ่มผ่อนเบาลงหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับถูกปาทิ้งกระจายเกลื่อนเต็มห้อง

“ไปบอกพวกนักข่าวให้กลับไป วันนี้ฉันไม่ให้ข่าวทั้งนั้น”
น้ำเสียงยังคงบอกอารมณ์ของคนพูดถึงแม้พยายามจะควบคุมอารมณ์อย่างเต็มที่

“คุณหญิงให้เชิญท่านลงไปแถลงข่าวพร้อมกันครับ”
มือปืนคนสนิทของคุณหญิงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงประตู สายตาเย็นชามองตรงมายังท่านรองสุรชาติเขม็ง

ภาพการแถลงข่าวของท่านรองสุรชาติกับคุณหญิงสุวรรณีถึงโครงการที่จะบินไปพักผ่อนรวมกันหลังจากการประชุมสภาในเดือนหน้าเสร็จสิ้นลง ปรากฎขึ้นในโทรทัศน์ทุกช่อง พร้อมกับการปฏิเสธข่าวในเรื่องความเกี่ยวพันธ์กับ สส.บัญชีรายชื่อหน้าใหม่อย่างดอกเตอร์ขวัญชนก โดยเบี่ยงประเด็นให้เป็นเรื่องของการเมือง ขวัญชนกกดปิดทีวีหลังการแถลงข่าวเสร็จ การออกมาเบื้องหน้าของคุณหญิงสุวรรณีในครั้งนี้สร้างความหวั่นใจให้กับหล่อนไม่น้อย

กิติศัพท์ของคุณหญิงสุวรรณีในเรื่องของการเป็นผู้ทรงอิทธิพลในการให้เงินสนับสนุนพรรคนั้นเป็นที่รู้กันทั่วไปภายในพรรคว่า การเติบใหญ่ของท่านรองสุรชาตินั้นมาจากการสนันสนุนของผู้อยู่เบื้องหลังอย่างคุณหญิงสุวรรณีทั้งสิ้น
การมีข่าวทำนองนี้ของท่านรองย่อมสร้างความไม่พอใจอย่างหนักสำหรับคุณหญิง ในระยะนี้ขวัญชนกแน่ใจได้ว่าท่านรองสุรชาติผู้ที่ได้ชื่อว่าเกรงใจภรรยาเป็นนักหนานั้นไม่กล้ามาตอแยกับหล่อนเป็นแน่

ขวัญชนกยกมือไหว้ผู้หญิงสูงวัยที่ยังคงงามสง่าและหน้าเกรงขาม คุณหญิงสุวรรณีกำลังนั่งพูดคุยอยู่กับท่านหัวหน้าพรรคในห้องรับรองของพรรค ท่าทางของท่านหัวหน้าพรรคที่แสดงออกต่อผู้หญิงผู้นั่งอยู่เบื้องหน้าบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคุณหญิงสุวรรณีคือผู้มีบทบาทอย่างแท้จริงภายในพรรค

“นี่คือดอกเตอร์ขวัญชนกครับคุณหญิง”
ท่านหัวหน้าพรรคแนะนำด้วยน้ำเสียงกรงอกเกรงใจจนขวัญชนกรู้สึก สายตาคมกริบของคุณหญิงสุวรรณีมองตรงมาที่ขวัญชนก

“เดี๊ยนขอคุยกับดอกเตอร์ขวัญชนกเป็นการส่วนตัวนะท่านหัวหน้าพรรค”
คุณหญิงเอ่ยขึ้นก่อนที่บรรยากาศแห่งความอึดอัดจะเพิ่มมากกว่านี้

“เชิญเลยครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน แต่คุณหญิงอย่างเพิ่งกลับนะครับ ผมมีธุระสำคัญจะปรึกษา”

คุณหญิงสุวรรณีพยักหน้าเป็นการตอบรับและรอจนกระทั่งท่านหัวหน้าพรรคเดินเข้าไปในห้องทำงานแล้วปิดประตูตามหลังเบาๆ เปิดโอกาสให้ผู้หญิงต่างวัยสองคนนั่งเผชิญหน้าในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ

“ตามสบายนะดอกเตอร์ขวัญชนก”
คุณหญิงสุวรรณีเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นที่ท่าตรึงเครียดของหญิงสาววัยคราวลูก แต่แววตาของคุณหญิงทีมองตรงมานั้นกับไม่ได้ทำให้ขวัญชนกรู้สึกตามนั้นเลย

“คุณหญิงมีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือคะ”
ขวัญชนกตัดสินใจเปิดประเด็น

“ฉันเห็นข่าวเธอกับท่านรองแล้วไม่สบายใจ”
คุณหญิงสุวรรณีเริ่มเรื่องอย่างไม่อ้อมค้อม

“ถ้าเป็นเด็กสาวคนอื่นๆ ฉันคงใช้เงินฟาดหัวไปแล้ว”
คุณหญิงสุวรรณีปรายตาไปยังมือปืนสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ตรงประตูแววตาเหียมเกรียม

“แต่นี่เธอเป็นถึงดอกเตอร์ขวัญชนก เธอควรจะรู้ตัวเองดีนะว่าจะดูแลตัวเองอย่างไร ถ้าคิดจะอยู่ในวงการนี้”
กล่าวจบประโยคคุณหญิงสุวรรณีก็ลุกขึ้นกล่าวเดินออกไป

“เดี๋ยวก่อนคะคุณหญิง”
ขวัญชนกตัดสินใจขณะที่คุณหญิงสุวรรณีชะงักเท้าแล้วค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ มองหน้าดอกเตอร์ขวัญชนกเขม็ง
ขวัญชนกลุกขึ้นยืนยืดอก

“ดิฉันไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่คุณหญิงพูดค่ะ”

คุณหญิงเดินกลับมาอย่างรวดเร็ว ยืนประจันหน้ากับขวัญชนก
“หรือเธออยากจะลองดีกับฉัน”
เสียงคุณหญิงคำรามรอดไรฟันออกมาพร้อมกับสีหน้าโกรธเกรี้ยว

“ดิฉันไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลยคะ ดิฉันขอโทษถ้าทำให้คุณหญิงไม่พอใจ” ขวัญชนกบอกให้ตนเองตั้งสติให้มั่น ผู้หญิงที่ทรงอำนาจที่ยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นอยู่เบื้องหน้าหล่อนนี้มีอำนาจในการที่จะชี้เป็นชี้ตายในพรรคการเมืองใหญ่แห่งนี้ขนาดไหน กระทั้งท่านรองสุรชาติเองทุกอย่างก้าวทางการเมืองมาจากการชี้นำจากคุณหญิงสุวรรณีทั้งสิ้น

“คุณหญิงยินดีที่จะรับฟังไหม ถ้าหากว่าดิฉันจะอธิบาย”
มันเป็นโอกาสของเธอแล้วขวัญชนก โอกาสที่จะปลดเปลื้องบ่วงพันธะระหว่างหล่อนกับท่านรองสุรชาติ

“ทำไมคนอย่างฉันจะต้องมาฟังคำอธิบายจากเธอ”
คุณหญิงตวัดสายตาอย่างหยามหยัน

“ฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะเป็นผู้ชี้เป็นชี้ตายให้กับเธอ”

“หากแต่เรื่องนี้คุณหญิงจะต้องฟัง”
ขวัญชนกสวนกลับด้วยน้ำเสียงและทีท่าไม่ต่างกัน ผู้หญิงสองวัยยืนเผชิญหน้ากันอยู่กลางห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาตามไรผมที่เกล้ามวยขึ้นอย่างสวยงามของคุณหญิงสุวรรณีขณะที่ขวัญชนกรู้สึกถึงความเย็นเฉียบของเลือดที่ฉีดพล่านไปทั่วร่างกายของตนเอง

คนคุ้มกันของคุณหญิงสุวรรณีทั้งสองคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ตรงประตูทางออกเริ่มขยับตัว อีกคนหนึ่งเดินปราดเข้ามาตรงที่คุณหญิงกับขวัญชนกยืนเผชิญหน้ากันอยู่อย่างรวดเร็ว คุณหญิงสุวรรณียกมือห้ามขณะที่ขวัญชนกยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน

“ดิฉันคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมใช่ไหมคะคุณหญิง”
ขวัญชนกปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าคุณหญิงสุวรรณีก่อนจะดึงแผ่นดิสถ์ขนาดเล็กที่มีการบันทึกรายละเอียดทั้งหมดยื่นให้กับคุณหญิง

“เพื่อว่าคุณหญิงอยากจะดูให้ละเอียดกว่านี้”
ขวัญชนกรู้สึกถึงความโชคดีของตนเองที่ได้รู้จักกับธงทิว คุณหญิงสุวรรณีไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย เมื่อเห็นเครื่องหมายสัญญลักษณ์ของหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาติดหราอยู่บนหน้าข้อมูลทุกหน้าที่ปรากฎในจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเครื่องหมายประทับว่า ลับสุดยอด แต่ขวัญชนกเชื่อว่าหล่อนมีข้อมูลสำคัญมากพอที่จะทำให้คุณหญิงสุวรรณียินยอมตกลงตามเงื่อนไขของหล่อนอย่างไม่มีข้อแม้

คุณหญิงสุวรรณีปัดแผ่นดิสท์ในมือของขวัญชนกตกลงบนพื้นห้องอย่างไม่แยแส

“เธอคิดหรือว่าจะมาแบล็คเมย์ฉันง่ายๆ"
แววตาของคุณหญิงแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้ขวัญชนกเห็น

"เพียงฉันให้คนของฉันมาหักคอเธอแล้วแจ้งว่าเธอประสบอุบัติเหตุ ฉันก็ทำได้เพียงแค่กระพริบตา”
คุณหญิงหวังว่าจะเห็นความหวาดหวั่นในกริยาของขวัญชนก

“คนฉลาดอย่างคุณหญิงคงไม่ทำอะไรอย่างนั้นแน่ค่ะ”
ขวัญชนกเดินช้าๆ อ้อมมายังด้านหลังของเก้าอี้ที่คุณหญิงนั่งอยู่

“ทุกคำพูดทุกการเคลื่อนไหวของห้องนี้ถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว คุณหญิงก็รู้” ขวัญขนกระซิบเบาๆที่หูของคุณหญิงสุวรรณี

“แน่นอนว่าถ้าในขณะนี้มีใครจับตามองการเคลื่อนไหวของเราอยู่ขณะนี้ เขาย่อมอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ดิฉันให้คุณหญิงดูแน่”
ขวัญชนกสูดลมหายใจเข้าปอดตนเองลึกๆ

“และถ้าหากดิฉันเป็นอะไรไป ข้อมูลนี้จะถูกออนไลน์ไปยังสื่อต่างๆ รวมทั้งทีสำนัก ปปง. ก็ไม่ละเว้น และคุณหญิงอย่าคิดว่าเรื่องมันจะจบง่ายๆ แค่นั้น สำนักข่าวกรองของอเมริกาเขาคงไม่เองคุณหญิงไว้ คุณหญิงน่าจะรู้ข้อมูลลับสุดยอดอย่างนี้ถ้าดิฉันไม่มีสายสัมพันธ์ที่ดีพอดิฉันจะได้มาครอบครองได้อย่างไรกัน”

“เธอต้องการเท่าไรขวัญชนก”

คุณหญิงสุวรรณีพูดเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่สองคนแต่ชัดถ้อยชัดคำ
ขวัญชนกเดินอ้อมกลับไปทีโต๊ะทำงานตัวใหญ่กลางห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ตรงข้ามกับคุณหญิง

“คุณหญิงเข้าใจดิฉันผิดค่ะ”
ขวัญชนกกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ

“ดิฉันเพียงแค่อยากจะทำความเข้าใจคุณหญิงเท่านั้นว่าเราต่างมีทางเดินเป็นของตนเอง ทางของคุณหญิงดิฉันก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพียงแต่คุณหญิงอย่ามาขวางทางของดิฉัน”

ขวัญชนกหลับตานิ่งๆ ท่องบทสวดมนต์ในใจช้าๆ เป็นการเรียกสติและสมาธิให้กับตนเอง ทบทวนก้าวเดินของชีวิต มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อเหลือเกินกับชีวิตดอกเตอร์ขวัญชนกในปัจจุบันกับตำแหน่งที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของพรรคแกนนำรัฐบาลชุดปัจจุบัน มันช่างพลิกพลันกันอย่างลิบลับกับเด็กหญิงขวัญชนกที่มีชีวิตเรียบง่ายในต่างจังหวัด
…เด็กคนนี้เขาไม่ใช้คนธรรมดาเหมือนเราๆ ท่านๆ ที่อยู่ตรงนี้หลอก… ขวัญชนกนึกถึงคำพูดของชายชราคนหนึ่งที่ทักทายหล่อนเอาไว้เมื่อตอนที่หล่อนยังอยู่ในวัยเยาว์ แต่มันเหมือนกับว่าขวัญชนกยังจดจำคำกล่าวนี้ได้อย่างชัดเจนทุกถ้อยคำ

มันไม่ใช่เกิดจากความดิ้นรนทะยานอยาก ขวัญชนกไม่เคยฝันถึงอนาคตของตนเองว่าจะไปได้ถึงไหนและอย่างไร เหมือนกับว่าโชตชะตาได้พาหล่อนมาจนถึงจุดนี้และดูเหมือนว่าหล่อนจะถอยหลังกลับไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

เสียงเคาะประตูเบาๆ ดึงขวัญชนกให้ออกมาจากพะวัง ขวัญชนกขยับตัวเปลี่ยนท่าทีขณะประตูห้องถูกเปิดออกมา

“ดอกเตอร์ขวัญชนกครับ มีนักข่าวมารอสัมภาษณ์ข้างนอกครับ”
เลขาหน้าห้องหนุ่มของขวัญชนกบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ

“คุณภุชงค์นัดพร้อมกันให้หมดทุกช่องเลยนะ อีก 15 นาทีดิฉันจะลงไปที่ห้องแถลงข่าว”

ภาพการแถลงข่าวของดอกเตอร์ขวัญชนกถูกถ่ายทอดสดออกไปทุกสถานีโทรทัศน์ ขวัญชนกนั่งดูภาพข่าวของตัวเองที่ตัดตอนมารายงานซ้ำอีกครั้งในข่าวภาคค่ำ รอยยิ้มอย่างพอใจปรากฏบนสีหน้า

หญิงสาวคนหนึ่งกับแสงแฟลชวูบวาบในโทรทัศน์ ไม่ได้สร้างความหวั่นไหวให้กับขวัญชนกเลย หล่อนตอบคำถามทุกคำถามชัดเจน ท้ายที่สุดหล่อนก็ไม่ลืมเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองในการถูกผู้ไม่หวังดีนำข่าวที่ไม่เป็นจริงมาโจมตี
ขวัญชนกเลือกไม่ให้ข้อเท็จจริงใดๆ โดยอ้างอยู่ในระหว่างมติการประชุมของพรรค จะเป็นการดีกว่านี้ถ้าหากว่าจะให้บุคคลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ออกมาชี้แจง

“ครั้งนี้จะเป็นการแถลงข่าวของดิฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เพราะเห็นว่าอยู่ในความสนใจของประชาชน แต่งานด้านเศรษฐกิจเป็นงานที่หนักมากในภาวะเศรษฐกิจบ้านเราเป็นอย่างนี้ครั้งต่อไปเราจะคุยกันเรื่องงานอย่างเดียวคะ”
ขวัญชนกกล่าวปิดท้ายก่อนขอตัวหลังจากกลุ่มสื่อมวลชน

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเดินเปิดทางกันนักข่าวออกไปให้ดอกเตอร์ขวัญชนกเดินออกไปจากห้องแถลงข่าวพร้อมกับแสงแฟลชวูบวาบ ภาพของความโกลาหลของกองทัพนักข่าวที่ยังปรากฏอยู่ในหน้าจอทีวี ปรมีย์ปิดสัญญาณภาพข่าวโทรทัศน์รู้สึกทึ่งในความเป็นดอกเตอร์ขวัญชนก ความเจ้าเสน่ห์ของขวัญชนกไม่เคยจางไปจากความรู้สึกของเขาเลย ถึงแม้ว่าเขาจะคลางแคลงใจขนาดไหนเพียงแค่ขวัญชนกเอ่ยถ้อยคำสักคำหนึ่งก็สามารถทำให้เขาเป็นอะไรได้ตามแต่หล่อนอยากให้เป็น

ปรมีย์รู้สึกเป็นห่วงบิดาของตนเองขึ้นมาทันที เห็นชัดเจนว่าดอกเตอร์ขวัญชนกกำลังประกาศสงครามกับคนที่บังอาจเข้าไปขุดคุ้ยและตีแผ่เรื่องราวของหล่อน ขวัญชนกทำได้ดีทีเดียวในการที่จะเปลี่ยนตัวนำของข่าวอื้อฉาวนี้จากตนเองและท่านรองสุรชาติให้กลายเป็นเรื่องของเกมส์การเมืองของผู้ไม่ประสงค์ดี

คะแนนความนิยมของดอกเตอร์ขวัญชนกพุ่งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ สส.ในอุดมคติของประชาชนภายในชั่วข้ามคืน การประกาศรายชื่อคณะที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจในทีมของดอกเตอร์ขวัญชนก มีบุคคลภายนอกถึง 7 ใน 10 คนแสดงให้เห็นพลังทางการเมืองของดอกเตอร์ขวัญชนกในเวลานี้อย่างที่ไม่มีใครทัดเทียมได้

“ไม่ออกไปหรือคะคุณ”
คุณรสสุคนธ์เอ่ยถามสามีเบาๆ อย่างเกรงใจ ไม่กล้าแม้กระทั่งเอ่ยชื่อสถานที่ที่สามีของนางลงทุนลาออกจากงานประจำก่อนเกษียนอายุงาน เพื่อปูทางให้ตนเองและลูกชายก้าวเข้าไปมีบทบาทและอำนาจในทางการเมืองตามความฝันของตนเอง

“คุณรสคุณจะรังเกียจไหมถ้าผมจะเป็นตาแก่เฝ้าบ้าน” คุณประพัฒน์มองหน้าที่ยังคงมีเค้าความงามอยู่ของผู้เป็นภรรยา
“พูดอะไรอย่างนั้นคะคุณ” นานมาแล้วที่นางไม่ได้ยินคำเรียกชื่อสั้นๆ ของนางจากปากผู้เป็นสามี “ทานก่อนเถอะคะ เดี่ยวจะเย็นเสียหมดอร่อย” บอกกับผู้เป็นสามีอย่างอ่อนโยน เกือบสี่สิบปีที่ใช้ชีวิตรวมกันมาทำให้คุณรสุคนธ์รู้ว่าการปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีครั้งนี้มันเกิดขึ้นพร้องมกับการเปลียนแปลงคุณประพัฒน์ผู้เป็นสามีของนางด้วย
“เราไปเยี่ยมคุณไพบูลย์กันไหมคุณ” คุณประพัฒน์เอ่ยถึงเพื่อนเก่า บิดาของวันวิสาอดีตลูกสะใภ้หลังจากที่วางช้อนซ้อมลงเมื่ออิ่มอาหาร ขณะที่คุณรสสุคนธ์แทบสำลักข้าวต้มกุ้งคำสุดท้ายของตนเองในเช้าวันนี้
“ว่าอะไรนะคะคุณ” คุณรสสุคนธ์ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“คุณก็ได้ยินชัดเจนแล้วนี้” คุณประพัฒน์ตวัดเสียงอย่างกระดากมากกว่าโกรธขึ้ง ขณะเปิดหนังสือพิมพ์มาเปิดอ่านเพื่ออำพรางความรู้สึกมากกว่าที่จะสนใจข่าวสารในหนังสือพิมพ์นั้น
คุณรสุคนธ์ลอบสังเกตุสีหน้าผู้เป็นสามีขณะพลิกหนังสือพิมพ์อ่านข่าวอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าในหน้าข่าวทุกฉบับภาพ และการเครื่อนไหวในการทำงานทางด้านเศรษฐกิจของดอกเตอร์ขวัญชนก ที่ประชาชนทั้งประเทศกำลังชื่นชมในขณะนี้ย่อมปรากฏแก่สายตาของคุณประพัฒน์ นี่กระมังที่เขาเรียกกันว่าแข่งอำนาจแข่งวาสนามันแข่งขันกันไม่ได้เลย และดูเหมือนว่าสามีของนางคงมองเห็นความจริงในข้อนี้ ความเกรี้ยวกราดในสีหน้าและแววตาที่เคยมีอยู่เป็นนิจเมื่อได้รับข่าวความก้าวหน้าที่เขาพยายามแข่งด้วยอย่างไม่ได้ตั้งใจนั้นจึงดูสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็น
“คุณยิ้มอะไรคุณรส” น้ำเสียงเข็มของสามีที่พับหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านลงบนโต๊ะ
“ดิฉันดีใจยิ่งกว่าได้เป็นคุณหญิงรัฐมนตรีอีกค่ะที่เห็นคุณเป็นอย่างนี้” นางกล่าวความจริงนี้กับสามีด้วยน้ำเสียงและแววตารักใคร่นั้นทำให้รอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนสีหน้าคุณประพัฒน์
ภาพของเหล่าที่ปรึกษารับเชิญที่ล้วนแล้วเป็นพวกนักวิชาการทางด้านเศรษฐกิจที่มีดีกรีดอกเตอร์จากสถาบันต่างประเทศชั้นนำ ดูจากรายชื่อแล้วก็รู้ว่ามาจากสายทางด้านเศรษฐกิจและการเงินในกลุ่มของดอกเตอร์ขวัญชนกที่กล่าวขึ้นมาทาบทับกลุ่มนักการเมืองกลุ่มเดิมอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยมีความเชื่อมั่นว่ากลุ่ม สส.ที่ตนเป็นฐานเสียงให้นั้นจะไม่มีวันจะทรยศหักหลังเขาที่แสดงตนเป็นฝ่ายปฏิปักกับกลุ่มนักวิชาการภายนอกอย่างโจ่งแจ้งอย่างคุณประพัฒน์ถูกเบียดให้ถอยหลังออกไปให้อยู่ในวงนอก ขณะที่กลุ่มคนที่เขาเคยสนับสนุนกลับเปลี่ยนทีท่าไปได้อย่างหน้าอัศจรรย์ เพียงแค่มองเห็นอนาคตของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังรุ่งโรจน์โชติช่วง
“เวทีการเมืองไม่มีที่ว่างสำหรับคนที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงอย่างผมหรอกคุณรส” น้ำเสียงขื่นขมของคุณประพัฒน์ทำให้คุณรสุคนธ์เอื้อมมือไปบีบมือผู้เป็นสามีเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าคุณประพัฒน์ทำให้เขาต้องยอมรับว่าตลอด 5 ปีที่เขาทุ่มเทให้กับการปูทางเพื่อให้ตนเองเข้าไปสู่เวทีการเมืองนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ด้วยสภาวะการณ์ของบ้านเมืองในขณะนี้คนทีสามารถอธิบายปรากฏการทางด้านเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้และเสนอแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้นั้นคือสิ่งที่ประชาชนอยากได้ยิน การพูดเรื่องการยกระดับรายได้ของประชาชน การเพิ่มผลผลิตประชาชาติด้วยการกระตุ้นให้ตัวเลขชี้นำทางด้านเศรษฐกิจดีขึ้น จึงดูเหมือนว่าจะสามารถครองใจประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศได้ ดังนั้นเสียงของกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจจึงดังเสมอในการประชุมนโยบายบริหารของพรรค
เสียงปรบมือดังขึ้นกึกก้องหลังจากโฆษกพรรคกล่าวสรุปผลการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรค จากตัวเลขชี้นำทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่เป็นตัวชี้วัดผลงานของคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ที่กลายเป็นคำตอบที่สามารถตอบโจทย์ของประชาชนได้ตรงที่สุดของคณะรัฐบาลชุดนี้ การประเมินผลการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น สามารถเรียกคะแนนนิยมให้กับพรรคขึ้นนำหน้าพรรคการเมืองอื่นจนทาบไม่ติด ปรมีร์มองเห็นดร.ขวัญชนกยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางนักการเมืองทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่ต่างเข้าไปแสดงความยินดีกับความสำเร็จของทีมเศรษฐกิจ
น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำของดอกเตอร์ขวัญชนกขณะขึ้นไปปราศัยในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจสะกดให้คนที่อยู่ในห้องประชุมหันไปสนกิจกรรมบนเวทีแทนอาหารรสเลิศที่อยู่บนโต๊ะ นักวิชาการทางเศรษฐกิจระดับแถวหน้าของประเทศทะยอยขึ้นไปยืนบนเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังขึ้นตลอดเวลา
ปรมีย์รู้สึกเหมือนดังว่า ขวัญชนกอยู่ห่างจากเขาคนละฟากฟ้าทั้งที่หล่อนอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ ในความรู้สึกของเขานั้นเขาอยากย้อนคืนวันให้กลับไปเขาอยากได้ขวัญชนกคนเก่าของเขาคืนมา เขาจะอยู่กับขวัญชนกได้อย่างไรถ้าหากว่าเขารู้สึกเหมือนกับหล่อนเป็นเหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น แต่ปรมีร์รู้ดีว่าเขาไม่มีทางทิ้งขวัญชนกไปไหนได้เพราะว่าเขาเป็นคนที่เก็บข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศที่ดอกเตอร์ขวัญชนกให้ความไว้วางใจมากที่สุด
“ขวัญเดินหาตั้งนานมายืนแอบอยู่ตรงนี้เอง” น้ำเสียงเป็นกันเองของดอกเตอร์ขวัญชนกดังขึ้นเบาๆ ใกล้หูของเขา ปรมีย์ชอบมองผ่านกระจกของตึกสูงระฟ้าโดยเฉพาะในยามดึกอย่างนี้ แสงไฟตามถนนที่มองเห็นวิบวับอยู่เบื้องล่าง การเคลื่อนไหวของไฟหน้ารถยนต์ที่มองเห็นตามถนนสายต่างๆ ที่อยู่ใกล้และไกลออกไปทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งขึ้น
“คุณควรจะกลับเข้าไปในงานนะครับ ดอกเตอร์ขวัญชนก” ปรมีย์กล่าวน้ำเสียงเรียบ เมื่อเห็นว่าขวัญชนกยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ลมเย็นจากภายนอกเบียดแทรกเข้ามาในเนื้อกายจนเขารู้สึก
“หมดหน้าที่ของดอกเตอร์ขวัญชนกแล้ว” ขวัญชนกกล่าวเรื่อยๆ ปรมีย์หันขวับกลับมาจ้องตาขวัญชนก
“คุณไม่มีวันหมดหน้าที่หรอก ตราบใดที่คุณยังยืนอยู่ตรงนั้น” เขากล่าวน้ำเสียงเข้มจนขวัญชนกรู้สึก
“ปอโกรธขวัญเรื่องอะไร” ขวัญชนกตกใจในทีท่าของปรมีย์
“ลูกน้องมีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธเจ้านายเล่าครับ ดอกเตอร์ขวัญชนก” ปรมีย์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขื่นก่อนก้าวเท้าเดินจากไปตามทางเดินของระเบียง
“หยุดนะปอ คำก็ดอกเตอร์ขวัญชนกสองคำก็ดอกเตอร์ขวัญชนก” ขวัญชนกรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้าง ปรมีย์คือผู้ชายคนที่ขวัญชนกคิดว่าเขารักหล่อนมากที่สุดและไม่มีวันที่ปรมีย์จะเดินไปจากชีวิตของหล่อน
“หรือว่าคุณจะปฏิเสธในสิ่งที่คุณเป็น ในสิ่งที่คุณน่าจะทำแต่คุณไม่ยอมทำ” เสียงปรมีย์หยามหยัน
“แล้วคุณไม่ชอบหรือในสิ่งที่ฉันเป็นตอนนี้” ขวัญชนกสวนกลับ ไม่มีอะไรจะหยุดขวัญชนกในครั้งนี้ได้ “หรือคุณอยากให้ฉันเป็นแค่นางสาวขวัญชนกที่แสนกระจอกงอกง่อยที่คุณพ่อของคุณตั้งข้อรังเกียจ” ขวัญชนกหอบเหนื่อยกับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของตนเอง
“คุณก็เลยทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาชนะพ่อผม” ปรมีย์เดินยามสามขุมกลับเข้ามาจนขวัญชนกต้องเป็นฝ่ายถอย “ผมจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งนะดอกเตอร์ขวัญชนก ผมไม่มีวันที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่มองไม่เห็นผลประโยชน์ของชาติของแผ่นดินมากกว่าความต้องการของตนเอง” ปรมีย์ประกาศชัดเจนต่อหน้าขวัญชนก
ขวัญชนกทรุดตัวลงบนม้านั่งตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงอย่างอ่อนแรง มองดูร่างของปรมีย์ที่เดินห่างออกไปด้วยม่านน้ำตาที่กำลังกลบตา ขวัญชนกหลับตาลงพร้อมกับถอนสะอื้นแท้ที่จริงแล้วหล่อนก็ไม่เคยคว้าฝันของตนเองได้เลยแม้ว่าหล่อนจะยืนอยู่ที่สูงสักเพียงใดก็ตาม…………….








 

Create Date : 13 กันยายน 2550   
Last Update : 20 กันยายน 2550 17:06:57 น.   
Counter : 323 Pageviews.  


faraway ตอนที่ 6

เสียงเล่าลือถึงหัวหน้าคณะทำงานด้านเศรษฐกิจคนใหม่ของพรรค ที่มีดีกรีดอกเตอร์ทางด้านการเงินและการคลัง จากมหาวิทยาลัยชื่อดังจากต่างประเทศ แต่นั้นมันไม่น่าสนใจเท่ากับว่า คนที่จะมาเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาโดยตรงนั้น เป็นผู้หญิงที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา บิดาเขาคงยังไม่ทราบข่าวนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกหนักใจยิ่งกว่าปรมีร์รู้ดีว่าบิดาของเขาหมายมั่นปั้นมือที่จะผลักดันเขาให้รับหน้าที่นี้ แทนที่จะเป็นคนอื่น
ปรมีร์เคาะประตูห้องท่านรองหัวหน้าพรรคเบาๆ ก่อนผลักประตูเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าท่านรองสุรชาติ
“อ้อ… คุณปรมีร์” ท่านรองสุรชาติทักทายเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “นี่คือดอกเตอร์ขวัญชนก ที่จะเข้ามารับตำแหน่งใหม่วันนี้ รบกวนคุณช่วยดูแลเธอด้วยนะ”
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน ปรมีร์อยากจะให้สิ่งที่เขาได้ยินได้เห็นนั้นเป็นเพียงความฝัน ขวัญชนกดอกเตอร์ หรือขวัญชนก จะต้องมีใครสักคนมาเล่นตลกเอากับเขาในตอนนี้ ขวัญชนกที่หายไปเหมือนตายจากกันกับเขาได้ฟี้นตื่นขึ้นมาเผชิญหน้าอยู่กับเขาในห้องนี้ในฐานะคนที่ต้องร่วมงานด้วยในฐานะผู้บังคับบัญชาเขา
“สวัสดีค่ะ คุณปรมีร์” ดูเหมือนว่าขวัญชนกจะตั้งสติได้ก่อนเขา
“ ครับ” เขาตอบรับสั้นๆ
ปรมีร์พยายามตั้งสติให้มั่นระหว่างการพาขวัญชนกไปแนะนำยังหน่วยงานต่างๆ ของพรรคจนกระทั่งท้ายที่สุด คือฝ่ายเศรษฐกิจที่เป็นสำนักงานที่ทั้งเขาและหล่อนต้องรับผิดชอบร่วมกัน เขาลอบมองผู้หญิงที่เดินเยื้องๆ ตามหลังเขาเป็นระยะๆ ขวัญชนกดูงามสง่าและภูมิฐานจนแทบเป็นคนละคนกันกับขวัญชนกของเขาเมื่อสิบปีก่อน เขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเองว่า วันเวลาและการศึกษาจะบ่มเพาะขวัญชนกให้หมดจดงดงามขนาดนี้ ในเวลานี้เขาได้แต่รู้สึกเสียใจและเสียดาย ถ้าเขาเลือกได้และเป็นตัวของตัวเองสักนิดหนึ่ง เอาแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของขวัญชนกเขาคงจะไม่ประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ เพราะเขาอาจได้ครอบครองขวัญชก แทนที่จะต้องหักเหไปแต่งงานกับวันวิสา
“นี่คือห้องทำงานของดอกเตอร์ครับ” เขาเปิดประตูห้องทำงานที่อยู่ด้านในสุดของฝ่ายให้เปิดกว้างรอให้ขวัญชนกเดินเข้าไปสำรวจห้องทำงานของหล่อน ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตนเองที่อยู่ห้องข้างๆ
ขวัญชนกถอนหายใจออกมาหนักๆ ทันทีเมื่อปรมีร์ปิดประตูตามหลังเขา หล่อนหัวเราะขื่นๆ ให้กับตนเองเมื่อรู้สึกว่า ชีวิตของหล่อนถูกเล่นตลกอีกครั้ง มันน่าแปลกที่ทั้งหล่อนและปรมีร์ เหมือนกับเล่นซ่อนหาที่หากันไม่เจอมาเป็นเวลาเกือบสิบปี แต่เวลานี้เหมือนกับว่าขวัญชนกจะเลิกเล่นเกมส์นั้นไปตั้งนานแล้ว แต่ปรมีร์กลับโผล่หน้ามาให้หล่อนได้เห็น เหมือนเงาของปีศาจที่คอยมาหลอกหลอนหล่อนในยามเผลอ
เสียงเครื่องตอบรับภายในบนโต๊ะดังขึ้นปลุกขวัญชนกให้ตื่นจากภวังค์
“คะ” หล่อนกดสัญญาณตอบรับกลับไป
“ดอกเตอร์ขวัญชนกฮะ” ปรมีร์นั่นเอง “ถ้าคุณหิวมีแคนทีนที่ชั้นลอยของตึกนะครับ แต่ถ้าจะออกไปข้างนอกแถวๆ นี้ก็มีร้านอาหารอร่อยเยอะ”
เวลานาฬิกาที่แขวนผนังบอกเวลาใกล้เที่ยง ขวัญชนกอมยิ้มนัยตาพราวเมื่อความทรงจำในวันก่อนเก่า ระหว่างหล่อนกับเขาผุดพรายเข้ามาในความรู้สึก ปรมีร์ของหล่อนมักจะคอยเตือนหล่อนเสมอในเรื่องการดำเนินชีวิตตามปกติประจำวัน อย่างเช่นใกล้เวลากินข้าว ได้เวลานอน เขาเป็นคนมีระเบียบวินัยในเรื่องเวลาเสมอ ไม่แปลกหรอกที่ท่านรองสุรชาติจะไว้เนื้อเชื่อใจเขาในการให้งานสำคัญรับผิดชอบ
“ฉันอยากไปทานข้างนอก คุณพอจะแนะนำร้านได้ไหม” ขวัญชนกรู้สึกตกใจกับการตัดสินใจของตนเอง แท้ที่จริงแล้วหล่อนไม่เคยลืมปรมีร์ เขาเป็นความทรงจำที่ดีเสมอของขวัญชนก ถึงแม้ว่าหล่อนจะเคยเจ็บช้ำซ้ำซากจากการที่ปรมีร์ไม่เข้มแข็งพอในเรื่องของความรัก แต่ปรมีร์ไม่เคยทำให้หล่อนด่างพร้อยแม้แต่เพียงปลายก้อย ปรมีร์ไม่เคยฉกฉวยโอกาสเพื่อเอาเปรียบหล่อน ขวัญชนกวางใจปรมีร์เช่นเดียวกับที่วางใจผู้ชายทั้งโลก แต่แล้วท่านรองสุรชาติก็ทำให้ขวัญชนกรู้ว่า ผู้ชายทั้งโลกไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับคนทั้งโลกที่ล้วนแต่แตกต่าง
ประตูหน้าห้องถูกเคาะเบาๆ ถ้าเดาไม่ผิดปรมีร์คงยืนรอหล่อนอยู่หน้าห้อง นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงตรงขวัญชนกคว้ากระเป๋าถือข้างตัว ปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถือเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ ปรมีร์ยืนรอหล่อนอยู่แล้วหล่อนยิ้มให้กับเขานิดหนึ่ง ก่อนก้าวเดินนำออกไป ร้านอาหารแห่งนี้ตกแต่งอย่างง่ายๆ บรรยากาศดูสบายทำให้โต๊ะอาหารเต็มทุกโต๊ะในเวลาพักกลางวันอย่างนี้ ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในบริเวณร้านที่บรรยากาศข้างนอกร้านเหมือนนั่งทานอาหารในสวนหลังบ้าน ที่มีสวนน้ำตกขนาดใหญ่ให้ความเย็นตากับคนที่นั่งทานอาหาร บริกรเดินนำสองหนุ่มสาวเข้าไปภายในห้องกระจกที่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยด้านนอกได้เต็มที่
“ทราบว่าคุณเพิ่งกลับจากเมืองนอกคงยังไม่คุ้นกับอากาศร้อนๆ ของเมืองไทย” ปรมีย์มองเห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นตามไรผมของหล่อน แก้มเนียนใสของหล่อนแดงเรื่อขึ้นด้วยไอแดด
ขวัญชนกชะงักสายตาที่กวาดไปรอบๆ บริเวณอย่างรู้สึกทึ่งกับร้านอาหารกลางสวนในกลางเมืองแห่งนี้ มองหน้าผู้ชายที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างหน้าอย่างหาความนัยแฝงอย่างอื่นในคำพูดของเขา
“ฉันอยู่เมืองไทยมาแต่เล็กแต่น้อย เพียงแค่มีโอกาสได้ไปอยู่เมืองนอกไม่กี่ปี ฉันก็ยังไม่ลืมไปหรอกว่าอะไรที่นี่เป็นอย่างไร”
หล่อนไม่แน่ใจว่าหล่อนพูดตามสิ่งที่เป็นจริงหรือต้องการประชดผู้ชายที่นั่งตรงหน้าแววตาไร้ความรู้สึกคนนี้กันแน่
“ผมขอโทษถ้าหากว่าคุณไม่พอใจ”
“ขอโทษ คุณขอโทษในเรื่องที่คุณไม่ได้ทำความผิดได้ง่ายๆ อย่างนี้หรือคุณปรมีร์” ขวัญชนกไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงรู้สึกเดือดดาลได้ขนาดนี้ เป็นเพราะกริยาสุภาพนบนอบแต่ดูห่างเหินที่ปรมีร์แสดงนั้นนะหรือ
ปรมีร์ไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไรดี ความรู้สึกวูบแรกเมื่อเจอกับขวัญชนกยังเต้นระริกอยู่ในใจเขา ปรมีร์พยายามมองหาตัวตนเก่าๆ ของขวัญชนกผ่านเปลือกทองที่ห่อหุ้มหล่อนเอาไว้อย่างมิดชิดนั้น ตลอดช่วงเช้าที่เขาพาหล่อนไปทักทายหน่วยงานต่างๆ จนทั่วตึกเขามองเห็นรอยยิ้มบนหน้าสวยของหล่อนตลอดเวลา แต่ขวัญชนกไม่ได้เอ่ยทักทายเขาแม้แต่คำเดียว ปรมีร์จำต้องถอยห่างออกไป บางทีขวัญชนกอาจไม่อยากจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาที่เคยได้ผ่านช่วงเวลาช่วงหนึ่งของชีวิตเธอก็อาจเป็นได้ แล้วเขาจะห้ามหล่อนไม่ให้ลืมเขาด้วยสิทธ์อะไร แต่ในขณะนี้ ปรมีร์รู้สึกว่าขวัญชนกกำลังเล่นแง่เอากับเขา
“เรายังคงเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่าคุณขวัญชนก” ปรมีร์ตัดสินใจถามหลังจากต่างฝ่ายต่างนั่งเงียบกันไปสักพัก
“ฉันก็รอคำนี้จากปากคุณอยู่เหมือนกัน” ไม่มีเหตุผลอะไรที่หล่อนจะโกรธเคืองปรมีร์ ขวัญชนกเลือกที่จะลืมเรื่องราวความเจ็บช้ำของตนเองเมื่อวันก่อน
การทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคฝ่ายค้าน นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากที่หนักหนาพอสมควรในความคิดของขวัญชนก หน้าที่ของการเป็นฝ่ายตรวจสอบเพื่อนำเอาความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายของอีกฝ่ายออกมาแสดงให้ประชาชนได้เห็น ทั้งนี้ก็เพื่อหวังผลในทางการเมืองมากกว่าผลประโยชน์อื่นใดของประเทศชาติ ปรมีร์ได้ส่งให้คนไปเก็บข้อมูลในโครงการใหญ่ๆ หลายโครงการที่ฝ่ายรัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณแผ่นดิน เพื่อใช้ในโครงการอย่างใกล้ชิด ขวัญชนกนั่งตรวจสอบรายงานตามโครงการต่างๆ ก่อนรวบรวมประเด็นที่สำคัญและน่าสงสัยเพื่อนำไปเสนอในที่ประชุมพรรค
กลิ่นหอมของกาแฟที่ยื่นมาตรงหน้า ทำให้ขวัญชนกที่ง่วงแทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้วนั้นกลับตาสว่างขึ้นมาอีก การนั่งฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านได้ล่วงผ่านมาถึง 3 วันแล้ว และขณะนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกลากันง่ายๆ
“กลับไปนอนได้แล้วมั้งคุณขวัญ” เสียงปนขำของปรมีร์ทำให้ขวัญชนกเผลอตัวทำหน้ามุ่ยใส่เขา หล่อนไม่จำเป็นต้องระแวดระวังตัวมากนักในเวลาตีสองกว่าๆ อย่างนี้ ในที่ทำการพรรคที่มี รปภ. ยืนง่วงหาวนอนอยู่หน้าประตู คนอื่นๆ ที่มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลของการอภิปรายต่างพากันหลับไปหมดแล้ว หล่อนเอนตัวตามสบายอยู่ในเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ดวงตายังจ้องไปที่ ทีวี จอใหญ่เบื้องหน้า
“ดื้อจริงๆ “ ปรมีร์บ่นเบาๆ ก่อนส่ายหัวเดินออกไป
การลงพื้นที่เพื่อเก็บคะแนนเอาไว้เป็นฐานเสียงสำหรับการเลือกตั้งในคราวหน้าเริ่มต้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง เมื่อกระแสความไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลมีมากขึ้น กลุ่มผู้ประท้วงจากภาคต่างๆ ทั่วสารทิศพากันเดินทางมุ่งหน้าสู่รัฐสภาเพื่อทำการประท้วงเรียกร้องข้อสัญญาต่างๆ จากรัฐบาล รวมทั้งความกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้น ซึ่งสาเหตุมาจากการเกิดปัญหาในภาคเศรษฐกิจต่างๆ ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ปัญหาในตลาดแรงงานส่อเค้ารุนแรงขึ้นเมื่อตัวเลขของการว่างงานพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขวัญชนกถูกฝึกให้ทำหน้าที่พูดในที่สาธารณะ ถึงแนวนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของพรรคเป็นครั้งแรกในการหาเสียงครั้งใหญ่ของพรรคในแทบภาคเหนือของประเทศ ผลการตอบรับจากมหาชนจากเสียงปรบมือสนับสนุนที่ดังอย่างกึกก้องนั่นเองที่ทำให้ขวัญชนกรู้สึกว่าตนเองจะต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีขึ้นยิ่งกว่านี้ ท่านหัวหน้าพรรคกล่าวชื่นชมหล่อนด้วยความพึงพอใจในการปรากฎตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกของหล่อน
“คุณสนใจที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งไหมดอกเตอร์ขวัญชนก” ท่านหัวหน้าพรรคเรียกขวัญชนกให้เข้าพบในบ่ายวันหนึ่ง ตอนนี้พรรคการเมืองต่างๆ กำลังเตรียมตัวในการคัดเลือกคนเพื่อลงรับสมัครเลือกตั้ง
“ดิฉันคิดวายังไม่ถึงเวลาคะ” ขวัญชนกไม่ลังเลที่จะตอบไปเช่นนั้น หล่อนเพิ่งจะชัดเจนในเป้าหมายชีวิตของตนเองก็ตอนที่หล่อนได้ยืนพูดหาเสียงในที่สาธารณชนที่มีคนมารอฟังอยู่มากมายนั่นเอง แต่หล่อนจะผลีผลามรับคำท่านหัวพรรคไปได้อย่างไรกันเพราะตอนนี้ฐานะของหล่อนกับการเป็นภรรยาลับของท่านรองหัวหน้าพรรค การออกมาเป็นบุคคลสาธารณะกับการถูกคุดคุ้ยในเรื่องส่วนตัวเป็นของคู่กันอยู่แล้ว
“ดิฉันอยากจะหาประสบการณ์การเมืองให้มากกว่านี้และลงพื้นที่ให้ประชาชนได้รู้จักเสียก่อน ถ้าดิฉันมั่นใจว่าฐานเสียงแน่นพอก็จะยินดีรับใช้พรรคคะ” นี่คือสำนวนโวหารของพวกนักการเมืองชัดๆ กับการพูดเพื่อปกปิดความจริงบางอย่างเพื่อหวังผลไปยังอีกด้าน วิธีการทางด้านการเมืองมันเป็นเรื่องของการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสามตัวแทบทั้งนั้น
ฉลาดหลักแหลมรู้จักจังหวะและโอกาส คนที่ผ่านเวทีการเมืองมาแล้วอย่างโชกโชนอย่างท่านหัวหน้าพรรคอย่างเขา ทำไมจะมองไม่เห็นความทะเยอทะยานทางการเมืองที่เต้นระริกอยู่ในแววตาของดอกเตอร์ขวัญชนก ไม่นับรวมกับวิธีการพูดที่ใช้วาจาเฉียบคมและฉะฉานในเวทีสาธารณะ ด้วยวิธีการพูดที่มีเสน่ห์ตรึงให้คนฟังตั้งใจฟังจนจบถ้อยกระบวนความอีกนั้นด้วย ด้วยวัยสาวอายุเพียงสามสิบเศษๆ กับดีกรีถึงดอกเตอร์ทางด้านการบริหารการเงินและการคลังจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ข่าวซุบซิบที่เริ่มดังขึ้น เกี่ยวกับความสัมพันธิ์ส่วนตัวกับท่านรองนั่นสิเป็นเรื่องที่หน้าวิตกยิ่งนัก นักการเมืองสาวกับข่างคาวฉาวโฉ่อย่างนี้ ต่อให้มีพื้นฐานความรู้ความสามารถดีขนาดไหนก็ไปไม่รอด การเมืองของไทยเรื่องผลงานกับเรื่องส่วนตัวมักจะแยกกันไม่ออก
ท่านประพัฒน์บิดาของปรมีร์รู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก เมื่อตรวจสอบรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งตามเขตเลือกตั้งทั่วประเทศแล้ว ไม่ปรากฏชื่อของตนเองอยู่ในบัญชีรายชื่อนั้น เขาตรวจทานอยู่หลายรอบจนแน่ใจแล้วว่าที่เขาทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์เพื่อสนับสนุนพรรคมาตลอดนั้น เขาขอเพียงแค่โอกาสได้ลงแข่งในสนามเลือกตั้งแต่ก็ไม่เป็นผล
เป็นเพราะนังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า ที่เขาเคยรังเกียจนักหนานั้นเป็นแน่ที่มาพร้อมกับดีกรีดอกเตอร์จากเมืองนอกพร้อมกับความสาวสวยสะพรั่ง เท่าที่เขารู้เด็กนั่นเป็นแค่ลูกชาวบ้านร้านตลาดธรรมดา หาคุณค่าอันหน้ายกย่องของบรรพบุรุษแทบจะไม่มี แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปเรียนจนถึงดอกเตอร์ อีกทั้งรถยนต์คันหรูที่เด็กนั่นใช้อีกนั่นล่ะ นึกถึงลูกชายคนเดียวของเขาแล้วยิ่งแค้นใจ แค่เพียงปรมีร์ได้อย่างเขาไปสักครึ่งหนึ่งเขาคงไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนในพรรคขนาดนี้ เขาสู้อุตส่าห์ส่งไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาเตรียมหาลู่ทางเอาไว้ให้พร้อมทุกอย่าง แต่ลูกชายของเขากับสมัครใจที่จะทำงานเป็นคนปิดทองหลังพระอยู่อย่างนั้น เลือดแม่มันแรงดีแท้
คุณรสุคนธ์แอบกรีดน้ำตาเงียบๆ เมื่อเห็นรถของปรมีร์วิ่งเขามาในบ้าน นางลุกขึ้นไปบอกเด็กรับใช้ให้อุ่นสำรับไว้รอท่า คุณประพัฒน์สามีของนางอารมณ์เสียมาจากข้างนอกมาเอะอะเอากับนางว่า อบรมสั่งสอนลูกไม่เข้าท่า แล้วหายเงียบเข้าไปในห้องสมุดจนเลยเวลารับอาหารค่ำไปตั้งนานแล้ว สำรับกับข้าวที่รออยู่บนโต๊ะจึงเย็นชืดจนต้องนำกลับไปอุ่นใหม่
“มีอะไรหรือฮะแม่” ปรมีร์พอจะเดาเหตุการณ์ในบ้านออกบิดาของเขาผลุน ผลันออกมาจากที่ทำการพรรคด้วยอารมณ์อย่างนั้น เขาเองก็รู้สึกเห็นใจบิดาของเขาไม่ใช่น้อยแต่ทุกอย่างมันเป็นเรื่องมติของพรรค บิดาของเขายังไม่มีฐานกำลังเสียงที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นฐานเสียงในพื้นที่หรือกระทั่งฐานเงินที่จะมาบำรุงพรรค
“แม่เป็นแม่บ้านที่แย่มากไหมลูก” คุณรสสุคนธ์รู้สึกอัดอั้นตันใจจนอยากระบายให้ลูกชายฟัง
“แม่อย่าคิดมากเลยฮะ พ่อเขาก็ฟาดหัวฟาดหางไม่อย่างนั้นเอง” ปรมีย์ปลอบใจมารดาของเขา รู้จักบิดาของตนเองดีพอกับการที่เขารู้จักความต้องการของตนเอง ปรมีร์ในวัยสามสิบต้นๆ จึงดูสุขุมลึกซึ้งกว่าคนในวัยเดียวกัน เขาภูมิใจที่แม่เขาเลือกที่จะอยู่ในบ้านดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างให้สามีและลูก แทนที่จะออกไปงานสังคมสโมสรต่างๆ เพื่อวิ่งเต้นหาผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ของสามีและลูกเป็นใบเบิกทาง แต่บิดาเขากลับไม่คิดเช่นนั้น
“ได้ข่าวหนูสาบ้างไหมลูก” คุณรสสุคนธ์ถือถ้วยเครื่องดื่มร้อนมาให้ลูกชายที่นั่งพักผ่อนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ฮะ” การเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ของอุตสาหกรรมไบโอดีเซล ของบิดาของวันวิสา มีการตกลงกันเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจ้าหนี้รายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามารวมถือหุ้นเกือบครึ่งจากผู้ถือหุ้นเดิม และส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบริหารร่วมกับคนไทย คือวันวิสาซึ่งทำหน้าที่แทนบิดาผู้ป่วยนอนเป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน วันวิสาโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือเรื่องเงินจากเขาสอง สามครั้ง ปรมีร์ยินดีที่จะช่วยเหลือหล่อน
“หนังสือพิมพ์ลงข่าวการแต่งงานใหม่ของหนูสาเมื่อวานนี้” มารดาของเขาเล่า
ปรมีร์รู้สึกยินดีกับข่าวนี้เป็นยิ่งนัก เขาไม่อยากให้มีใครต้องมาเจ็บช้ำซ้ำซากจากการกระทำของเขา ปรมีร์รู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยากจะชดใช้ให้กับวันวิสา ทั้งกับขวัญชนกด้วย เพื่อบิดาของเขาจะได้ไม่รนร้อนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ขวัญชนกถูกมอบหมายให้ติดตามท่านหัวหน้าพรรค เพื่อออกไปปราศัยหาเสียงตามพื้นที่ของฐานคะแนนเสียงของพรรคทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาสามเดือนก่อนการเลือกตั้งขวัญชนกใช้เวลาในช่วงนี้ ในการครุ่นคิดอย่างจริงจังในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับท่านรองสุรชาติ ขวัญชนกเคยพูดกับเขามาแล้วครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเสียงของข่าวลือที่ผ่านเข้ามาให้หล่อนได้ยิน แต่ดูเหมือนว่าท่านรองจะไม่สนใจข่าวนั้น และดูเหมือนว่าท่านรองจะเก็บเอาหล่อนไว้ตลอดทั้งชีวิต
ระยะหลังมานี้มีงานของพรรคมากมาย จนทำให้ท่านรองสุรชาติไม่มีเวลาไปหาหล่อน ทำให้ขวัญชนกรู้สึกเบาใจเป็นอย่างมาก หล่อนสังเกตเห็นมีบุคคลที่น่าสงสัยมาคอยด้อมมองแถวๆ รั้วบ้านหล่อนเป็นครั้งคราวยิ่งทำให้ขวัญชนกต้องระแวดระวังมากขึ้น การเปิดเผยตัวเองในนามของสมาชิกพรรคการเมืองอย่างโจ่งแจ้งและได้รับความไว้วางใจให้เข้าบัญชีรายชื่อ ขวัญชนกมองเห็นอันตรายรอบด้านที่จะเข้ามาหาหล่อนในทุกรูปแบบ ทั้งจากคู่แข่งทางการเมืองต่างขั้วกระทั่งคู่แข่งในพรรคการเมืองเดียวกัน และขวัญชนกยิ่งต้องระมัดระวังคนที่จะมาจากบ้านคุณหญิง ภรรยาของท่านรองที่ขวัญชนกรู้ดีถึงอิทธิพลและความกว้างขวางของคนในตระกูลนี้เป็นอย่างดี
การขอกำลังรักษาความปลอดภัยในบ้าน ด้วยข้ออ้างเพื่อความปลอดภัยของขวัญชนกเป็นเพียงมาตราการระยะสั้นที่จะป้องกันไม่ให้ท่านรองมาหาหล่อนเท่านั้น แต่หลังจากจบสิ้นการเลือกตั้งไปแล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ขวัญชนกจะยอมให้ท่านสุรชาติเก็บหล่อนเอาไว้ในฐานะอย่างนี้ไม่ได้ อนาคตทางการเมืองของหล่อนจะต้องไม่มีเรื่องราวด่างพร้อยอันใดที่จะเป็นเหตุนำไปสู่การขุดคุ้ยในภายหลัง
“ฉันอยากได้คอนโดมิเนียมที่ปลอดภัยคุณช่วยหาให้ฉันได้ไหมคะปอ” ขวัญชนกตัดสินใจโทรศัพท์หาปรมีร์ ให้เขาเป็นธุระจัดการให้ หล่อนวางแผนเอาไว้ว่า จะย้ายออกไปอยู่คอนโดสักระยะหนึ่ง และให้เขาช่วยขายบ้านให้ด้วยเหตุผลคือความปลอดภัยของผู้หญิงที่อยู่คนเดียวในบ้าน ถึงแม้ว่าขวัญชนกจะชอบที่จะอยู่ในบ้านมากกว่าก็ตามแต่การอยู่คอนโดทำให้หล่อนสามารถเลือกที่จะให้ใครหรือไม่ให้ใครพบก็ได้
“เลวมาก” ท่านรองสุรชาติคำรามอยู่ในใจทั้งที่กำลังยิ้มแย้มให้กับเจ้าของบ้านคนใหม่ที่เพี่งซื้อบ้านของเขาต่อจากขวัญชนก เขาเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ชัด ๆ ขวัญชนกคิดแผนทรยศเขาตั้งแต่เมือไร เขาไม่รู้เนี้อรู้ตัวเลย ตลอดเวลากว่าสามปีที่เขากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู่หล่อนเอาไว้ ไม่นับรวมกับที่ส่งเสียให้ได้ร่ำเรียนจนจบดอกเตอร์กลับมาจนได้มายืนผงาดอยูแถวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาด้วยระยะเวลาสั้น ๆ นั้น หล่อนไม่เคยสำนึกในบุญคุณอันเหลือล้นของเขาเลยแม้แต่น้อย
เขาหลงผิดคิดไปเองสินะว่า ที่หล่อนยอมพลีกายให้กับเขาครั้งแล้วครั้งเล่านั่น เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้ครอบครองหล่อน แล้วรสรักรสเสน่หาที่เขาปรนเปรอให้กับหล่อนจนหล่อนร้อนเร่าอยู่ในอ้อมกอดเขานั่นละ ความภาคภูมิใจของหนุ่มวัยห้าสิบเศษที่ได้ครอบครองหญิงสาววัยอ่อนกว่าเกือบยี่สิบปี ซึ่งไม่เคยประสีประสาในเรื่องรักไคร่ นี่เขาคิดไปเองสิว่าบทบรรเลงเพลงรักที่เขาประดิดประดอยกับหล่อนอย่างที่ไม่เคยทำให้กับใครนั้น จะทำให้หล่อนหลงไหลในมนต์เสน่หาของเขาจนไม่คิดตีจากเขาไปเป็นอื่น เขาเองต่างหากที่หลงอยู่ในหลุมพรางนั้น
“เธอรู้จักฉันน้อยไป เด็กดีของฉัน” ท่านรองสุระชาติคำรามรอดไรฟันที่ขบกันแน่นออกมาอย่างโกรธแค้น ปาโทรศัพท์ทิ้งไปยังเบาะหลังของรถยนต์เมื่อกดโทรศัพท์หาขวัญชนกแล้วพบว่าหล่อนได้ระงับการใช้โทรศัพท์เบอร์ที่เขาให้หล่อนไว้ใช้ติดต่อกันเป็นการส่วนตัว เขาสตาร์ทรถออกไปจากหน้าบ้านที่เคยเป็นเหมือนดังสวรรค์วิมานของเขาที่ตอนนี้กลายเป็นดังนรกที่คอยหมกไหม้เผาใจของเขาทุกครั้งที่คิดถึงมัน
ความทะยานอยากของขวัญชนกไม่ใช่การได้ถือครองในตัวเขาดังเช่นผู้หญิงอื่น เขาไม่เคยแปลกใจเลยว่าทำไมขวัญชนกไม่เคยร้องขอให้เขาอยู่กับหล่อนตลอดทั้งคืนจนกระทั่งรุ่งเช้า หล่อนมีวิธีบอกให้เขารีบกลับไปที่บ้านด้วยเหตุผลคือ ไม่อยากให้มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น การทำงานการเมืองในตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โตของเขาอาจสะดุดลงด้วยเรื่องฉาวอย่างนี้ นี่เขากลายเป็นเจ้างั่งที่ถูกขวัญชนกใช้เป็นสะพานให้หล่อนเดินข้ามไปสู่สนามการเมืองแล้วเขี่ยเขาทิ้งง่าย ๆ เขาประมาทผู้หญิงเกินไป ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงตัวคนเดียวจะหาญกล้าคิดการณ์ไกลก้าวเข้าไปอยู่ในสนามที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดูอ่อนใสอย่างขวัญชนก
“คุณทำอย่างนี้ทำไมขวัญ” ปรมีร์เดินตามหาขวัญชนกจนทั่วชายหาด จนพบหล่อนนอนอาบแดดอยู่คนเดียวอย่างสบายใจที่หาดส่วนตัวของรีสอร์ทแห่งเดียวของเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้
ขวัญชนกยิ้มยั่วเหมือนอย่างที่เคยทำกับเขาเมื่อสิบปีก่อน ขณะลุกขึ้นยืนแกะผ้าที่ผูกเอาไว้หลวม ๆ ที่สะโพกเดินลงไปที่ทะเลว่ายน้ำออกไปโต้คลื่นเบาๆ ในยามบ่ายจัดอย่างสบายใจ หล่อนค่อนข้างแน่ใจว่าปรมีย์ต้องตามหล่อนมาเมื่อทราบว่าหล่อนมีแผนที่จะพักผ่อนเพียงลำพังยังเกาะโดดเดี่ยวที่ห่างไกลขนาดนี้ หล่อนเคยใช้วิธีนี้กับปรมีย์ถึงแม้จะรู้ว่ามันจะทำให้เขาหัวเสียขนาดไหนก็ตามแต่หล่อนก็ทำได้ผลทุกครั้งรวมทั้งครั้งนี้ด้วย
ปรมีย์ทรุดตัวลงนั่งตรงผ้าปูชายหาดที่ขวัญชนกนอนอาบแดดสบายใจอยู่ก่อนหน้านี้ที่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังดำผลุดดำว่ายอยู่ในน้ำทะเลอย่างไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรของเขา ปรมีย์ส่ายหัวกับความดื้อดึงของขวัญชนกเขาอยากจะขว้างโทรศัพท์ทิ้งไปไม่อยากรับฟังข้อความใดๆ ที่มาจากหล่อน ไม่อยากสนใจติดตามฟังข่าวคนที่ทำอะไรโดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตนเอง
ชุดว่ายน้ำแบบสองชิ้นสีฟ้าสดใสที่หล่อนสวมใสนั้นประไร ขวัญชนกรู้จักตนเองพอกับที่ปรมีย์รู้ว่าหล่อนมีรูปร่างผิวพรรณชวนมองขนาดไหน ยิ่งอยู่ในชุดที่ชิดแนบส่วนสัดอย่างนี้เขาอยากจะรู้นักว่าจะมีผู้ชายหน้าไหนที่จะไม่มองหล่อนอย่างเหลียวหลัง
“ขึ้นมาเดียวนี้นะขวัญ” เขาตะโกนเรียกขวัญชนก เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าหล่อนจะขึ้นจากน้ำทะเลนั้น ปรมีย์รู้สึกเดือดผลุดๆ เมื่อขวัญชนกว่ายน้ำกลับมาล้อเล่นกับเขาแล้วว่ายกลับลงไปในทะเล เขาถอดเสื้อลำรองที่ใส่เดินทางปาลงที่ชายหาดเดินลุยลงไปในน้ำจะไปลากแม่ตัวดีมาโยนบกให้เข็ด
“หยุดดิ้นเดี่ยวนี้นะขวัญ” เขาคำรามเสียงดุกรอกใส่หูหล่อน ขณะที่ขวัญชนกยังหลับหูหลับตาดิ้นรนให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา ปรมีย์จับตัวของขวัญชนกกดลงในน้ำแช่ไว้สักพักก่อนดึงขึ้นมา หล่อนสำลักน้ำเค็มไอค็อก แคกหูตาแดงสิ้นฤทธิ์อยู่ในมือของเขานั้นเอง เขากึ่งลากกึ่งจูงขวัญชนกขึ้นจากน้ำหยิบผ้าขนหนูที่วางอยู่บนผ้าใบมาเช็ดผมให้หล่อนแรงๆ แล้วนำมาคลุมตัวให้กับหล่อนกึ่งจูงกึ่งลากเข้าไปในรีสอร์ทที่พัก
“รีบอาบน้ำแต่งตัว ผมสั่งเช็คเอาท์ให้เรียบร้อยแล้วคุณมีเวลาหนึ่งชั่วโมง” เขาออกคำสั่งขณะรุนหลังหล่อนเขาไปในห้อง
“คุณจะพาฉันไปไหน” ขวัญชนกเกิดอาการงงกับคำสั่งแบบเฉียบขาดนั้น
“กลับกรุงเทพฯ” เขาตอบสั้นๆ ก่อนปิดประตูเดินกลับออกไป
“เชิญคุณกลับไปคนเดียวเลย” ขวัญชนกเปิดประตูตะโกนไล่หลังเขามา
“ผมโทรตามเรือให้ออกมาแล้ว คุณไม่ควรทำให้เสียเวลา” ปรมีย์สำทับก่อนเดินลับหายไปตามทางเดินที่จะไปสู่รอบบี้
ขวัญชนกยักไหล่เดินเข้าห้องน้ำ โยนชุดว่ายน้ำตัวจ้อยสองชิ้นไว้ในอ่านล้างหน้าผสมน้ำอุ่นจนเต็มอ่างอาบน้ำลงนอนแช่อย่างสบายใจรู้สึกสบายตัวจนผอยหลับไป รู้สึกตัวอีกที่เมื่อได้ยินเสียงไขกุญแจประตูห้องดังกลิก ขวัญชนกคว้าผ้าเช็ดตัวที่พับอยู่ขอบอ่างมาพันตัวมองดูแจกันใส่ดอกไม่ขนาดเหมาะมือที่วางอยู่หน้ากระจกจับเอาไว้มั่น หล่อนเงื้องแจกันในมือจนสุดแขนหวังจะทุ่มใส่หัวคนบุกลุกให้แดดิ้นอยู่แทบเท้าของหล่อน
เพล้ง เสียงแจกันกระทบพื้นจนแตกกระจาย ขวัญชนกรู้สึกแปลบที่ข้อเท้าก้มมองลงไปดูเห็นเลือดสีแดงไหลทะลักออกมานองพื้น โอ๊ย กลายเป็นตนเองที่ต้องเจ็บตัว ขวัญชนกเห็นเลือดตนเองที่นองอยู่บนพื้นแล้วรู้สึกเวียนหัวหนำซ้ำคนบุกรุกยังเข้ามาพยุงหล่อนให้ออกไปนั่งที่บนเก้าอี้ก่อนหายตัวไปสักพักแล้วกลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล เขาลงมือเช็ดแผลห้ามเลือดและทำแผลให้หล่อนอย่างรวดเร็ว
“อย่างนี้หนะหรือที่บอกว่าดูแลตัวเองได้” เห็นหน้าจ้อยของขวัญชนกแล้วปรมีย์ไม่อยากซ้ำเติมให้มากไปกว่านี้
น้ำทะเลในยามกลางคืนสะท้อนแสงดาวอยู่วิบวับ ปรมีย์ถอนหายใจยืดยาวก่อนก้าวเท้าออกเดินไปตามชายหาดนานแล้วนะที่เขาไม่ได้ออกมาจากเมืองใหญ่ ปรมีย์ลืมคำว่าพักผ่อนไปตั้งนานแล้วความทรงจำของเขากับทะเลมักมีเงาของขวัญชนกติดตามมาอยู่เสมอ ก่อนหน้านี้เขาเลือกที่จะไม่ไปทะเล เขาเลือกที่จะลืมหล่อนแต่ในวันนี้ขวัญชนกกลับนอนหลับอยู่ในห้องพักภายในบังกระโลที่ซุกตัวเงียบอยู่ในเงามืดใต้แสงจันทร์ข้างหน้าเขานี้เอง
“ไปไหนมาหรือปอ” ขวัญชนกนั่งห้อยเท้ารอเขาอยู่หน้าห้อง “ขวัญเคาะประตูเรียกตั้งนาน นึกว่าเก็บข้าวของหนีไปแล้ว”
“มีอะไรหรือครับ” เขาเลือกที่จะไม่มองแววตาตัดพ้อนั้น
“ขวัญปวดแผลมากเลย ที่รอบบี้ก็ไม่มีใคร” เสียงอุทธรณ์ของหล่อนเหมือนเด็กน้อย ปรมีย์ต้องประคองพาหล่อนเดินเขย้กพาหล่อนเดินไปที่ห้องพัก ฤดูนี้มีคนมาเที่ยวไม่กี่คนและดึกป่านนี้แล้วพนักงานที่อยู่โยงคงเข้าไปแอบหลับกันหมดแล้ว ปรมีย์กลับไปหายาแก้ปวดของตนเอง
“อยู่เป็นเพื่อนขวัญก่อนได้ไหมปอ” ขวัญชนกดึงมือของปรมีย์เอาไว้ เมื่อเขาทำท่าจะเดินกลับไปนอนยังห้องของเขา ปรมีย์ชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวหันกลับมามองเข้าไปในดวงตาของขวัญชนกเขาไม่อยากเห็นแววหมองหมางอ้างว้างในดวงตาคู่สวยของหล่อนนั้นเลย ปรมีย์ปิดเปลือกตาทั้งสองข้างของขวัญชนกด้วยริมฝีปากอุ่นของเขา มือทั้งสองข้างสั่นระริกเมื่อเอื้อมไปสัมผัสเนื้อกายของหล่อนก่อนจะลูบไล้สัมผัสแผ่วเบาไปจนทั่วร่างบางนั่นก่อนกกกอดเอาไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา ปรมีย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะมิสิทธิ์ได้ครอบครองร่างงดงามนี้เขาคิดว่าเขาหมดโอกาสไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ขวัญชนกนอนอุ่นอ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขานี้เอง ปรมีย์รู้สึกเหมือนว่าพระเจ้าได้กลั่นแกล้งขโมยขวัญชนกออกไปจากอ้อมอกของเขากว่า 10 ปี เพียงเพื่อที่จะบ่มเพาะให้ขวัญชนกงดงามยิ่งขึ้นสำหรับเขา ปรมีย์ถอนหายใจอย่างเปี่ยมสุขเมื่อเขารู้สึกได้ว่าเขาได้ครอบครองขวัญชนกแล้วอย่างแท้จริง
ขวัญชนกปล่อยให้น้ำตาไหลเป็นทางผ่านล่องแก้มจนเปียกชื่นที่หมอน รสเค็มปล่าของน้ำตาบางหยดทีไหลผ่านไปจนทำให้ขวัญชนกกลั่นสะอื้น ปรมีย์อ่อนโยนกับหล่อนเหลือเกินแต่ขวัญชนกกลับไม่มีความภูมิใจอะไรเหลือไว้สำหรับเขา ท่านรองสุรชาติได้ล่วงกายผ่านหล่อนนับครั้งไม่ถ้วนทั้งที่มันไม่ใช้ความตั้งใจของหล่อนเลย โชคชะตายัดเยียดให้หล่อนจำต้องอยู่ในสถานะนั้น แต่หล่อนก็ยังไม่ยอมที่จะหลีเลี่ยงมันการพลาดพลั้งเพียงครั้งแรกไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกรังเกียจตนเองขนาดนี้ ถ้าเพียงแต่หล่อนไม่ยอมให้อะไรๆ มันผ่านเลยมาจนขนาดนี้
ปรมีย์ลืมตาขึ้นมาพบกับแสงจ้าของพระอาทิตย์ในยามสายที่ส่องทะลุผ่านกระจกเข้ามาในห้องจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง เขาใช้มือควานหาร่างของขวัญชนกจนทั่วเตียงนอนแต่ก็ไม่พบหรือว่าเรื่องราวของเขากับขวัญชนกเมื่อคืนนี้ที่ผ่านมานั้นเป็นเพราะเขาฝันไป แต่หลักฐานบางอย่างยืนยันกับเขาได้ว่าเขาไม่ได้ฝันเขาเงี่ยวหูฟังเสียงในห้องน้ำ
“ขวัญอาบน้ำอยู่หรือเปล่า” เขาลุกขึ้นเดินไปที่ห้องน้ำถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องน้ำว่างเปล่าปรมีย์หายงัวเงียเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีล่องรอยการอาบน้ำเขาร้อนรนออกไปเปิดที่ตูเก็บกระเป๋าเดินทางปรมีย์อยากหัวเราะออกมาดังๆ ให้กับความพลุ่งพล่านของตนเองในนาทีที่ผ่านมาเมื่อเขารู้สึกว่าขวัญชนกได้หนีเขาไปอีกครั้ง เขาส่ายหัวให้กับความเป็นไปได้ของตนเองขณะเดินกลับไปล้มตัวลงนอนอีกครั้งรู้แน่แก่ใจตนเองแล้วว่า ไม่มีใครคนไหนอีกแล้วที่จะทำให้เขาหวั่นไหววูบวาบได้อย่างขวัญชนก
ทะเลยามเช้าในวันที่คลื่นลมสงบช่วยให้ความรู้สึกของขวัญชนกดีขึ้น เสียงคลื่นสัดสาดหาดทรายดังแผ่วๆ ช่วยให้เช้าวันนี้ของขวัญชนกไม่เงียบเฉียบจนเกินไป ขวัญชนกนอนมองสีเขียวอมฟ้าของน้ำทะเลที่กว้างไกลไปจรดขอบฟ้าความรู้สึกอ้างว้างแล่นลึกเข้ามาในความรู้สึกจนต้องหลับตาลงอย่างช้าๆ พร้องกับเสียงถอดถอนใจ ทะเลมหาสมุทรยังมีที่สิ้นสุดแต่ความฝันของขวัญชนกไม่รู้ว่าปลายฝันอยู่ที่ตรงไหน
“อยู่นี้เอง ตื่นขึ้นมาหาขวัญไม่เจอนึกว่าหนีกลับไปแล้ว” รอยยิ้มกระจ่างระบายเต็มสีหน้าของปรมีย์
“ทำไมขวัญจะต้องหนีด้วยหละ” เห็นสีหน้าและแววตาของเขาแล้วทำให้ขวัญชนกรู้สึกได้ว่าโลกนี้ไม่ได้แล้งล้างว่างเปล่าจนเกินไปอย่างน้อยรอยยิ้มของเขาในเช้าวันนี้ก็ช่วยขับไล่ความหมองหมางในความรู้สึกของขวัญชนกให้จางหายไป
“ไม่รู้สิ ปอกลัวจัง” ปรมีย์ขลุกเข่าลงที่ผืนทรายข้างๆ เก้าอี้ผ้าใบที่ขวัญชนกนอนอยู่ หน้าแปลกที่เขาไม่มีความมั่นใจอะไรเลย ปรมีย์ไม่เข้าใจในความหวั่นไหวของตนเองในครั้งนี้ เขาซุกหน้าลงบนตักขวัญชนกเอื้อมแขนทั้งสองข้างโอบกอดขวัญชนกไว้ในวงแขนของเขาเหมือนกับว่าเขากลัวว่าหล่อนจะหายไปจากชีวิตของเขาอีกครั้ง
“ปอลุกขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวมีใครมาเห็น” ขวัญชนกลูบผมดำสนิทของเขาเบามือ อยากบอกเขาเหลือเกินว่าหล่อนไม่เคยหนีไปไหนเลย ตรงกันข้ามหล่อนรอเขาอยู่ทุกขณะจิต
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เดี๋ยวกลับไปถึงกรุงเทพฯ เราก็จะแต่งงานกันแล้ว ขวัญแต่งงานกับปอนะ” เสียงเพนเจอร์ดังขึ้นมาพร้อมกับข้อความที่มาจากท่านหัวหน้าพรรคแจ้งข่าวหล่อนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งที่เกือบจะเป็นทางการที่คะแนนเสียงของพรรคนำหน้าพรรคอื่นมาเป็นอันดับหนึ่งด้วยคะแนนเสียงท้วมท้นและถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดชื่อของขวัญชนกก็จะเป็นหนึ่งใน สส.ปาตี้ลิสของพรรค
เอกสารหลักฐานที่ยืนยันว่าท่านรองสุรชาติเป็นผู้ให้การสนับสนุนให้ทุนไปศึกษาต่อของขวัญชนกพร้อมกับหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้งของท่านรองสุรชาติในช่วงการเรียนปีสุดท้ายของขวัญชนกถูกยื่นมาตรงหน้าของปรมีย์
“นึกว่าจะแน่มาจากไหน ที่แท้ก็เด็กเลี้ยงของท่านรอง” บิดาของปรมีย์ดูเหมือนจะชอบอกชอบใจกับหลักฐานที่ตนเองหามาได้เป็นหนักหนา ปรมีย์รู้สึกไม่พอใจบิดาของเขาที่ทำเหมือนกับกำลังจับผิดขวัญชนก ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนโน้นจนกระทั่งวันนี้บิดาของเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกลากันง่ายๆ
“หลักฐานเพียงแค่นี้มันชี้ชัดอะไรไม่ได้หลอกฮะพ่อ การให้ทุนการศึกษามันเป็นเรื่องปกติที่ใครจะให้ใครก็ได้ ท่านรองอาจเห็นว่าดอกเตอร์ขวัญชนกมีความสามารถที่จะทำงานให้พรรคในวันข้างหน้าได้จึงได้ให้การสนับสนุนไป”
เขาอธิบายให้บิดาฟังอย่างใจเย็นที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะเคยรู้สึกครางแครงใจในที่ไปที่มาของขวัญชนกที่จู่ๆ หล่อนก็มีครบครันทั้งทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติและคุณสมบัติ ปรมีย์เชื่อว่าขวัญชนกสามารถไปเรียนต่อจนได้ดอกเตอร์ได้แน่นอน ถ้าหล่อนได้รับการสนับสนุนเขาเชื่อว่าอย่างหล่อนสามารถทำได้ แต่การเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินราคาหลายสิบล้านพร้อมกับรถยนต์คันหรูนั้นหละหล่อนเองเนรมิตรได้เองนะหรือเขาให้สงสัยเป็นยิ่งนัก
“พ่อยังเสียดายที่คิดสืบเรื่องนี้ช้าไปหน่อย” บิดาของเขายังหมายมั่นปั้นมือที่จะจับให้มั่นคั้นให้ตาย
“นังเด็กนั่นฉลาดเป็นกรด พ่อแค่ส่งคนไปด่อมๆ มองๆ ไม่กี่วันมันก็แจ่นโทรไปให้ท่านหัวหน้าพรรคสั่งคนมารักษาความปลอดภัยในบ้าน” ท่าทางท่านประพัฒน์ดูแค้นเคืองเป็นหนักหนา
“เด็กของพ่อยืนยันว่าเห็นรถท่านรองผ่านไปตั้งหลายครั้งแต่เห็น รปภ. เฝ้าอยู่หน้าบ้านเลยเผ่นกลับไปไม่อย่างนั้นนะปออาจจะมีฟ้องด้วยภาพเมื่อท่านรองเข้าไปเสวยสุขกับนังเด็กนั่นถึงในบ้าน”
“พอเถอะครับพ่อ” ปรมีย์รู้สึกเกินที่จะทนฟังในสิ่งที่บิดาเขาพูดมา
“ขวัญชนกก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องต่อสู้และดิ้นรนด้วนตนเอง ผมไม่เห็นมีประโยชน์ที่พ่อจะมขุดคุ้ยเรื่องราวที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงแค่ไหนมาทำร้ายเขา” เสียงของเขาดังจนคุณรสุคนธ์ที่กำลังเตรียมอาหารอยู่ในห้องอาหารถึงกับชะงัก
“ปอ พ่อไม่คิดเลยว่าลูกจะมือบอดขนาดนี้” ท่านประพัฒน์ชึ้หน้าลูกชายมือสั่นระริก
“ปกป้องมันขนาดนี้เป็นเพราะว่ามันให้ท่าให้ทางไปถึงไหนแล้วหละ”
“พอเถอะคะ” เสียงคุณรสุคนธ์สะอื้น นางไม่เคยเห็นลูกกับพ่อต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้
“คุณพอจะอธิบายเหตุการณ์นี้ให้กระจ่างได้มั้ยคุณขวัญชนก” ท่านหัวหน้าพรรคผลักหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ฉบับหนึ่งมาตรงหน้าขวัญชนกด้วยสีหน้าเรียบสงบ ขวัญชนกไม่อาจเดาความรู้สึกใดๆ จากสีหน้าอย่างนี้แต่แววตาคมกริบที่มองตรงมาขวัญชนกนี้เองที่ทำให้หล่อนรับรู้ได้ถึงอำนาจบารมีของผู้ชายสูงวัยคนนี้
“ภาพล้อเรียนที่ปรากฎรูปการ์ตูนโดยใช้ใบหน้าของท่านสุรชาตินอนอมยิ้มขณะที่ภาพหน้าของขวัญชนกที่มีรูปร่างเหมือนตัวหนอนกำลังไต่ไปตามตัวท่านสุรชาติพร้อมกับข้อความ…เต้าไต่การเมือง เส้นทางสู่สภาหินอ่อนของดอกเตอร์ขวัญชนก….พิมพ์ในตอนล่างของปกหนังสือ
การตกเป็นทอกค์ออฟเดอะทาวน์ในชั่วเพียงข้ามคืนทำให้ขวัญชนกแทบตั้งตัวไม่ทัน การขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับกระทั่งการแกะรอยเบื้องลึกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของหล่อนในหนังสือเล่มนี้
“คนให้ข่าวเรื่องนี้มีเป้าโจมตีคือดิฉันโดยเฉพาะ” ขวัญชนกอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“คุณพอจะรู้ตัวไหม คุณมีศัตรูการเมืองคนไหนที่รู้รายละเอียดของคุณมากขนาดนี้” สายตาคมคริบของท่านหัวหน้าพรรคมองมาที่หล่อนไม่วางตา การตกเป็นข่าวครึกโครมของ สส.ใหม่ของพรรคจะว่าเป็นเรื่องไม่ดีเสียเลยที่เดียวก็ไม่ได้ในเวลานี้คนทั้งประเทศไม่มีใครไม่รู้จักดอกเตอร์ขวัญชนกถือว่าเป็นโอกาสที่เขาจะสร้าง สส.เลือดใหม่แต่เขาจะทำอย่างไรถ้าเรื่องที่ข่าวเสนอออกมานั้นเป็นเรื่องจริงที่ดอกเตอร์ขวัญชนกไม่สามารถปฎิเสธได้
ขวัญชนกถอนหายใจยาวขณะที่ผลักหนังสือตรงหน้าออกไป
“นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าพวกเขาได้ดึงท่านรองเข้ามารวมวงด้วย และสิ่งที่หลีเลี่ยงไม่ได้คือชื่อเสียงของพรรคที่จะต้องมามัวหมองด้วยเรื่องอย่างนี้”
“คุณคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป คุณจะฟ้องร้องหนังสือเล่มนี้ก็ได้นะถ้าเขาทำข่าวบิดเบือนไปจากความจริง”
“ดิฉันคิดว่าดิฉันคือส่วนหนึ่งของพรรคการกระทำใดๆ ที่มีผลต่อชื่อเสียงของพรรคดิฉันขอให้เป็นมติของพรรคคะว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้”
ขวัญชนกเป่าลมออกจากปากเบาๆ หลังจากปิดประตูตามหลังก่อนที่จะออกจากห้องหัวหน้าพรรคก้าวเดินตรงไปยังห้องทำงานของตนเองด้วยก้าวเท้าที่ไม่หมั่นคงนัก ขวัญชนกนับก้าวของตนเองอย่างช้าๆ ทั่งที่ใจอยากจะเดินออกไปให้พ้นจากสายตาครางแครงใจทุกคู่ที่กำลังมองตรงมาที่หล่อน
“ผมอยากจะเตือนคุณนะดอกเตอร์ขวัญชนก เมื่อคุณมายืนอยู่ตรงจุดนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะต้องตกเป็นเป้านิ่งคุณโชคไม่ดีเลยนะที่เพียงก้างแรกเข้ามาก็โดนข่าวอย่างนี้ แต่จำไว้นะนักการเมืองทุกคนจะต้องดูแลตนเองให้ดีที่สุดและสะอาดที่สุด” น้ำเสียงหนักแน่นของท่านหัวหน้าพรรคยังคงดังกังวาลอยู่ในโสดประสาทของขวัญชนก
“รับตำแหน่ง สส.ใหม่พร้อมกับข่าวใหญ่เลยนะดอกเตอร์ขวัญชนก” น้ำเสียงเยาะเยยดังมาจากกลุ่มนักเลือกตั้งชายที่ผิดหวังจากตำแหน่งในพรรคที่พากันชุมนุมที่ห้องรับรองของพรรค ขวัญชนกชะงักเท้ามองไปเห็นท่านประพัฒน์บิดาของปรมีย์นั่งรวมอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย
“คะ ดิฉันโชคดีจริงนอกจากท่านหัวหน้าจะไว้ใจให้โอกาสทางการเมืองแล้วยังมีผู้หวังดีไปส่งข่าวให้หนังสือพิมพ์โปรโมทข่าวดิฉันจนกลายเป็น สส.หน้าใหม่ที่ดังที่สุดในประเทศไทยตอนนี้ โอกาสอย่างนี้มีไม่กี่คนหลอกคะซ้ำร้ายบางคนพยายามาแล้วพยายามเล่าแต่กลับคว้าน้ำเหลวหน้าเห็นใจจังคะ”
ขวัญชนกจงใจทำน้ำเสียงให้ไพเราะอ่อนหวานขณะแวะเข้าไปทักทายคนกลุ่นนั้นก่อนทีจะเดินตัวตรงกลับเขาไปที่ห้องทำงานใหม่ของตนเอง ขวัญชนกค่อนข้างหมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นฝีมือของท่านประพัฒน์บิดาของปรมีย์ หล่อนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างเหนื่อยอ่อน มันใช้ปลายทางฝันของหล่อนหรือเปล่าขวัญชนกกับการได้มานั่งครอบครองเก้าอี้ในตำแหน่งนักการเมืองกับการได้เป็นสมาชิกสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ เพื่อที่จะเข้ามามีส่วนรวมในการวางแผนเพื่อบริหารประเทศ ขวัญชนกยิ้มขื่นๆ ให้ตัวเองโชคชะตาช่างเล่นตลกเอากับชีวิตหล่อนเสียจริงๆ ด้วยการจับชีวิตของหล่อนโยนเข้ามาตรงจุดนี้ ตรงที่ขวัญชนกไม่เคยคาดคิดมาก่อน
เออหนอ เบื้องหลังเก้าอี้อันทรงเกียรตินี้ขวัญชนกไม่หมั่นใจเลยว่ามันคุ้มกันหรือเปล่ากับสิ่งที่หล่อนจะต้องแลก
“ดอกเตอร์ขวัญชนกครับ” เสียงปรมีย์ดังกังวาลจากเครื่องตอบรับภายในบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่
“คะคุณปรมีย์” ขวัญชนกตัดสินใจกดสัญญานตอบรับ ถึงแม้ว่าหล่อนยังไม่พร้อมที่จะพบหน้ากับใครแต่ในเวลานี้มีเพียงปรมีย์คนเดียวเท่านั้นที่หล่อนควรจะวางใจ
“ผมมีข้อมูลบางอย่างที่หน้าสนใจแต่ผมต้องรบกวนให้ดอกเตอร์มาดู”
“เดี๋ยวดิฉันจะไปเดี๋ยวนี้ คุณเตรียมเอกสารไว้เลย” ขวัญชนกตัดสัญญานก่อนที่ปรมีย์จะพูดจบประโยค หล่อนรู้ดีว่าห้องทำงานของหล่อนไม่มีอะไรเป็นความลับการบันทึกเทปในโทรศัพท์ที่เข้ามาหาหล่อน โทรทัศน์วงจรที่ดิตอยู่ทุกมุมห้องกระทั้งโทรศัพท์มือถือส่วนตัวหล่อนก็มีการดักฟัง
ปรมีย์ยืนกอดอกมองทะลุกระจกออกไปยังตึกสูงที่แข่งกันเรียงรายขึ้นมาเป็นเครื่องประดับของพื้นที่กรุงเทพมหานครแห่งนี้ เขาหันกลับมาช้าๆ เมือได้ยินเสียงเปิดประตูท่าทีสงบเงียบของดอกเตอร์ขวัญชนกขณะเดินมาทรุดนั่งที่เก้าอี้รับแขกภายในห้องของเขา
“ขวัญ ผมเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เรื่องของขวัญกับท่านรอง” ปรมีย์ตัดสินใจเป็นคนผ่อนคลายบรรยากาศอันอึดอัดภายในห้องขณะที่ขวัญชนกนั่งตัวตรงมองดูแจกันทีวางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตานิ่งๆ
“แล้วคุณคิดยังไงกับข่าว” ขวัญชนกถามย้อนกลับด้วยน้ำเสียงปราศจากความรู้สึก
“ขวัญก้าวหน้าเร็วเกินไป” ปรมีย์ไม่กล้าที่จะบอกถึงความครางแครงใจของตนเองทั้งที่เมื่อคืนก่อนนี้เองคืนที่เข้ากกกอดขวัญชนกจนเต็มอ้อมแขน นั้นมันหมายถึงเขายอมรับนับถือหล่อนจนเต็มหัวใจ
“ก็เลยมีคนอยากกลั่นแกล้งทำลายขวัญ” ขวัญชนกตกใจที่ปลายประโยคของตนเองเริ่มสั่นไหว น้ำตาเจ้ากรรมหยดลงมาโดยไม่คลอที่หน่วยตา หล่อนเพิ่มรู้ตัวเองว่าหล่อนเจ็บช้ำกับข่าวนั้นมากขนาดไหน บ่อน้ำตาของหล่อนที่เป็นเหมือนเขื่อนกักเก็บน้ำหลังจากที่มันเก็บมาได้ทั้งวันมันกับมาพังทะลายในตอนนี้










 

Create Date : 13 กันยายน 2550   
Last Update : 13 กันยายน 2550 14:54:43 น.   
Counter : 269 Pageviews.  


faraway ตอนที่ 5

ความอิ่มใจของขวัญชนกในวันนี้มีมากเสียจนหล่อนไม่อยากจะทำอะไรมากไปกว่า การกลับไปนอนยิ้มถึงความสำเร็จของตนเอง หล่อนสามารถยืนต่อหน้าบิดาของปรมีได้อย่างไม่สะทกสะท้าน นึกถึงสีหน้าของท่านประพัฒน์เมื่อกลางวัน ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ได้รับการทักทายเหมือนคนเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ท่าทางแปลกใจนั้นก็ทำให้ขวัญชนกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาได้

“ปอจะไปรับพ่อกับแม่ไหมลูก”
มารดาของเขาแต่งตัวสวยเดินลงมาจากชั้นบน

“ไปซิฮะแม่ เดี๋ยวผมขับรถให้”
ปรมีตอบรับ วางเอกสารหนังสือสัญญาว่าจ้างของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตอบรับการสมัครงานของเขา หลังจากได้เลือกสมัครและสัมภาษณ์งานไปหลายแห่ง และบริษัทนี้เองที่เขาสนใจมากที่สุด

“ตกลงใจแล้วหรือยังลูกว่าจะทำงานอะไร”
มารดาของเขาซักถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา เมื่อปรมีก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับในรถยนต์คันหรู เขาเคลื่อนรถออกจากประตูบ้านหลังใหญ่อย่างช้าๆ

“ได้แล้วฮะแม่”
เขาตอบรับมารดา

“แต่แม่ว่ารอถามพ่อก่อนก็ดีนะ บางที่พ่อเขาอาจมีงานอะไรเตรียมไว้ให้แล้ว”

“ฮะ”

คุณรสสุคนธ์รู้สึกว่าปรมีพูดน้อยคำลงไปทุกวัน บางครั้งนางก็อยากจะถามลูกชายคนเดียวของนางเหมือนกันว่า มีเรื่องอะไรในใจหรือ แต่สิ่งที่ทำได้คือการนั่งมองความเป็นไปของลูกชายอยู่ห่างๆ หน้าที่อบรมสั่งสอนลูกดูเหมือนว่าคุณประพัฒน์จะเป็นคนรับหน้าที่นี้เอง ปรมีถูกอบรมในเรื่องหน้าที่และความรับผิดชอบตั้งแต่เด็ก ในบางครั้งตามประสาผู้หญิงที่เป็นช้างเท้าหลังคุณรสสุคนธ์ได้แต่คิดว่า ในสิ่งที่ลูกถูกกำหนดให้ทำนั้นเขาอยากทำหรือเปล่าหรือว่าเขาทำเพราะมันเป็นหน้าที่เท่านั้น กระทั่งเรื่องของการแต่งงานปรมีมีความสุขไหมเมื่อจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อและแม่เห็นดีเห็นงาม ถึงแม้ว่าปรมีจะไม่แสดงออกแต่คุณรสสุคนธ์ก็รู้ว่า ลูกชายของนางไม่เป็นสุขนัก แต่ปรมีเป็นเด็กว่าง่ายมาแต่ไหนแต่ไรและครั้งนี้คุณรสสุคนธ์ก็ไม่เห็นที่ท่าว่าปรมีจะขัดพ่อได้

การแต่งงานระหว่างปรมีกับวันวิสา ถูกกำหนดขึ้นทันทีเมื่อคุณประพัฒน์เดินทางกลับมา บิดาของเขาเป็นคนดำเนินการทุกอย่าง หลังจากพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการผ่านไป พิธีการแต่งงานถูกจัดขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนต่อมานั้นเอง ปรมีมองดูคู่หมั้นของเขาที่อีกไม่กี่วันก็จะเข้ามาอยู่ในชายคาบ้านเดียวกับเขาด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก บางทีวันวิสาอาจรู้สึกเหมือนกับเขาก็เป็นได้

ปรมีเข้าทำงานในตำแหน่งผู้บริหารกองทุน ของสถาบันการเงินที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แทนการเข้าทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาท่านรัฐมนตรีตามความต้องการของบิดาของเขา เขามีเหตุผลพอที่จะหักล้างกับความคิดของบิดาของเขา แต่เขาก็ได้สัญญากับบิดาของเขาเอาไว้ว่า เมื่อเขาได้เรียนรู้ประสบการณ์ในการทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วเขาก็ยินดีก้าวเข้าสู่สนามการเมืองอย่างที่พ่อต้องการให้เขาเป็น

ปรมีรวบรวมแฟ้มการลงทุนของกองทุนที่เขาดูแลอยู่ แฟ้มงานตั้งใหญ่ขนาดนั้นทำให้เขาต้องออกไปเรียก รปภ.ให้มาช่วยเขาขนกลับไปใส่ท้ายรถเพื่อนำกลับไปทำต่อที่บ้าน ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาเขาแทบไม่มีวันหยุด เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับภาวะการลงทุนของภาวะตลาดเงินตลาดทุนในประเทศไทย ความผิดปกติมันส่งสัญญานด้วยภาวะเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่องมาตลอดในระยะ 3 เดือนมานี้ ขณะเดียวกันกับที่ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ก็ถูกขายออกมาจนฉุดไม่อยู่

ก่อนหน้านั้นบิดาของเขาได้เตือนเขา เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน และมันก็เป็นจริงตามนั้น ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตอบรับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขั้วทางการเมืองอย่างรุนแรงนั้นมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อการเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ แต่การขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ยังคงต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าไม่มีทีที่ว่าแรงขายจะหยุดลงเมื่อไร

ปรมีพยายามเช็คข่าวต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ การขายหุ้นของบัญชีการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศมีมากมายผิดปกติ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทบอกอาการว่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว นั่นแสดงว่ามีการถอนทุนจากนักลงทุนต่างประเทศออกไปจากระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมโหฬาร มันเป็นลางร้ายทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ปรมีจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการลงทุนของกองทุนที่เขาบริหารอยู่ในขณะนี้ เพราะสัดส่วนการลงทุนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นการลงทุนของกองทุนนี้ เป็นการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เขาปิดงบไตรมาสแรกของปีนี้เป็นยอดขาดทุนครั้งแรกในรอบ 3 ปีนับจากเขาเข้าบริหารของกองทุนแห่งนี้ ถึงแม้ว่าราคาส่วนต่างของราคาหุ้นจะยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ถ้าเหตุการณ์ยังคงเป็นอย่างนี้ต่อไปปรมีมองเห็นมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนที่เขาดูแลอยู่คงจะต้องดำดิ่งลงไปยิ่งกว่านี้แน่นอน

***********
ข่าวการโจมตีค่าเงินบาท จากนักลงทุนต่างประเทศอีกระลอกใหญ่ทำให้ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเรียกขวัญชนกเข้าไปพบเป็นการด่วน ก่อนจะยื่นรายงานตัวเลขเงินทุนไหลเข้าเปรียบเทียบกับเงินทุนไหลออกที่เป็นตัวเลขของทางการให้ขวัญชนกดู อัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมระหว่างธนาคารอยู่ไต่ระดับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

“เดี้ยนว่าค่าเงินบาทคงต้านไม่ไหว”

ในเรื่องการวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ ภาวะตลาดเงินและตลาดทุนแล้วผู้อำนวยการดอกเตอร์ผู้บังคับบัญชาของขวัญชนก ถือได้ว่าเป็นมือหนึ่งในประเทศเลยทีเดียว ขวัญชนกก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจะประกาศต่อสาธารณะโดยยืนยันว่าจะคงรักษาค่าเงินบาทเอาไว้อย่างสุดความสามารถ มีกระแสการคัดค้านจากนักวิชาการนักเศรษฐกิจออกมาแสดงความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับความเสียหายที่จะเกิดจากรักษาค่าเงินของทางการ โดยการใช้เงินทุนสำรองเป็นเดิมพัน

ขวัญชนกนั่งดูตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศ การเปิดเสรีทางการเงินของประเทศเล็กอย่างเช่นประเทศเมื่อเทียบกับแหล่งเงินทุนทั่วโลก การขาดมาตรการในการกวดขันและตรวจสอบตัวเลขของเงินทุนไหลเข้าและไหลออกที่รัดกุมพอเป็นมูลเหตุสำคัญ ตัวเลขของเงินทุนที่ไหลออกจากระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากมายมหาศาลขวัญชนกแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองมองเห็น หล่อนหลับตามองเห็นซากปรักหักพังของระบบเศรษฐกิจไทย หลังจากการไหลผ่านไปของเงินลงทุนจากต่างประเทศเหล่านี้อย่างสยดสยอง

“ถ้ามีการลอยตัวค่าเงินเกิดขึ้น ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรบ้างคะอาจารย์”

สีหน้าอิดโรยของท่านผู้อำนวยการสำนักวิจัย บ่งบอกถึงความกังวลอย่างชัดเจน เป็นภาพที่ขวัญชนกไม่ค่อยเห็นนัก ขวัญชนกไม่เคยเห็นท่านแสดงทีท่าเหนื่อยล้าอย่างนี้มาก่อน

สภาวะการลงทุนของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีนี้เป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเมื่อหลายปีที่ผ่านมา สำนักวิจัยต้องรับบทหนักที่สุด ขวัญชนกในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การเงิน จึงเป็นผู้รับบทหนักในการหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดและคาดการณ์ให้ถูกต้องที่สุด เพื่อผลการวิเคราะห์ออกมาจะได้ผิดพลาดน้อยที่สุด แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างนั้น ขวัญชนกไม่รู้ว่าจะนำเอาทฤษฎีของสำนักไหนมาใช้ในการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเงินของประเทศไทยในวันนี้

************
“พังกันไปหมดล่ะคราวนี้” คุณประพัฒน์เดินหัวเสียเข้ามาในบ้าน แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นทุกคนนั่งพร้อมหน้ากันอยู่แล้ว การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทของรัฐบาลทำให้สมาชิกในครอบครัวของเขาได้อยู่กันพร้อมหน้าในรอบปีนี้ ปรมีคิดให้เป็นเรื่องขำ การประกาศหยุดการซื้อ ขายของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันการเทขายหุ้นทำให้เขามีเวลากลับมาบ้านเพื่อตั้งหลัก บิดาของปรมีชะงักเมื่อเห็นวันวิสานั่งรวมอยู่หน้าจอทีวี เพื่อรอฟังข่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

“อ้าว หนูสาอยู่ด้วยหรือ”

คุณประพัฒน์ทักทายลูกสะใภ้ก่อนจะเรียกปรมีให้ตามเข้าไปในห้องสมุด คุณรสสุคนธ์มองหน้าทุกข์ร้อนของวันวิสาด้วยความเห็นใจ โทรศัพท์มือถือของลูกสะใภ้ของนางดังขึ้นแทบทุกสิบนาที เป็นเรื่องเกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากยอดเงินกู้เดิม เสียงเอะอะดังมาจากปลายสายทำให้คุณรสสุคนธ์ได้แต่ถอนหายใจ ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวการลงทุนโครงการใหญ่ของคุณไพบูลย์บิดาของวันวิสา แต่นางก็พอจะมองเห็นอะไรบางอย่างจากปฏิกริยาของสามีของนาง

ปรมีนั่งมองบิดาของเขาเดินกลับไปกลับมาเหมือนเสือติดจั่นอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก บิดาของเขามีทางออกที่ดีเสมอสำหรับตนเองและครอบครัว ทั้งที่คุณประพัฒน์เป็นคนทำงานด้านวางแผนการลงทุนเพื่อขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลในโครงการผลิตไบโอดีเซลของคุณไพบูลย์ เพื่อนของพ่อและเป็นบิดาของวันวิสา

การตั้งโรงงานขนาดใหญ่เพื่อเป็นฐานการผลิตพลังงานทดแทนซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนเป็นพันล้าน การกู้ยืมเงินทั้งจำนวนเป็นการยืมในสกุลเงินต่างประเทศโดยไม่การป้องกันความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนตั้งแต่แรก แต่บิดาของเขาก็เป็นเพียงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น

คุณประพัฒน์ไม่ได้มีชื่อเป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการนี้ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่เป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่แรก กระทั่งเรื่องราวของเขากับวันวิสาข์ บิดาของเขาก็สั่งให้เขาไม่ให้จดทะเบียนสมรสกับวันวิสาทำให้เขาสงสัยยิ่งนัก เพราะวันวิสานั้นคือคนที่บิดาเลือกให้เขาเข้าไปเกี่ยวดองด้วยแต่กลับไม่ยอมให้เขามีภาระผูกพันกันทางกฎหมาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่บิดาเขาคิดเอาไว้นั้นได้กระจ่างแจ้งในตอนนี้นี่เอง ความกังวลรนร้อนใจของบิดาของเขาไม่ใช่เรื่องยอดหนี้ของโครงการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวนั้นเลย แต่สิ่งที่คุณประพัฒน์กังวลคือเขาไม่อยากข้องแวะบุคคลที่มีโอกาสจะล้มละลายอย่างคุณไพบูลย์และวันวิสา

ปรมีถูกเรียกให้เข้าประชุมในตอนค่ำวันนั้นร่วมกับผู้บริหารกองทุนคนอื่น ๆ สภาพการลงทุนของแต่ละกองทุนแทบจะไม่แตกต่างกันนักคือ มียอดขาดทุนจากการลงทุนเป็นจำนวนมาก

การถูกขอร้องแกมบังคับไม่ให้ขายหลักทรัพย์ในบัญชีการลงทุนของแต่ละกองทุน เพื่อพยุงราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์และยิ่งไปกว่านั้นคือ การให้เข้าไปซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเพื่อตรึงราคาดัชนีหลักทรัพย์เอาไว้

ราคาหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงไปอยู่ที่ราคาต่ำสุดภายหลังจากการเปิดตลาดไม่ถึง 15 นาที กำลังซื้อของกองทุนถึงแม้ว่าจะผนึกกำลังกันตั้งรับแต่ไม่สามารถต้านทานการกระหน่ำของแรงขายที่มาจากทั่วสารทิศได้ กองทุนที่ปรมีบริหารอยู่นั้นมีมูลค่าเงินลงทุนหายไปเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่ารวมของกองทุนภายในการซื้อ ขายของครึ่งวันนั้น

วิกฤติการทางการเงินส่งผลต่อภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศไปทั่วทุกสาขา สถาบันการเงินบางแห่งถูกสั่งให้ระงับการดำเนินกิจการ ความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศดำดิ่งลงไปถึงก้นเหวสะท้อนให้เห็นได้จากการตกต่ำของราคาหลักทรัพย์และตลาดทุน

ภายหลังจากการลอยตัวค่าเงินบาทไม่ถึงปี นักลงทุนในตลาดหุ้นกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวบรรดาผู้บริหารกองทุนเมื่อก่อนนี้เป็นเหมือนดังนักบุญ นำเงินกำไรจากการลงทุนมาแจกจ่ายให้นักลงทุนที่ซื้อกองทุนกลายสภาพเป็นคนบาป ที่ปล้นเอาเงินออมของคนไปสังเวยในตลาดหุ้น

ปรมีตัดสินใจลาออกจากการเป็นผู้บริหารกองทุนเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่สามารถบริหารกองทุนให้มีกำไรแก่ผู้ถือหุ้นได้ ส่วนบิดาของเขาได้เข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองฝ่ายค้านพรรคหนึ่งอย่างใกล้ชิด บิดาของเขาคาดการณ์อะไรไม่ค่อยผิดนัก นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันนับจากการลอยตัวของค่าเงินบาทนั้นมันเหมือนการใช้มีดกรีดเนื้อเถือหนังประชาชน การสร้างบาดแผลอันฉกรรจ์อย่างนี้ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถประคองตัวอยู่ได้ท่ามกลางกระแสความเกลียดชังอย่างรุนแรงจากชนชั้นกลางของประเทศ

รัฐบาลชุดใหม่เป็นทางเลือกอย่างเดียวของประชาชน และนักลงทุนในขณะนั้นปรมีถูกเรียกให้เข้าไปทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่หลังจากการแบ่งงานในกระทรวงต่าง ๆ ของพรรครัฐบาลชุดใหม่ลงตัว

“คุณปรมีมีแขกมาขอพบ”

เสียงจากเครื่องตอบรับภายใน ทำให้ปรมีละสายตาจากกองเอกสารอยู่ตรงหน้า รู้สึกหน้ามืดกับกองงานมหึมาบนโต๊ะ

“คุณสา”
ปรมีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขาไม่ได้เจอหน้าวันวิสามาเป็นเวลาเกือบ 3 เดือนแล้วนับจากเขาเข้ารับงานใหม่นี้

“คุณพ่อคุณเป็นอย่างไรบ้าง”

คุณไพบูลย์บิดาของวันวิสาเส้นเลือดในสมองแตกต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือนแล้ว เป็นเหตุให้วันวิสาต้องกลับไปดูแลงานทั้งหมดแทนบิดาของหล่อน วันวิสาเป็นผู้หญิงเข็มแข็งมาก เขาไม่คิดว่ามีผู้หญิงในวัย 30 ต้นๆ ไม่กี่คนทำได้อย่างหล่อน

“กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว แต่ยังช่วยเหลือตนเองไม่ได้”
วันวิสาลุกขึ้นเดินไปยืนกอดอกมองทะลุกระจกออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ห้องทำงานคุณสวยดีนะ”
วันวิสายิ้มเหยียด ครอบครัวของหล่อนกำลังถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้องเพื่อเรียกหนี้คืน กับจำนวนหนี้มหาศาลขนาดนั้นหล่อนจะเอาปัญญาที่ไหนไปหามาใช้คืนได้ โครงการลงทุนขนาดพันล้าน ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการผลิต มีเพียงโครงการก่อสร้างที่แล้วเสร็จพร้อมกับเครื่องจักรนำเข้า ทั้งหมดกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมร้าง ไม่มีใครกล้าหยิบยื่นเงินมาต่อท่อลมหายใจเพื่อให้โครงการดำเนินต่อไปได้ มันเป็นสาเหตุสำคัญเพียงพอที่จะทำให้บิดาของวันวิสาเครียดเสียจนเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นคนอัมพาตช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่ต้องมานอนรับรู้ความเจ็บปวดของตนเอง

วันวิสายอมรับเงินจำนวนหนึ่ง จากคุณประพัฒน์บิดาของปรมีเพื่อแลกกับการหย่าขาดกับชายหนุ่ม วันวิสาใช้เวลาคิดไม่นานนักเมื่อเห็นจำนวนเงินในเช็คใบนั้น ถ้าจะหวังพึ่งปรมีกับหน้าที่การงานของเขาคงหาเงินให้หล่อนจำนวนขนาดนี้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้พึ่งพาบิดาของเขา แต่วันวิสายังคงรู้สึกว่าครอบครัวของปรมีจ่ายให้หล่อนน้อยเกินไป มันไม่เพียงพอกับความสูญเสียที่ครอบครัวของหล่อนได้รับอยู่ในตอนนี้

“คุณทานอะไรมาหรือยัง”
ปรมีมองดูนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเที่ยงกว่าแล้ว

“ไปทานข้าวกันก่อนแล้วผมจะแวะไปเยี่ยมพ่อของคุณด้วย”
เห็นหน้าเครียดของวันวิสาแล้วปรมีรู้สึกถึงความบกพร่องของตนเองยิ่งนัก ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวันวิสานั้นดูเหมือนห่างไกลคำว่าสามี ภรรยา ยิ่งนัก

“ไม่ต้องหรอก ฉันเพียงแค่แวะมาลาคุณเท่านั้น”

วันวิสาเดินกลับมานั่งเผชิญหน้ากับปรมี ผู้ชายสุภาพ อ่อนโยนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้ ช่างห่างไกลกันลิบลับกับความหน้าเนื้อใจเสือของคุณประพัฒน์บิดาของเขา บางทีระหว่างสองพ่อลูกนี้อาจมีเนื้อในไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ว่าปรมีซ่อนเก็บเอาไว้ได้แนบเนียนกว่าก็อาจเป็นได้ ในยามนี้วันวิสาได้สูญเสียความรู้สึกที่ดีที่ควรจะมีให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไปหมดแล้ว นับจากเพื่อนฝูงพากันหนีหน้าหายไป วันวิสาไม่อาจเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใครได้ในยามเดือดร้อนอย่างนี้

“พ่อคุณเขียนเช็คให้ฉัน แลกกับการออกไปจากชีวิตคุณ”
วันวิสาหยิบเช็คในกระเป๋าถือออกมาให้เขาดู ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ฉันคำนวณดูแล้ว มันคงพอถ้าฉันจะนำมันไปตั้งหลักใหม่ หลังจากการล้มละลายของพ่อ”

หางเสียงของวันวิสาสั่นเครือลงอย่างไม่สามารถควบคุมความรู้สึกได้ ก่อนจะเก็บเช็คใบนั้นลงในกระเป๋าตามเดิม

“คุณสา “
ปรมีเพิ่งตั้งสติได้ วันวิสากำลังก้าวเดินออกไปยังประตูห้องทำงานของเขา หล่อนชะงักมือที่กำลังจับลูกบิด

“มีอะไรให้ผมช่วยเหลือ บอกผมได้เลยนะ เราไม่ใช่คนอื่น”
ปรมีพูดออกไปเหมือนคนละเมอ

“เราเป็นคนอื่นกันตั้งแต่พ่อฉันล้มเหลวในธุรกิจนั่นแล้ว”

ปรมีเห็นแววเจ็บช้ำในดวงตาของวันวิสา เขายอมรับว่าตลอดเวลาเกือบ 3 ปีเขากับหล่อนใช้ชีวิตร่วมกันในฐานะคู่ชีวิต ถึงแม้จะไม่มีรสหวานซาบซ่าให้หัวใจพองโตคับอก ปรมีไม่เคยจะเร่งเวลาเพื่อกลับบ้านไปร่วมรับประทานอาหารค่ำพร้อมหน้ากับวันวิสา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นยินดีเมื่อถึงวันที่วันวิสาจะเดินทางกลับหลังจากไปดูแลกิจการต่างจังหวัดคราวละเกือบสิบวันในแต่ละเดือน
แต่ระหว่างเขากับวันวิสาไม่เคยมีปากเสียงกัน ดูเหมือนว่าธุรกิจและการงานจะเป็นตัวคั่นกลางระหว่างความสัมพันธ์ของเขาและหล่อน ให้อยู่ในระยะเท่าเดิมนับจากวันแรกที่แต่งงานกันจนกระทั่งวันนี้ วันที่วันวิสาก้าวเดินออกจากชีวิตเขา ปรมีรู้สึกใจหายเมื่อลับร่างของวันวิสา ความผูกพันธ์ฉันท์สามี ภรรยา ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ควรเลยที่เขาจะปล่อยให้วันวิสาเผชิญมรสุมทางธุรกิจเพียงลำพัง

“พ่อฮะ”
ปรมีตัดสินใจโทรหาบิดาของเขา

“ผมอยากถามพ่อเรื่องของสา”

“ปอเหรอลูก พ่อกำลังยุ่งมีอะไรเอาไว้คุยกันที่บ้านนะ”

พ่อของเขาตัดบทสนธนาแทบจะทันที ปรมีรู้ได้ในทันทีว่าจะไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้กันอีก

***********
ขวัญชนกเดินออกจากโต๊ะทำงานเป็นคนสุดท้าย เอกสารการวิเคราะห์ทุกชิ้นอยู่ในกล่องกระดาษปิดผนึกเรียบร้อยแล้ว รอให้เจ้าหน้าที่มาลำเลียงส่งไปยังห้องกรรมการบริษัท ตลอดเวลาเดือนเศษขวัญชนกต้องรับงานแทนหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์แต่ละฝ่ายที่ทยอยพากันยื่นใบลาออกตามผู้อำนวยการสำนักวิจัย เป็นการแสดงความรับผิดชอบในความผิดพลาดจากการวิเคราะห์เศรษฐกิจของตนเอง ตั้งแต่วันแรกที่บริษัทถูกสั่งให้ระงับกิจการ จนกระทั่งในตอนนี้เหลือเพียงขวัญชนกคนเดียวที่ยังอยู่คอยรับหน้าเรื่องของฝ่ายวิเคราะห์เพียงลำพังกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการอีกสองคน

ภายใน 3 เดือนนี้บริษัทจะต้องโอนทรัพย์สินและหนี้สินให้เสร็จสิ้น เป็นประกาศจากทางการตั้งแต่วันแรกที่บริษัทถูกสั่งให้ระงับกิจการ พนักงานเกือบทั้งหมดถูกให้ออกจากงาน เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายไม่กี่คนจะต้องอยู่คอยเก็บรายละเอียดของธุรกรรมต่างๆ ทั้งหมดของบริษัทที่ได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อรายงานต่อทางการ และรอการตรวจสอบ

ขวัญชนกเดินสำรวจไปทั่วทั้งชั้นเหมือนจะกล่าวคำอำลา หน่วยงานที่ก่อตั้งและดำเนินการมากว่า 30 ปีต้องมาถึงตอนอวสานลงด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาก่อน พนักงานของบริษัทร่วมพันคนกลายสภาพเป็นคนว่างงานทันที มีหลายคนโชคดีมีงานอื่นรองรับในทันที แต่มีอีกหลายร้อยคนที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตของตนเอง กระทั่งขวัญชนกเองก็ตาม นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปหล่อนก็ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งตัวออกไปทำงานอีกต่อไป

***********
เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าออกจากสนามบินของประเทศไทย ขวัญชนกหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน อะไรหนอมาเล่นตลกเอากับชีวิตของหล่อนเพียงแค่จดหมายฉบับเดียวจากสภาวิจัย เป็นจดหมายเชิญชวนให้หล่อนนำงานวิจัยเข้าประกวด พันธะสัญญาต่าง ๆ ที่หล่อนได้ทำไว้กับที่ทำงานเก่าได้จบสิ้นไปพร้อมกับชื่อของบริษัทได้ถูกลบออกไปจากทำเนียบบริษัทของประเทศไทย ทำให้ขวัญชนกมีสิทธิ์เต็มที่ในงานวิจัยของหล่อน

งานของขวัญชนกได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในสาขาทางด้านโครงสร้างทางการเงินสามารถนำไปต่อยอดความรู้ได้หลายด้าน คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลแนะนำให้ขวัญชนกนำเรื่องที่หล่อนศึกษาเอาไว้เอาไปศึกษาต่อ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ แต่สภาวิจัยไม่มีทุนทรัพย์ในการสนับสนุนทางด้านนี้

ขวัญชนกหอบงานวิจัยชิ้นดังกล่าวพร้อมกับรางวัล และข้อเสนอแนะจากสภาวิจัยเพื่อไปขอรับการสนับสนุนการให้ทุน เพื่อไปทำปริญญาเอกสาขาต่อจากที่หล่อนได้ศึกษาเอาไว้แล้ว กว่าหล่อนจะเตรียมข้อมูลเสนอแนวทางการศึกษาต่อจนได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ หล่อนต้องใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถที่หล่อนมีอยู่ แต่การหาหน่วยงานจะมาสนับสนุนให้ทุนเรียนนั้นมันยากยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า

ในที่สุดขวัญชนกจำเป็นต้องติดต่อไปยังท่าน ผอ.ดอกเตอร์ที่เคยเป็นผู้บังคับบัญชาของหล่อน ซึ่งตอนนี้ท่านได้เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ มันเป็นความหวังอันดับสุดท้ายของขวัญชนก อาจเป็นเพราะการรับรองจากอดีตผู้บังคับบัญชาเก่าหรืออาจเป็นเพราะท่านรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นคนคนเดียวกับที่เคยไปดูงาน เมื่อคราวที่หล่อนไปทำงานวิจัยชิ้นนี้อยู่ต่างประเทศเมื่อ 3 ปีก่อน ขวัญชนกไม่อาจเดาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วหล่อนก็ต้องมานั่งอยู่บนเครื่องบินลำนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปต่างเมืองพร้อมกับสัญญาว่าขวัญชนกต้องกลับมาทำงานให้ท่านรัฐมนตรีผู้ให้การสนับสนุนทุนให้แก่หล่อน

ขวัญชนกส่งผลการเรียนของหล่อน ไปยังผู้ให้ทุนสนับสนุนหล่อนอย่างสม่ำ เสมอ หล่อนมาใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาอยู่ต่างเมืองอย่างนี้เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว หล่อนไม่เคยเดินทางกลับเมืองไทยเลย รู้สึกอ้างว้างอยู่ในใจตนเองลึกๆ เมื่อมองไม่เห็นใครที่ตนเองจะมีไว้คิดถึงและกลับไปเยี่ยมเยือน ด้วยเหตุนี้กระมังทำให้ขวัญชนกมุ่งมั่นและตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนในต่างแดนอย่างเต็มที่ ไม่มีใครรออยู่ข้างหลังกระทั่งในอนาคตข้างหน้าหล่อนก็ยังไม่รู้ว่าจะมีใครสำหรับหล่อนหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดภายในเวลาอีกไม่ถึงปีหล่อนก็จะสามารถคว้าดีกรีดอกเตอร์จากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ได้สำเร็จ

ข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ทำให้ขวัญชนกต้องรีบตรวจสอบข่าวด้วยหัวใจเต้นระทึก ขวัญชนกตัดสินใจโทรศัพท์กลับมาหาท่านรัฐมนตรีผู้ให้ทุนสนันสนุนโดยตรงกับหล่อนเป็นครั้งแรก เมื่อทราบผลการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ การเปลี่ยนขั้วทางเมืองของไทยเกิดขึ้นได้บ่อยจนคนในวงการการเมืองมองเห็นเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ขวัญชนกรู้สึกหวั่นวิตกมากกว่า

“ไม่ต้องห่วงนะคุณขวัญชนก รีบเรียนให้จบแล้วกลับมาช่วยงานผม”

น้ำเสียง อบอุ่นของท่านสุรชาติ อดีตรัฐมนตรีวัยกลางคนกับท่าทางภูมิฐาน ขวัญชนกจำได้ติดตานั้นคงราบเรียบปกติ
ขวัญชนกลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกถึงความโชคดีของตนเองที่มีคนสนับสนุนค้ำจุนหล่อนเสมอมานับจากจำความได้ หล่อนนอนยิ้มอยู่คนเดียวในอพาร์ทเม็นท์ส่วนตัวที่ท่านสุรชาติได้ให้หล่อนเข้ามาพักอย่างสะดวกสบายตั้งแต่ปีที่สองของการมาเรียนอยู่ที่นี่ จะมีเด็กกำพร้าคนไหนได้โอกาสดีเหมือนหล่อนในอย่างนี้ จะให้หล่อนทำงานรับใช้คนที่สนับสนุนหล่อนไปจนชีวิตจะหาไม่ขวัญชนกก็ไม่คิดเกี่ยง

“ผมมีงานให้คุณทำนะขวัญชนก”

หลังจากรับหน้าที่เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ระยะหนึ่ง ท่านสุรชาติได้ทะยอยส่งรายละเอียดโครงสร้างการทำงานของท่านให้ขวัญชนกทราบ ขวัญชนกต้องใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 2 ชั่วโมง เพื่อตรวจสอบข่าวสารต่างๆ ทางการเมืองของประเทศไทยผ่านอินเตอร์เน็ต

การเดินทางไปเจรจาการค้าของรัฐมนตรีพาณิชย์ของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก การประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นในเมืองที่หล่อนกำลังศึกษาอยู่ในอีกสัปดาห์ข้างหน้า เป็นข้อมูลจากท่านสุรชาติให้หล่อนมา ขวัญชนกมีหน้าที่คือ ต้องหาวิธีเข้าร่วมสังเกตการณ์ของการประชุมในครั้งนี้ ขวัญชนกใช้ชื่อของมหาวิทยาลัยขอเป็นตัวแทนนักศึกษาในระดับปริญญาเอก เพื่อเข้าไปสังกตุการณ์และศึกษาการทำงานและบทบาทขององค์การการค้าโลก และโอกาสก็เป็นของหล่อนเมื่อมีรายชื่อของหล่อนปรากฎอยู่ในรายชื่อของผู้เข้าประชุมทั้งหมดนั้นด้วย

ท่านสุรชาติบินด่วนจากเมืองไทย เพื่อมาฟังการบันทึกเทปตลอดการประชุมทั้งสามวันโดยหล่อนต้องบันทึกจากห้องประชุม และส่งตรงไปยังท่านสุรชาติที่รอฟังการประชุมจากการบันทึกเทปของหล่อนอยู่ในอพาร์ทเม็นท์ ขวัญชนกรู้สึกแปลก ๆ กับการจะต้องอยู่ร่วมชายคากับชายวัยกลางคนที่ยังดูเป็นหนุ่มกว่าวัยเพราะว่าได้ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ยิ่งเวลาอยู่ในชุดลำลองแล้วเขาดูเป็นผู้ชายหนุ่มใหญ่ที่ดูอบอุ่นไม่น้อย ด้วยท่าทางเป็นกันเองของท่านนั่นเองทำให้ขวัญชนกคลายความอึดอัดลงไปบ้าง

“ถ้าคุณไม่สะดวกใจผมไปนอนโรงแรมดีกว่าไหม”

ท่านสุรชาติเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นขวัญชนกกำลังชงกาแฟของตนเองอยู่เงียบ ๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิด

“ท่านจะรับกาแฟด้วยไหมคะ”

หล่อนถามแต่คิดอะไรในใจอีกเรื่อง หล่อนเองต่างหากควรจะไปนอนโรงแรมเพราะอพาร์ทเมนท์แห่งนี้ เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านสุรชาติอยู่แล้ว

“ท่าน เทิ่นอะไรกันดูห่างเหินพิกล อึม…ปกติผมไม่ดื่มกาแฟค่ำๆ อย่างนี้ แต่ได้ก็ดีนะ”

ท่าทางของท่านสุรชาติทำให้ขวัญชนกเบาใจลง ก่อนนำกาแฟไปวางบนโต๊ะตรงหน้าท่านสุรชาติที่กำลังนั่งถอดเทปการประชุมอยู่อย่างไม่จริงจังนัก

“ปกติคุณทานอาหารยังไง”

ท่านสุรชาติจิบกาแฟมองหน้าขวัญชนก หล่อนถือถ้วยกาแฟเดินเลี่ยงไปนั่งเก้าอี้นวมตรงมุมหนึ่งของห้องพัก

“ทานจากข้างนอกคะ กลับมาก็ทำงานต่อเลย”

ขวัญชนกตอบเบาๆ ก่อนที่จะขอตัวเข้าห้องเพื่อทำงานต่อ ปล่อยให้เจ้าของอพาร์ทเม็นต์ครอบครองห้องพักผ่อนตามลำพัง

ขวัญชนกนั่งทำงานต่อจนเกือบตีสามแล้วฟุบหลับอยู่ตรงนั้นเอง กลิ่นหอมของอาหารจากห้องครัวเล็กๆ ในอพาร์ทเม็นต์แห่งนี้ ปลุกให้หล่อนตื่นขึ้นมาในตอบเช้า รู้สึกโผเผขณะเดินเข้าห้องน้ำ อาบน้ำสระผมอย่างรวดเร็ว มองดูนาฬิกายังเช้าอยู่มาก การประชุมขององค์การการค้าโลกในวันสุดท้ายเริ่มเกือบ 10 โมง ขวัญชนกเลือกชุดกางเกงแบบสุภาพแทนการใส่ชุดสูทเหมือนเช่นทุกวัน

“ตื่นแล้วเหรอ มาทานข้าวด้วยกัน”

ท่านสุรชาติเอ่ยทักหล่อน เมื่อเห็นหล่อนเปิดประตูห้องออกมา กลิ่นอาหารหอมฉุยจนขวัญชนกแอบกลืนน้ำลาย

“ข้าวไข่เจียวทานด้วยกันไหม”
ท่านสุรชาติกุลีกุจอหาจานข้าวมาตักข้าวอีกจานสำหรับหล่อน ข้าวสวยร้อนๆ ขวัญชนกไม่เคยเจอมานานแล้วกับไข่เจียวหอมกรุ่น ขวัญชนกกินอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมขอบคุณคนที่ทำอาหารเช้าให้ทาน

“ท่าทางคงไม่เจอข้าวมานาน”
ท่านสุรชาติทักเมื่อหล่อนวางช้อนส้อมหลังจากข้าวหมดไปจานที่สอง

“คะ”
หล่อนยิ้มเขินๆ รู้สึกวางใจผู้ชายกลางคนกับท่าทางสบายๆ คนนี้มากขึ้น

“คุณดูอ้วนขึ้นนะ”
ท่านสุรชาติทักมองหล่อนไม่วางตา

“แต่ผมชอบนะ ผู้หญิงผอมบางอย่างนางแบบไม่เห็นสวยตรงไหน”

ขวัญชนกพยายามมองหาเจตนาอื่นที่แอบแฝงอยู่ในความหมายของคำพูดนั้น

“คุณมีแฟนรึยัง”
ขวัญชนกแทบสำลักน้ำเมื่อเจอคำถามนี้จากปากท่านสุรชาติ

“ขวัญต้องไปประชุมแล้วนะคะ”

ขวัญชนกขอตัวเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก ไม่มีใครถามประโยคนี้หล่อนมาตั้งนานแล้ว ความทรงจำในความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับปรมีมันลางเลือนไปตั้งนานแล้ว แต่สายตาดูหมิ่นดูแคลนของคุณประพัฒน์บิดาของปรมีกลับแจ่มชัดอยู่ในความรู้สึกของขวัญชนก หล่อนจะไม่รักคนอย่างปรมีอีกต่อไป ถึงแม้ว่าหล่อนจะเคยรักเขามากขนาดไหนก็ตาม เพราะคนอย่างเขาไม่มีวันออกจากปีกอันแข็งแกร่งของบิดาของเขาได้ตลอดชีวิตของเขา

ในเวลานึกถึงคำว่าคนรักขวัญชนกกลับไม่รู้สึกกับธงทิวได้อย่างนั้น ทั้งที่ทุกวันนี้หล่อนยังคงระลึกถึงธงทิวอยู่เสมอ แต่ความทรงจำของหล่อนที่มีให้กับธงทิวนั้นกลับกระจ่างและชัดเจนยิ่งกว่า ขวัญชนกมองเห็นแววของความตื่นเต้นยินดีที่ออกมาจากสายตาของธงทิวอย่างปกปิดเอาไว้ไม่ได้ทุกครั้งเวลาหล่อนเจอกับเขา

“คุณสวยขึ้นมากจนผมจำแทบไม่ได้”

เป็นคำทักทายประโยคแรกของธงทิวเมื่อคราวที่หล่อนเดินทางไปเยี่ยมเขาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า การติดตามข่าวเพื่อนคนหนึ่งคนนี้ของขวัญชนกไม่ใช่เรื่องยาก แต่กว่าหล่อนจะปลีกเวลาไปหาเขาและครอบครัวได้ก็เป็นปีที่ 2 ของการมาใช้ชีวิตในต่างเมืองของหล่อน ครอบครัวของธงทิวทำให้การมาอยู่ที่นี่ของหล่อนใช่ว่าจะไร้ญาติขาดมิตรเสียเลยทีเดียว

ธงทิวมีชีวิตอย่างสงบและเป็นสุข กับครอบครัวของเขาในบ้านหลังเล็กที่ไม่ใช่บ้านชายโสดคนเดียวตรงถนนนอกเมืองของเชียงใหม่ เขามีลูกสาวคนหนึ่งอยู่ในวัยกำลังช่างเจรจาพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกลับไปกลับมาจนหน้าเวียนหัวและน่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน

“ทิวเขาเล่าถึงคุณบ่อยๆ จนฉันรู้สึกเหมือนว่ารู้จักคุณมาสักสิบปี”

อลิเซียภรรยาของเขาทักทายหล่อนเป็นภาษาไทยอย่างสนิทสนม ขวัญชนกได้แต่อิจฉาความลงตัวอันพอดีของครอบครัวนี้ที่คนอย่างหล่อนไม่มีวันได้เจอ ขวัญรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ขณะนั่งรถกลับจากบ้านของธงทิว

“เป็นเพราะขวัญไม่รู้จักหยุดเพื่อมองหาความต้องการที่แท้จริงของตนเอง”

ธงทิวพูดถูกทุกเรื่อง ตั้งแต่แรกเริ่มรู้จักกันเลยทีเดียว กระทั่งวันนี้ธงทิวเหมือนเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ยืนมองดูหล่อนวิ่งวนไปในทางเดินของชีวิต

***********
การประชุมนั้นได้เสร็จสิ้นไปแล้วหลังจากได้ประชุมต่อเนื่องมาแล้วสามวัน ขวัญชนกในฐานะผู้สังเกตุการณ์เดินออกจากห้องประชุมเป็นคนสุดท้าย หล่อนเดินข้ามถนนเดินตรงไปยังร้านกาแฟที่อยู่ตรงข้ามสถานที่ประชุม ผลักประตูกระจกของร้านมองหาท่านสุรชาติซึ่งมานั่งคอยหล่อนอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ประชุมยังไม่เลิก

เสื้อสเวสเตอร์สีอ่อนกับการเกงสแล็คของท่านสุรชาติในวันนี้ ทำให้ท่านเหมือนนักท่องเที่ยวชาวเอเชียคนหนึ่งกำลังดื่มกาแฟ มองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาผ่านกระจกหน้าร้านด้วยท่าทางผ่อนคลาย ขวัญชนกเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเงียบๆ

“กาแฟสักแก้วไหม”
ท่านสุรชาติเอ่ยทัก

ขวัญชนกส่ายหัว ร้านกาแฟแห่งนี้ราคาแพงลิบลิ่วสมกับเป็นร้านกาแฟมีชื่อเสียงและตั้งอยู่ย่านธุรกิจของเมืองใหญ่แห่งนี้ หล่อนเพียงแค่เคยเดินผ่านไปผ่านมาเท่านั้นไม่เคยคิดจะใช้เงินมาซื้อกาแฟรสชาติดีเพียงแค่แก้วเดียว ซึ่งราคาเท่ากับขวัญชนกกินอาหารได้ทั้งวัน

“ขอน้ำดื่มสักแก้วก็แล้วกันคะ ท่านออกไปเที่ยวที่ไหนบ้างหรือยังคะ”

ขวัญชนกเอ่ยเมื่อลับร่างของบริกร

“ท่านอีกแล้ว”
น้ำเสียงท่านสุรชาติดูเหมือนจะขัดใจ

“เรียกลุงก็ได้นะดูสนิทสนมดี”
ท่านสุรชาติสรุปง่ายๆ

“ท่านยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”
ขวัญชนกบอกตรงๆ ตามความรู้สึกของหล่อน

ขวัญชนกทำหน้าที่เป็นผู้นำเที่ยวและพาท่านสุรชาติไปตามสถานที่ต่างๆ ตลอดบ่ายของวันนั้น สร้างความสนิทสนมให้กับคนทั้งสอง ดูเหมือนว่าช่องว่างระหว่างวัยของผู้ให้การสนับสนุนกับผู้รับการสนับสนุนดูแคบลงตั้งมาก

อาหารมื้อค่ำหรูหราที่สุดในชีวิตของขวัญชนก ท่านสุรชาติให้ขวัญชนกเรียกว่าคุณอาแทนที่จะเรียกว่าเป็นคุณลุงอาสาเป็นเจ้ามือ ในฐานะที่หล่อนได้พาเขาไปเทียวจนทั่วทั้งเมือง ขวดไวน์แพงระยับถูกสั่งให้เปิดเป็นขวดที่ 2 ขวัญชนกรู้สึกมึนๆ ทั้งที่หล่อนจิบไปไม่กี่แก้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณอาของหล่อนยังมีอาการปกติทั้งที่ดื่มไปตั้งมาก

“กลับกันเถอะคะ”

เห็นท่าทางคุณอาแล้วขวัญชนกต้องยอมแพ้ ผู้ชายวัย 50 ปีเศษ แต่ดูเหมือนว่าการออกไปเดินตะลอนไปกับหล่อนตลอดทั้งบ่าย จนกระทั่งเวลานี้เกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ยังไม่มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียให้หล่อนเห็น ขวัญชนกมองดูผู้ชายตรงหน้าที่ในขณะนี้เหมือนชายหนุ่มอายุสัก 40 ปี พร้อมกับเสน่ห์ของชายวัยหนุ่มใหญ่อยู่เต็มเปี่ยม

“เอาอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางท่านยังอยากนั่งดื่มต่อ แต่ก็เรียกบริกรให้มาเก็บเงินแต่โดยดี ขวัญชนกลุกขึ้นยืนรู้สึกเหมือนฟ้าจะหมุนก็เลยทรุดนั่งลงอย่างเร็ว ท่านสุรชาติหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวอย่างขำ ๆ ขณะเดินอ้อมมาเป็นหลักให้ขวัญชนก หล่อนพยายามเดินให้ตรงทาง เพื่อไม่ต้องเดินเกาะแขนกับท่านสุรชาติ แต่ก็ไม่เป็นผล

“ดิฉันแย่จังเลยคะ”
ขวัญชนกบ่นให้กับตนเองเมื่อก้าวเขาไปนั่งในรถแท็กซี่ก่อนจะเผลอหลับไป

ขวัญชนกป่ายมือเปะปะอยู่ในความฝัน เหมือนดั่งมีเชือกสักร้อยสักพันเส้นมาพันเลื้อยรอบตัวหล่อน รู้สึกเหมือนแขนขาหมดเรี่ยวแรงจะดิ้นรน เหมือนว่ามีสิ่งมาร้อยรัดแน่นตรึงแทบหายใจไม่ออก หล่อนได้กลิ่นไวน์ฉุนกรุ่นที่จมูก ในความรู้สึกเหมือนร่างกายถูกลมพัดหอบให้ปลิวเคว้งคว้างเหมือนฝุ่นผง หล่อนไม่ได้ฝันไม่ใช้เส้นเชือกที่ร้อยพันรัดตัวหล่อน แต่มันเป็นวงแขนของผู้ชายคนหนึ่งกำลังโลมลูบอยู่บนเนื้อตัวเปล่าเปลือยของหล่อน ขวัญชนกดิ้นรนมือสองข้างของหล่อนผลักไส แต่อุ้งมือใหญ่คว้ามือหล่อนบังคับให้กางออกแล้วกดทับ ขวัญชนกรู้สึกถึงน้ำหนักตัวที่ทาบทับริมฝีปากอุ่นกรุ่นกลิ่นไวน์เลื่อนมาปิดปากหล่อนให้นิ่งสนิทอยู่อย่างนั้น หล่อนรู้สึกเหมือนใจจะขาดเมื่อร่างกายของหล่อนถูกเบียดแทรกเข้าไปอย่างบุกรุกอุกอาจ อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาจะไหล ขณะที่ปล่อยให้บทรักดำเนินไปอย่างช้า ๆ

ท่านสุรชาติไม่คาดว่าจะได้ยินเสียงสะอื้นไห้จากผู้หญิงคนนี้ แต่เขาก็ไม่อยากให้หล่อนเงียบอย่างนี้ ขวัญชนกเป็นเด็กดี สะอาดบริสุทธิ์เกินกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก ปฏิกิริยาของขวัญชนกทำไมผู้ชายอย่างเขาจะไม่รู้ ความพร้อมทั้งฐานะและรูปร่างหน้าตาดึงดูดให้ผู้หญิงคนแล้วคนเล่าทั้งสาวและไม่สาวได้ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขาจนนับไม่ถ้วน แต่เขารู้ว่าขวัญชนกแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่เขาเคยได้ผ่านมา

เขาเอื้อมมือไปก่ายกอดร่างนุ่มของขวัญชนก ดึงร่างบางได้สัดส่วนนั้นมาแนบอก ไม่มีปฏิกริยาแข็งขืนจากขวัญชนกแต่หล่อนก็ไม่โอนอ่อนผ่อนตามเขา เพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว ท่านสุรชาติยิ้มอยู่คนเดียวในความมืด ขณะหลับตาลง อย่างมีความสุข

***********
คนขับรถพาหล่อนผ่านการจราจรแออัดของกรุงเทพฯ มายังบ้านหลังขนาดกระทัดรัดหลังหนึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางพอสมควร สวนหน้าบ้านได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างมีรสนิยม ขวัญชนกมองเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาตามแนวรั้ว บ้านหลังเล็กจึงเหมือนถูกโอบล้อมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มันเป็นบ้านที่น่าอยู่มากที่สุดในความรู้สึกของขวัญชนก

“ท่านฝากไว้ให้คุณ กุญแจบ้านอยู่ในนี้ด้วยครับ”

ท่าทางสุภาพนบนอบของคนขับรถที่ท่านสุรชาติส่งไปรับหล่อนมาจากสนามบิน และพาหล่อนมายังบ้านหลังนี้ โค้งคำนับหล่อนอีกรอบก่อนจะถอยรถออกไปช้าๆ ขวัญชนกไขกุญแจเข้าไปในบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมเพียงใบเดียวที่หล่อนนำติดตัวเดินทางมาด้วย ข้าวของอย่างอื่นหล่อนได้รวบรวมใส่กล่องส่งมาทางเรือล่วงหน้ามาก่อนแล้ว หล่อนยืนมองการตกแต่งภายในบ้านอย่างรู้สึกพอใจ เป็นการต้อนรับการกลับมาเมืองไทยที่อบอุ่นไม่น้อยกับบ้านหลังขนาดย่อมภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่

เสียงโทรศัพท์มือถือดังมาจากระเป๋าเอกสาร ที่คนขับรถได้มอบให้กับหล่อน ขวัญชนกเปิดกระเป๋ายิบโทรศัพท์มือถือ แน่นอนมันเป็นของหล่อนอย่างไม่ต้องสงสัย

“ว่ายังไงเด็กดีของฉัน ชอบไหมบ้านหลังนี้”
เสียงทักทายจากปลายสาย ขวัญชนกจำได้ดีถึงแม้ว่าจะอยู่ในสายใกล้หรือไกลแค่ไหน

“ขอบคุณคะ”
ขวัญชนกตอบเบาๆ ไปตามสาย นี่หล่อนกลายเป็นภรรยาลับของท่านสุรชาติเต็มตัวแล้วสินะ ใบโอนบ้านหลังนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหล่อนพร้อมกับใบส่งมอบรถยนต์หรูหราแพงระยับ สมบัติพัสถานมูลค่ามากมายขนาดนี้ลำพังตัวหล่อนเองไม่รู้ว่าจะเอาสติปัญญาที่ไหนหามาปรนเปรอให้กับตนเอง แต่ท่านสุรชาติกลับเนรมิตให้หล่อนได้ง่ายๆ เหมือนกับซื้อของเล่นในห้างสรรพสินค้าให้เด็กคนหนึ่ง

“พักผ่อนให้สบายนะ เดี๋ยวค่ำๆ จะไปหา”
ขวัญชนกกดสันญาณปิดการรับสาย หล่อนควรจะดีใจหรือเสียใจดีกับสถานะภาพของตนเองในเวลานี้

ท่านสุรชาติเปิดประตูห้องนอนเบาๆ เห็นขวัญชนกนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนนุ่ม เขามองเรือนร่างได้สัดส่วนของหญิงสาวอย่างหลงไหล เขายอมรับกับตนเองว่าขวัญชนกเป็นเหมือนดั่งไฟเย็น พอถึงเวลาก็ร้อนเร่าจนจะผลาญเผาเขาให้ละลายเป็นจุล นับจากครั้งแรกที่เขาได้ครอบครองหล่อน เขาต้องหาโอกาสบินไปหาหล่อนเสมอเมื่อมีโอกาส เวลานี้ขวัญชนกกลับมาพร้อมกับดีกรีดอกเตอร์พ่วงท้ายถือว่าวิเศษสำหรับเขาเลยทีเดียว เขาเตรียมตัวต้อนรับหล่อนให้สมกับความพอของเขาในตัวหล่อน เขาใช้เวลาตระเวนหาตั้งนานกว่าจะได้บ้านถูกใจอย่างนี้

ผู้หญิงอย่างขวัญชนกใช่ว่าจะหาได้ง่าย หล่อนใช้แต่แค่เร่าร้อนคอยตอบสนองอารมณ์ต้องการของเขาเท่านั้น แต่หล่อนมีความชาญฉลาดและมันสมองอันเฉียบคม อย่างหลังนั้นเองที่ทำให้ขวัญชนกดูมีค่ากว่าผู้หญิงคนอื่นของเขา เขาจะไม่มีวันปล่อยให้ขวัญชนกหลุดรอดไปถึงมือคนอื่น

ที่นอนไหวยวบจากน้ำหนักที่ทับลงมา ปลุกให้ขวัญชนกตื่นขึ้นจากการหลับไหล กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ คุ้นจมูกทำให้ขวัญชนกรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นใครอื่นได้ หล่อนแสร้งทำเป็นหลับต่อไปอีกไม่ได้ เมื่อลมหายใจอุ่นจากจมูกกดเบา ๆ ตรงหน้าผากกลมมนของหล่อน

“ตื่นได้แล้วเด็กดีของฉัน”
เสียงกระซิบจากริมฝีปากที่เริ่มไล้จากหน้าผากมายังติ่งหูเล็ก ๆ ของหล่อน ก่อนจะใช้ฟันขบกัดเบา ๆ ขวัญชนกรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านตัวลงเรื่อยลงไปจนถึงปลายเท้า

“อาบน้ำด้วยกันนะ”
เสียงท่านสุรชาติดังเหมือนคนละเมอขณะฉุดหล่อนให้ลุกขึ้นจากเตียง

ขวัญชนกปล่อยให้ชุดนอนผ้านุ่มหลุดร่วงออกจากร่างของตนเองด้วยน้ำมือของท่านสุรชาติ เผยให้เห็นเรือนร่างอันสมบูรณ์ของวัยสาวปรากฏแก่สายตาของเขา รู้สึกสะดุ้งเมื่อความเย็นของน้ำจากฝักบัวโปรยลงมากระทบร่างกายอย่างนุ่มนวลพร้อมกับอุ้งมืออันร้อนรุมที่เอื้อมมาเกาะกุมอกหยุ่นแน่นจนเต็มมือ ทำให้หล่อนรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาว จนต้องกอดก่ายร่างกายเปลือยเปล่าที่ยังคงมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของผู้ชายคนนี้เอาไว้อย่างแนบแน่น

















 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 15:37:34 น.   
Counter : 233 Pageviews.  


Faraway ตอนที่ 4

“ผมยังไม่กลับเมืองไทยนะครับพ่อ”
สีหน้าแย้มยิ้มด้วยความปลาบปลื้มในความสำเร็จของลูกชายคนเดียวของบิดาของเขาเปลี่ยนไปทันที

“ผมอยากฝึกทำงานในบริษัทของต่างชาติ และหาประสบการณ์ในการทำงานอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อน”

ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าอย่างไรเขาก็ต้องแต่งงานกับวันวิสา แต่เขาก็ยังอยากยืดเวลาออกไปอีก ในความคิดของเขาการแต่งงานมันต้องมีรากฐานมาจากความรักเป็นอันดับแรก และการที่เขาจะรักวันวิสามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีขวัญชนกก็ตาม จนป่านนี้แล้วเขายังรู้สึกผิดต่อขวัญชนกแล้วเขาจะไปแต่งงานกับคนอื่นได้อย่างไร และถ้าหากว่าขวัญชนกยังมั่นคงและซื่อตรงต่อเขา เขายิ่งรู้สึกผิดมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาหวังเหลือเกินว่าจะมีผู้ชายดีๆ สักคนผ่านเข้ามาในชีวิตของหล่อน เขาอยากเหลือเกินที่จะได้รู้ว่าหล่อนได้ลงเอยกับใครสักคนไปแล้ว
………………………………
ขวัญชนกกอดโครงร่างวิทยานิพนธ์ของหล่อนเอาไว้แนบอก รูปร่างบอบบางของหล่อนดูเพรียวบางลงยิ่งไปกว่าเดิมอันเป็นผลมาจากคร่ำเคร่งในตำราเรียนที่ต้องค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมมากมาย ผนวกกับงานประจำที่ไม่เคยลดเบาลงเลยตลอดเวลาในการศึกษาต่อของหล่อน

“หัวข้อวิจัยของคุณผ่านการอนุมัติตามโครงการสนับสนุนงานวิจัย จากสภาวิจัยแล้ว”

คณบดีเรียกหล่อนไปพบและแจ้งข่าวเรื่องการขอทุนสนับสนุนการทำวิจัย นั่นมันแทบทำให้หล่อนกระโดดตัวลอยขณะเดินออกจากห้องคณบดี ฐานะอย่างหล่อนนะหรือจะมีปัญญาไปศึกษางานยังต่างประเทศ อย่าว่าแต่แค่ไปเที่ยวเลยแค่ค่าเครื่องบินหล่อนยังต้องเก็บเงินตั้งหลายเดือน แต่นี่หล่อนจะต้องไปทำวิจัยตามโครงการถึงหกเดือน ถือว่าเป็นเกียรติประวัติแก่ตนเองยิ่งนัก

“MD ไม่อนุมัติการลาของคุณ”

ผู้จัดการฝ่ายยื่นหนังสือคำขอของหล่อนมาตรงหน้า ขวัญชนกรับซองมาเปิดอ่านด้วยดวงตาพร่าพราย จบกันความฝันของหล่อน ไม่มีใครรู้หรอกว่าขวัญชนกต้องใช้พยายามขนาดไหน กว่าจะผ่านด่านการทดสอบจากสภาวิจัย หล่อนฝึกฝนภาษาอังกฤษแทบทุกนาทีที่หล่อนยังลืมตาอยู่ มีเวลานอนหลับพักผ่อนเพียงแค่วันละ 3-4 ชั่วโมงและหล่อนก็สามารถทำได้ คือการได้เป็นนักศึกษาแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นในสาขาที่หล่อนเรียนในมหาวิทยาลัย

“คุณลองเข้าไปคุยกับท่านดูมั้ย เผื่อว่าจะมีโอกาส”

ผู้จัดการส่วนแนะนำหล่อนสั้นๆ ทำให้ความหวังของหล่อนเริ่มจุดประกายขึ้นมาอีก

“ผมว่าน่าจะลองดู ผมไม่เคยเจอกรณีอย่างนี้ ถ้าเป็นผมผมคงอนุมัติให้คุณไปเพราะมันเป็นการเพิ่มมูลค่าเพิ่มในตัวพนักงานอย่างหนึ่ง”

ขวัญชนกได้ผู้บังคับบัญชาที่ดีเสมอนับจากสำนักงานต่างจังหวัด ที่ไม่คิดเหนี่ยวรั้งหล่อนเอาไว้ใช้งานใน เมื่อขวัญชนกขอย้ายกลับมาทำงานยังสำนักงานใหญ่ เมื่อครั้งหล่อนสอบเข้าเรียนต่อได้เมื่อสองปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาอยู่ในสำนักงานใหญ่ผู้บังคับบัญชาหล่อนก็ไม่เคยจ้องจะจับผิดในยามที่หล่อนใช้เวลาว่างในการท่องตำราเรียน

“จะให้แจ้งท่านว่าใครมาขอพบคะ”
น้ำเสียงหวานใสของเลขาหน้าห้องถามขวัญชนก เมื่อหล่อนแจ้งความประสงค์ในการเข้าพบกับกรรมการผู้จัดการขององค์กรใหญ่แห่งนี้

“ขวัญชนกคะ คุณสมชัยเป็นคนนัดไว้ให้ค่ะ”
หล่อนเอ่ยนามผู้จัดการส่วนที่เป็นผู้บังคับบัญชาหล่อนโดยตรง

“กรุณานั่งรอสักครู่นะคะ”
เลขาสาวผายมือเชิญหล่อนให้นั่งรอตรงชุดรับแขกบุนวมตัวใหญ่ที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้องนี้ เคาะประตูเบาๆ เป็นการขออนุญาตก่อนผลักประตูเข้าไป

ขวัญชนกสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ทอดสายตามองผ่านกระจกชั้นที่ 21 ของตึกสูงแห่งนี้ ย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้า ความเจริญทางวัตถุที่รุดหน้าไปทุกวัน เพียงแค่กระพริบตาเดียวอาจมีการเซ็นอนุมัติเงินในการก่อสร้างตามโครงการต่างๆ หลายสิบโครงการ เศรษฐกิจของประเทศไทยในยามนี้ส่งผลให้มีการซื้อง่ายจ่ายคล่องกันทุกระบบ กระทั่งบริษัทที่หล่อนทำงานอยู่ก็มีการขยายธุรกิจโดยการขยายสาขาออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง

“การจัดตั้งองค์กรในรูปแบบโฮลดิ้งของบริษัทเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในความคิดของขวัญชนก การเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมาย เพื่อหวังแค่ส่วนแบ่งกำไรโดยไม่ได้ดูจุดมุ่งหมายการลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่น่าวิตก อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากว่าธุรกิจที่เข้าไปร่วมลงทุนนั้นเกิดความล้มเหลว

“เชิญค่ะ”
เลขาหน้าห้องสาวสวยเดินออกมายิ้มให้กับหล่อน

ขวัญชนกยิ้มให้ผู้หญิงสวยจัดคนนี้ รู้สึกชื่นชมในความงดงามทั้งรูปร่างหน้าตาและกริยาของหล่อน ก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้องทำงานห้องใหญ่ตรงหน้า เป็นครั้งแรกของขวัญชนกในการได้มาเผชิญหน้ากับนักบริหารที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของเมืองไทยคนนี้ตามลำพัง หนุ่มใหญ่วัย 50 ที่ดูหนุ่มกว่าวัยเป็นสิบปีนั่งผึ่งผายอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ สมฐานะผู้บริหารองค์กรใหญ่แห่งนี้ ขวัญชนกรู้สึกว่าเสียงหัวใจของหล่อนเต้นแรงจนแทบจะได้ยินเสียงออกมานอกอก ขณะที่ก้าวเท้าของหล่อนกับมั่นคงพาตนเองไปยืนสงบอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่

“คุณขวัญชนกนั่งสิ ผมสนใจหัวข้อวิทยานิพนธ์ของคุณนะ คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของคุณไม่น้อย”

ขวัญชนกรู้สึกเหมือนว่าโอกาสไปทำวิจัยของหล่อนลอยมาอยู่แค่เอื้อม แต่หล่อนยังคงนั่งเป็นผู้ฟังอย่างสงบ รู้สึกชื่นชมผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ไม่แปลกเลยที่เขาจะนำองค์กรนี้ไต่ระดับขึ้นมาเป็นบริษัทขั้นนำของประเทศไทย ขวัญชนกได้แต่หวังว่าสักวันหล่อนจะก้าวไปขอเพียงแค่สักครึ่งหนึ่งของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ก็พอใจแล้ว

ขวัญชนกอ่านร่างสัญญาการยอมรับเงื่อนไข มันเป็นสัญญาผูกพันหล่อนให้ทำงานกับองค์การนี้ต่อไป โดยจะต้องไม่เรียกร้องค่าตอบแทนพิเศษใดๆ เพิ่มเติมหลังจากหล่อนกลับมาจากการทำวิจัย โดยอนุญาติให้หล่อนลาพักงานได้ 6 เดือนและผลงานวิจัยของหล่อนจะต้องเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทด้วยเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นหล่อนต้องทำงานอยู่ในองค์กรแห่งนี้ไม่น้อยกว่า 3 ปี ทั้งที่ขวัญชนกรู้ว่าบริษัทเอาเปรียบหล่อนอยู่มาก และถ้าหล่อนละเมิดสัญญาดังกล่าวหล่อนจะต้องจ่ายค่าชดเชยในจำนวนเงินที่สูงมากก็ตาม แต่หล่อนก็เต็มใจลงนามในหนังสือสัญญานั้น

ภาวะของตลาดแรงงานในตอนนี้ อำนาจต่อรองมักจะเป็นของแรงงานเสมอ เพราะแรงงานสามารถหางานทำได้ง่าย การเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วจึงเกิดขึ้นในองค์กรเกิดใหม่และโตเร็ว ผลก็คือผู้บริหารระดับต้นหรือระดับกลางของบางองค์กร คือเด็กรุ่นใหม่วัยเดียวกับขวัญชนก เพื่อนหล่อนบางคนย้ายงานไปเป็นผู้จัดการได้เงินเดือนสูงลิ่ว ทั้งที่ประสบการณ์การทำงานไม่ถึง 5 ปี ประสบการณ์ของชีวิตเพียง 25 ปีเช่นหล่อน แต่ขวัญชนกไม่คิดย้ายไปไหนถึงแม้ว่ามีบริษัทเกิดใหม่บางแห่งมายื่นข้อเสนอเงินเดือนให้กับหล่อนเท่าตัวพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ ข้อเสนอดังกล่าวนั้นทำให้ขวัญชนกตื่นเต้นเป็นนักหนา แต่เมื่อประเมินค่าความเสี่ยงแล้ว ขวัญชนกเลือกที่จะเกิดและเติบโตในองค์กรที่ใหญ่และมีความมั่นคงมากกว่า และที่ทำงานของหล่อนก็ถือได้ว่าเป็นบริษัทชั้นนำแห่งหนึ่งเช่นกัน

“ทิวขวัญจะไปเมืองนอก”
ขวัญชนกโทรทางไกลไปหาธงทิว เขายังเป็นเพื่อนที่แสนดีของขวัญชนกอยู่เสมอ

“จริงเหรอ”
ธงทิวพลอยตื่นเต้นไปกับหล่อนด้วย

“แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”

ขวัญชนกบอกกำหนดการของหล่อนคร่าว ๆ ในยามนี้ธงทิวเป็นเหมือนญาติสนิทคนหนึ่งของหล่อน มีเพียงธงทิวเท่านั้นที่ร่วมยินดีกับหล่อนในยามหล่อนมีความสุขและมีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นเดือดเป็นร้อนเวลาหล่อนเจอทางตันของชีวิต

“พอดีเลย กลับมาทันงานแต่งงานของผม”
ธงทิวบอกข่าวดีของเขา หล่อนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเป็นงานของตนเอง

“ทำไมเร็วจัง”
ขวัญชนกรู้สึกใจหาย

“ลิสเขาต้องกลับไปประจำอยู่สำนักงานใหญ่ ต้องจดทะเบียนกันก่อนผมถึงจะย้ายตามไปด้วยได้”
ธงทิวอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ

“อย่าบอกนะว่าทิวแต่งงานกับอลิเซียเพราะต้องการกรีนการ์ด”

ขวัญชนกแน่ใจว่าธงทิวยังรู้สึกดีๆ กับหล่อน แล้วเหตุใดเขาถึงจะจากเมืองที่เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเขา เป็นบ้านที่เขาบอกว่ารักนักหนา แต่ตอนนี้เขากลับจะไปปักหลักอยู่ไกลถึงอีกหนึ่งซีกโลก

“ไม่ใช่หรอกขวัญ ลิสน่ารักมากถ้าขวัญรู้จักเขา ขวัญจะรักเขาเหมือนที่ผมรัก”

น้ำเสียงของธงทิวแจ่มใสชัดเจนอยู่ในแก้วหูของขวัญชนก เหมือนกับว่าเขาพูดอยู่ข้างหูหล่อน ขวัญชนกรู้สึกยินดีกับธงทิวเหลือเกินที่เขาหาคนของเขาเจอ ขวัญชนกรู้ดีว่าคนอย่างธงทิวต่อให้เขาไปอยู่ที่ไหนเขาก็เป็นสุขเพราะเขารักในสิ่งที่เขาเป็น ขวัญชนกนึกเปรียบเทียบธงทิวเป็นเหมือนดังแม่น้ำที่อยู่กลางหุบเขามีแต่ความฉ่ำเย็นสุขสงบ

ขวัญชนกวางโทรศัพท์ลงเบาๆ ความรูสึกเงียบเหงาถาโถมเข้ามาหาหล่อนจนแทบตั้งตัวไม่ติด ขณะที่ใครต่อใครเขามีใครต่อใครกันไปหมดแล้ว แล้วขวัญชนกล่ะหล่อนกำลังวิ่งวนเพื่อไขว่คว้าหาดาวดวงไหนอยู่หรือ การมีอนาคตอยู่ร่วมกับปรมีชายคนแรกรักนั้นหล่อนก็ได้บอกตนเองมาตั้งนานแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้ ป่านนี้เขาคงแต่งงานไปแล้วกับคู่หมายของเขาคนที่เป็นข่าวครึกโครมตั้งแต่ตอนนั้น และหล่อนก็ไม่เคยรู้เรื่องราวอะไรของเขาอีกเลย เหมือนกับว่าไม่เคยรู้จักเหมือนกับตายจาก

ปรมีตัดสินใจกลับเมืองไทยอย่างกระทันหัน ถึงแม้ว่าเขากำลังไปได้ดีกับการทำงานในต่างแดน บิดาของเขาวางแผนจะเกษียนอายุงานก่อนกำหนดโดยมีเป้าหมายคือ การก้าวเข้าสู่สนามการเมือง

บิดาของเขาได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเงียบ ๆมา ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานี้ ผ่านพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่งซึ่งทำหน้าที่เป็นฝ่ายรัฐบาล มารดาเขามักจะโทรศัพท์มาเล่าให้เขาฟังอยู่เสมอในเรื่องการเข้าออกของเพื่อนนักเรียนสมัยมัธยมศึกษาของบิดาของเขา ที่เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงหลักของพรรคร่วมรัฐบาล

บิดาของเขาในต้นวัยห้าสิบ ถึงแม้ว่าจะถือว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่งของระบบราชการ แต่บิดาของเขาไม่ปล่อยให้สถานการณ์ของตนเองเป็นไปเช่นนั้น การสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายการเมืองนั้นเป็นการปูทางเพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปสู่การเข้ามามีบทบาทในการเมืองของบิดาของเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน่วยงานที่บิดาของเขาเป็นประธานบริหารอยู่นั้น คือหน่วยงานส่งผ่านงบประมาณอย่างมหาศาลในแต่ละปี การเข้าพบกับบิดาของเขาของนักการเมืองจึงมีเกิดขึ้นเสมอทั้งในทางตรงและทางลับ

ปรมีรู้สึกแปลกใจกับจำนวนเงินมหาศาล ที่บิดาของเขาได้โอนผ่านเข้ามาในบัญชีเงินฝากของเขาอย่างต่อเนื่อง เขาเคยถามบิดาของเขาในคราวหนึ่ง เมื่อครั้งบิดาของเขาเดินทางไปเยี่ยมเขาและให้เขาไปดูบ้านในย่านพักผ่อนนอกเมือง เพื่อซื้อเอาไว้เวลามาพักผ่อนต่างประเทศ นั่นยิ่งทำให้เขาแปลกใจจนอดไม่ได้ที่จะถามถึงที่มาของจำนวนเงินเหล่านี้

เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แทบจะเรียกได้ว่ามีอัตราเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีโครงการใหญ่ ๆ มีวงเงินหมุนเวียนในแต่ละโครงการเป็นพันล้าน รอการอนุมัติเพื่อเริ่มโครงการ ไม่รวมโครงการขนาดกลางหรือขนาดเล็กที่กำลังตอกเสาเข็ม เพื่อวางรากฐานการก่อสร้างทุกมุมเมืองของประเทศไทย บิดาของเขากลายเป็นบุคคลที่ได้รับผลพลอยได้จากการขยายตัวจากภาคธุรกิจนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ปรมีพลิกหนังสือ MIRACLE OF ASIAN ในมือของตัวเองด้วยแววตาครุ่นคิดในฐานะของนักวิเคราะห์เศรษฐกิจจากสถาบันการเงินต่างประเทศชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำให้เขาได้กลิ่นบางอย่างมาพร้อมเงินมหาศาลที่ฝากเข้ามาในบัญชีของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างมันกระจ่างชัดอยู่ในตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย ทำให้เขารู้สึกว่ามันดูฉาบฉวยเป็นเหมือนภาพลวงตา กระทั่งตึกสูงระฟ้าที่แข่งกันผุดขึ้นมาในกลางกรุงเทพฯ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อตอน 3 ปีที่แล้วก่อนที่เขาจากไปเรียนต่อจนแทบจำถนนหนทางไม่ได้

“อ้าว ปอลูกมายังไง แล้วทำไมไม่โทรศัพท์บอกแม่ก่อน”

เสียงตื่นเต้นของมารดาของเขาแสดงอาการประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาในบ้านในชุดเดินทางมีเด็กรับใช้ลากกระเป๋าใบใหญ่เดินตามมาห่างๆ ปรมีเดินเข้าไปกอดมารดาที่ยังคงมีอาการตื่นเต้นกับการมาของเขาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี

“ยังไม่นอนอีกหรือฮะแม่”

โดยปกติแล้วมารดาของเขาจะเข้านอนก่อนใคร ถ้าไม่ออกไปงานเลี้ยงสรรสรรค์กับบิดาของเขาที่ไหน เขามองดูผมของแม่ยังคงจัดรูปทรงสวยงามเหมือนเพิ่งกลับมาจากข้างนอก

“แม่เพิ่งกลับจากสนามบิน ไปส่งพ่อ เขาไปดูงานต่างประเทศ”

ปรมีเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนอนของตนเองอย่างครุ่นคิด การเปลี่ยนเวลาที่เกิดจากการเดินทางข้ามทวีปทำให้ร่างกายของเขายังปรับสภาพได้ไม่ดีนัก เขาเดินออกมาข้างล่างเพื่อหาเครื่องดื่นร้อนๆ ดื่ม เมื่อไม่สามารถข่มเปลือกตาให้หลับลงไปได้ เขาเลือกที่นั่งตรงมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น เปิดม่านออกให้เห็นกระจกใสที่สามารถมองทะลุสวนหย่อมหน้าบ้านได้ทั้งบริเวณ แสงไฟแรงเทียนต่ำภายในห้องทำให้มองเห็นสวนที่จัดแต่งอย่างงดงามชัดเจนจากสีนวลของแสงจันทร์ที่ส่องสว่างจนเขารู้สึกว่าแม้สัตว์ตัวเล็ก ๆ แอบหลบอยู่ใต้พุ่มไม้ก็มองเห็นได้ว่าเป็นสัตว์ชนิดไหน

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่เขาไม่ได้นั่งมองการทำงานของธรรมชาติที่ผสมผสานกลมกลืนกันอย่างนี้ มันนานพอกันกับเวลาที่เขาไม่ได้ติดต่อพูดคุยกับขวัญชนกนั้นเลยทีเดียว

“ถ้าขวัญหายไป ปอจะตามหาขวัญไหม”
ขวัญชนกเอ่ยกับเขาเบาๆ ในกลางดึกคืนหนึ่ง เมื่อเขาและหล่อนแอบกลุ่มเพื่อนออกมาชมพระจันทร์เพียงลำพัง

“ไม่ตามหรอก”
เขากระเซ้าหล่อนเล่น ทั้งที่แขนสองข้างของเขายังคงโอบกอดเอวบางของหล่อนไว้ในอ้อมแขน

“ถ้าอย่างนั้นปอมากอดขวัญทำไม”
ขวัญชนกพยายามแกะมือของเขาที่เกี่ยวกอดหล่อนเอาไว้ ทำให้ปรมีรัดวงแขนเขาให้แน่นขึ้น กดจมูกของเขาเพื่อสูดดมกลิ่นกรุ่นของผมสวยของขวัญชนก

“ตามซิ ปอจะประกาศหาขวัญตามบิลบอร์ดทั่วเมืองและประกาศหาตามหนังสือพิมพ์ด้วย”

“จ้างให้ก็ตามหาไม่เจอ”
ขวัญชนกหันกลับมาทำตาโตให้กับเขา

“แต่ถ้าปอเดินตามพระจันทร์ไป ปอถึงจะหาขวัญเจอ ง่ายๆ”
ขวัญชนกเน้นเสียงคำว่า “ง่ายๆ”

ทำให้เขาฟังแล้วเหมือนกับว่ามันจะเป็นอย่างที่หล่อนว่านั้นจริงๆ รวมทั้งสีหน้าแววตาของขวัญชนกที่แย้มยิ้มพริ้มพรายอยู่ตรงหน้าทำความรู้สึกของเขาให้พลุ่งพล่าน ร่างบางอรชรอุ่นอัดแน่นไปด้วยเนื้อสาวอยู่ในอ้อมแขนของเขา ปรมีไม่กล้าวาดรอยหมองเอาไว้ในร่างกายของขวัญชนก หล่อนสะอาดไปทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งที่เขาอยากจะทำอะไรหล่อนมากกว่าการตระกองกอดอยู่แค่นั้น

“เห็นไหมพอขวัญหยุดเดินพระจันทร์ก็หยุดเหมือนกัน”

หล่อนพยายามพิสูจน์ให้เขาเห็นจริง

“ขวัญเดินไปซ้ายพระจันทร์ก็ไปซ้าย พอขวัญไปทางขวาพระจันทร์ก็ไปทางขวาด้วย”

หล่อนเดินไปซ้ายก่อนหันกลับมาเดินไปทางขวาแสดงลักษณะตามที่หล่อนพูด ปรมีกอดอกมองดูหล่อนอย่างเอ็นดูทุกๆ อริยาบทของขวัญชนกนั้นต้องตาต้องใจเขาเสมอถึง แม้เรื่องราวที่หล่อนบอกกล่าวนั้นจะเป็นเรื่องราวเพ้อฝันไร้สาระขนาดไหนในความคิดของเขา

“แล้วที่พระจันทร์จมทะเลหายไปนั้นไงล่ะ”
เขานึกสนุกในการโต้แย้งกับหล่อน

“ก็…”
พอขวัญชนกตอบคำถามเขาไม่ได้ ขวัญก็พาลพาโลกับเขาอย่างกับเด็กๆ เขาวิ่งหนีกลับไปบังกะโลที่พักที่มีเพื่อนๆ นอนเกะกะอยู่เต็มบ้าน

“นอนไม่หลับหรือลูก”
มารดาของเขาตื่นเช้าก่อนใคร

“ฮะแม่”
ปรมีหลับตาลงก่อนจะหายใจยาว

“มีอะไรหรือเปล่าลูก”

ในความเป็นแม่ถึงแม้ว่าไม่ได้ใกล้ชิดเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวคนนี้สักเท่าไหร่ ปรมีเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แต่การที่เขาลุกมานั่งเงียบๆ กับสีหน้าและแววตาครุ่นคิดทำให้คนเป็นแม่รู้สึกกังวล

“ผมอยากไปหาขวัญ”
ปรมีตัดสินใจบอกมารดาถึงความคิดของเขา

“จะดีหรือลูก ถ้าพ่อเขารู้เขาจะว่าอย่างไร อย่าลืมนะว่าลูกมีหนูสาเป็นคู่หมั้นอยู่”

มารดาเตือนสติเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนเบา ถึงแม้จะรู้ดีว่าลูกชายคนเดียวคนนี้เป็นคนว่านอนสอนง่ายเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาขนาดไหน และนางก็รู้สึกเสียใจที่จะมาบังคับจิตใจของลูกในเรื่องอย่างนี้ ในฐานะของการเป็นลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชิวิตขึ้นอยู่กับการนำพาของสามี นางเป็นตัวแทนของคำว่าช้างเท้าหลังอย่างสมบูรณ์ นางไม่เคยรังเกียจรังงอนกับผู้หญิงคนไหนถ้าลูกของนางได้เลือกแล้ว ขอให้เป็นคนดีและเป็นที่รักของปรมีนางก็ยินดีรักด้วย แต่คุณประพัฒน์เขาคิดไปไกลกว่านั้น เขาได้วางแผนทางเดินชีวิตของลูกชายเอาไว้แต่แรกเริ่ม ตั้งแต่ปรมียังเป็นเด็กชายตัวน้อยๆ และคนอย่างเขาคงไม่ยินยอมปล่อยให้ลูกชายของเขาเดินออกไปนอกรูปนอกรอยที่เขาวาดเอาไว้

“ผมเพียงแค่อยากจะไปดูเท่านั้น ว่าเขาสุขสบายดีแค่ไหน”

ผู้เป็นมารดาได้แต่ถอนหายใจ นางคุ้นเคยเสียแล้วกับการเป็นผู้รับฟังและคล้อยตาม ถึงแม้ว่าการที่ปรมีจะไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่คุณประพัฒน์ตั้งข้อรังเกียจเรื่องชาติตระกูล ทั้งที่ตัวเขาเองก็มาจากตระกูลคนสามัญธรรมดา แต่ด้วยความอุตสาหะและสติปัญญาดีกว่าคนอื่น บวกกับการได้แต่งงานกับลูกสาวเจ้าเมืองต้นตระกูลเก่าแก่จึงเป็นแรงหนุนอย่างดี ช่วยทำให้คนทะเยอทะยานอย่างคุณประพัฒน์ก้าวหน้าในอาชีพได้รวดเร็วกว่าคนอื่นในรุ่นราวคราวเดียวกัน จนในบางครั้งนางก็อดคิดไม่ได้ว่าการที่เขาเลือกแต่งงานกับนางนั้น เพื่ออนาคตการงานของเขาเป็นประการสำคัญ

ในบางครั้งคุณประพัฒน์ได้เดินทางไปประชุมสัมมนาคราวละหลายวัน ก็มีข่าวมากระทบหูของนางทั้งที่อยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม แต่นางก็ไม่เคยตีโพยตีพายกับเขา ทุกเรื่องทุกราวที่ผ่านเข้ามาจึงเก็บเงียบอยู่ในใจของนางแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเขากลับมาบ้านนางก็ดูแลปรนนิบัติเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตามปกติ การถูกอบรมให้เป็นแม่เหย้าแม่เรือนไม่ให้มีปากมีเสียง บางครั้งก็สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้กับนาง แต่สิ่งที่ทำได้คือแอบปาดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าถักริมลายสวยด้วยฝีมือประณีตของตนเอง

เมื่อเห็นเด็กขวัญชนกนั้น ทุกท่าทีทุกถ้อยคำและท่วงท่าดูสง่าผ่าเผยถึงแม้เจ้าตัวจะมีรูปร่างบอบบาง ทำให้นางรู้สึกนิยมเด็กสาวคนนั้นขึ้นมาเหมือนกัน มันเป็นบุคลิกเดียวกันกับคุณประพัฒน์เมื่อตอนหนุ่มนั่นเอง นางมองเห็นลักษณะของคนสามัญที่ไม่สามัญในแววตาของเด็กคนนั้น

************
ปรมีบอกให้คนขับรถของโรงแรมพาเขาไปยังสถานีขนส่ง แทนที่จะไปสนามบิน เขาอยากยืดเวลาทางเดินทางกลับกรุงเทพฯ ให้นานขึ้นสักหน่อย ความสวยงามของปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาวของเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้ทำให้เขาอยากอยู่พักผ่อนต่อไปอีกแม้สักชั่วโมงเดียว แต่เขาก็ยังอยากคิดทบทวนอะไรบ้างในระหว่างการเดินทาง

“หนูขวัญเขาย้ายกลับไปเรียนต่อกรุงเทพฯนานแล้ว เขาไม่ได้ส่งข่าวให้คุณทราบหรือ”

คุณยายเจ้าของบ้านเช่าบอกกับเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เปล่าฮะ คือผมไปเรียนต่อเพิ่งกลับมาคิดว่าขวัญยังคงอยู่ที่นี่”

ปรมีบอกตัวเองไม่ถูกว่าเขารู้สึกอย่างไรกับขวัญชนก เขาแค่เพียงอยากจะแน่ใจว่าขวัญชนกมีใครอื่นแล้ว เพื่อเขาจะได้แต่งงานกับวันวิสาโดยไม่รู้สึกผิดต่อขวัญชนกเพียงแค่นั้นนะหรือ แล้วที่เขารู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าอยู่ในเวลานี้ เป็นเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าหล่อนเป็นอยู่อย่างไรที่ไหนกับใครไม่ใช่หรือ

***************
เสียงนาฬิกาปลุกดังสนั่นขึ้นมาในห้องเล็กๆ ของขวัญชนกในตอนเช้าตรู่ ตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งเดียวนี้ ขวัญชนกเพิ่งจะรู้สึกชังน้ำหน้าเสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้าก็ตอนมาใช้ชีวิตช่วงสั้นๆ ในต่างแดนนี่เอง หล่อนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังจะหลับแต่นั้นมันถึงเวลาที่หล่อนจะต้องตื่นได้แล้ว หล่อนได้นอนวันละ 4-5 ชั่วโมงก็จริง แต่เป็นการนอนที่ในหัวของหล่อนเต็มไปด้วยข้อมูลและรูปแบบสมการต่างๆในงานวิจัย ด้วยระยะเวลาในการศึกษาค้นคว้าเพียงแค่หกเดือนทำให้หล่อนต้องเร่งทำงานจนแทบไม่มีเวลากินเวลานอน

ความยุ่งยากของขวัญชนกไม่เพียงแต่แค่นั้นการเป็นชาวเอเชียคนเดียวในกลุ่มผู้วิจัยทั้ง 8 คนนั้นหล่อนมีอาวุโสน้อยที่สุด กว่าขวัญชนกจะทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของคนในกลุ่มนั้น หล่อนต้องใช้กลวิธีมากมายแต่ด้วยความโอบเอื้อของนิสัยคนตะวันออกนั่นเอง ที่เป็นเครื่องมืออย่างดีสำหรับหล่อน การอาสาทำงานในส่วนที่ใครๆ ไม่สนใจและในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบขวัญชนกก็ทำได้ดีนั่นเอง ทำให้ชาวต่างชาติต่างภาษาหันมาสนใจหญิงสาวตัวเล็กๆ คนนี้จากเมืองไทยด้วยความชื่นชม

วันนี้จะมีคณะรัฐมนตรีและผู้ติดตามที่มาจากเมืองไทยมาเยี่ยมชมการทำงานวิจัยระหว่างประเทศ มันเป็นงานที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งกว่าการนั่งจมอยู่กับกองข้อมูลมหึมาเพื่อสรุปหาสมมติฐานการวิจัยเสียอีก แต่ขวัญชนกจำเป็นต้องลุกขึ้นแต่งตัวออกไปทำหน้าที่ต้อนรับแขกที่มาเยือนในสายของวันนี้ เสียงเป่าปากเฟี้ยวฟ้าวดังมาจากลุ่มผู้ชายหนุ่มและไม่หนุ่มที่นั่งรวมกันอยู่ก่อนหน้าที่ขวัญชนกจะเดินเข้ามาแล้ว ขวัญชนกยิ้มหวานให้กับทุกคนขณะที่ย่อกายถอนสายบัวอย่างงดงาม วันนี้หล่อนแต่งตัวเป็นพิเศษกว่าเคยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับเพื่อนรวมงานวิจัยหนุ่มๆ ของหล่อนได้ ขวัญชนกจัดการเชื่อมต่อข้อมูลในส่วนของหล่อนเข้าไปในเครื่อข่ายของทุกคน และเปิดรับข้อมูลของทุกคนที่ป้อนเข้ามาในเครื่องคอมพิวเตอร์ของหล่อน ก่อนออกไปที่ห้องรับรองเมื่อเห็นว่าใกล้เวลานัดแล้ว

ขวัญชนกคว้าเสื้อโค้ตที่แขวนอยู่มุมประตูสวมมาทับชุดเข้ารูปแบบเก๋เหมาะกับรูปร่างได้สัดส่วนของหล่อน ก่อนจะก้าวยาวๆ เดินตรงไปตามเทอเรสหน้าตึกที่เป็นทางเชื่อมไปยังอีกตึกหนึ่ง หล่อนเคาะประตูเบาๆ ก่อนผลักประตูแล้วเดินเข้าไปข้างใน

ศาสตราจารย์ชาวอินเดียผู้เป็นประธานควบคุมการทำงานคณะวิจัยของขวัญชนกลุกขึ้นยืน กล่าวแนะนำขวัญชนกแก่อาคันตุกะผู้มาเยือน ขวัญชนกยกมือไหว้ทุกคนแทนการจับมือตามธรรมเนียมชาวตะวันตก ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อในทฤษฎีโลกกลมเพราะมันเกิดขึ้นกับขวัญชนกมาแล้วถึงสองครั้งสองครา

ท่าทางประหลาดใจของคุณประพัฒน์บิดาของปรมี เมื่อเห็นเด็กสาวตรงหน้านั้นคือขวัญชนกยิ่งทำให้หล่อนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น รู้สึกรักศาสตราจารย์ชาวอินเดียท่านนี้ขึ้นมาอีกเป็นร้อยเท่าพันทวี ค่าที่เขาเอ่ยคำยกยอหล่อนจนเกินจริงให้หมู่อาคันตุกะชาวไทยเหล่านั้นฟัง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทั้งขวัญชนกและกลุ่มเพื่อนที่ทำงานวิจัยร่วมกันต่างไม่ขอบศาสตราจารย์ท่านนี้มากนัก ด้วยเวลาเข้าร่วมฟังความคืบหน้าของงานวิจัย เขามักจะกล่าวชื่นชมการทำงานของทุกคนว่า ดีมาก ยอดเยี่ยมมาก เป็นประโยคที่ออกจากปากเขาอย่างต่อเนื่อง แต่เวลาให้คะแนนผลงานกลับเป็นไปอีกด้าน
ขวัญชนกเดินนำคณะผู้มาเยี่ยมชมผลงานวิชาการไปเยี่ยมชมยังภาควิชาต่าง ๆ ทั่วทั้งมหาวิยาลัยแห่งนี้ ก่อนจะพาเข้าไปดูห้องทำงานวิจัยของหล่อนเป็นอันดับสุดท้าย คืนนั้นหล่อนกลับมาถึงที่พักเกือบเที่ยงคืน หลังจากการไปกินเลี้ยงรับรองจากรัฐมนตรีตามคำเชิญ







 

Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2550 12:21:10 น.   
Counter : 209 Pageviews.  


Faraway ตอนที่ 3

ธงทิวนั่งดูว่าวตัวโตของเขาลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าอย่างภาคภูมิใจ สายลมของเดือนกุมภาพันธ์ยังคงเยียบเย็นในยามพลบค่ำ เสน่ห์ของปลายฤดูหนาวยังคงร่ายมนต์ไปทั่วบริเวณของสวนสาธารณะแห่งนี้ ผู้คนชาวเมืองพากันออกมาเดินเล่น นั่งเล่นไปทั่วทั้งบริเวณ
ธงทิวอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวเกี่ยวก้อยกันเดินผ่านหน้าเขาไป ภาพของขายหนุ่มที่หยุดเดินเพื่อปัดเอาบางสิ่งบางอย่างออกจากปอยผมของหญิงสาวนั่นเอง ทำไมเขาจะไม่รู้ความเจ้าเล่ห์ของขายหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก ขอเพียงแค่ได้สัมผัสความนุ่มนวลของเส้นผมของสาวคนรักสักเพียงนิดก่อนจะพาไปส่งบ้าน เพียงแค่นั้นก็ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นนอนหลับฝันหวานไปจนถึงเช้า

“ท่าทางเพื่อนของขวัญจะไม่ยอมกลับกรุงเทพกันเสียแล้ว”
ขวัญชนกยื่นกระป๋องน้ำดื่มให้กับเขา พร้อมกับชูถุงหิ้วที่บรรจุบรรดาขนมขบเคี้ยวหลายชนิดให้เขาเลือก ขณะพยักเพยิดให้เขาดูเพื่อนของหล่อนที่แสดงอาการตื่นตาตื่นใจในความสวยงามของบรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติในยามค่ำของเมืองนี้

“ผมถึงไม่คิดจะจากบ้านผมไปไหนยังไงล่ะขวัญ”
ธงทิวบอกเสียงนุ่ม มองปลายผมของขวัญชนกที่ปลิวไหวตามแรงลมคลอเคลียอยู่กลางแผ่นหลังของหล่อน

“ทิวเคยทำงานอยู่กรุงเทพไหม”

“เคย “
ธงทิวเอ่ยชื่อสำนักงานข่าวต่างประเทศชื่อดังแห่งหนึ่ง

“ก็ดีนะ แต่กรุงเทพไม่เคยทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับอยู่บ้านเลย”

ขวัญชนกรู้สึกถึงความอ่อนโยนของผู้ชายคนนี้ยิ่งขึ้น เขาเคยบอกกับหล่อนมาแล้ว ในเรื่องความฝันของเขาเกี่ยวกับครอบครัวที่เป็นอนาคตของเขา ถึงแม้ว่าขวัญชนกจะรู้ว่าธงทิวต้องการจะถามหล่อนมากกว่าการบอกเล่าความคิดของตนเองให้เพื่อนคนหนึ่งฟัง

“ดีจังเลยนะ ขวัญอยากเป็นอย่างทิวบ้างจังเลย อยากจะรู้สึกว่ามีที่ไหนที่หนึ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นบ้าน”

เอาอีกแล้วขวัญชนก ธงทิวรู้สึกเหมือนหัวใจรอนๆ เข้าไม่อยากเห็นรอยยิ้มของหล่อนที่มาพร้อมกับแววตาหมองนั่น ถ้าเป็นไปได้ถ้าขวัญชนกจะให้โอกาสเขา เขาจะเป็นคนลบรอยหม่นนั้นให้จางหายไปจากแววตาของหล่อนเอง

“บ้านหลังเล็กของผมอยู่นอกเมืองนั่นไง ขวัญชอบไหม” เขายังอยากถามใจหล่อนอีกสักครั้ง

“ชอบสิ ขวัญอยากมีบ้านอย่างนั้นบ้าง แต่ยังนึกไม่ออกเลยว่าบ้านของขวัญจะอยู่ที่ไหน”

ธงทิวแอบถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้ว่าขวัญชนกแกล้งทำเป็นไม่รู้ถึงสิ่งที่เขาถามหรือเปล่า แต่สีหน้าและแววตาจริงจังของหล่อนนั้นทำให้เขาไม่กล้าคิดว่าหล่อนกำลังเฉไฉกับเขาอีกครั้ง

“แอบมายืนจีบกันอยู่ตรงนี้เอง เดี๋ยวกันเอากลับไปฟ้องปอ อุ๊บ..”
ด้วยความปากไวของกรรณิการ์ ทำให้เพื่อนอีกคนปิดปากของหล่อนแทบไม่ทัน กระนั้นก็ตามก็ทำให้รอยยิ้มของชายหนุ่มแปร่งปร่าไป

ธงทิวขันอาสาเป็นไกด์นำเทียวให้กลุ่มเพื่อนสาวของขวัญชนก เมื่อเขารู้ว่าขวัญชนกได้จัดโปรแกรมตระเวนไปทั่วเมืองตลอดวันหยุดทั้งสามวัน ธงทิวเข้าทำงานตอนตีห้าและเลิกตอนบ่ายสามโมง เขามีเวลาตลอดบ่ายสำหรับพานักท่องเที่ยวสาวๆ กลุ่มนี้ไปเที่ยว เสียงโห่ร้องอย่างดีใจของเพื่อนขวัญชนกยังไม่ทันขาดเสียงดีก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อขวัญชนตัดบทไปว่า

“ไม่ต้องหรอกทิว เดี๋ยวขวัญจัดการเอง”
ขวัญชนกรู้สึกเกรงใจเขาขึ้นมาบ้าง

“ แต่คืนนี้ทิวต้องให้ขวัญกับเพื่อนเลี้ยงตอบแทนเจ้าของบ้านผู้มากน้ำใจด้วย”

สาวๆ กลุ่มนี้นำความรื่นรมย์มาให้เขาอย่างประหลาด ธงทิวพยายามทำตัวให้เคยชินกับท่าทางกระเซ้าเย้าแหย่ของกรรณิการ์ เขาเห็นรอยยิ้มและประกายตาอันสดใสของขวัญชนกทำให้เขารู้สึกเป็นสุข ขวัญชนกให้ความสนิทสนมกับเขามากขึ้นจนทำให้เขาเกือบลืมไปว่าหล่อนมีคนของหล่อนอยู่เบื้องหลังเสียแล้ว

“ขวัญตัดสินใจแล้วนะทิว ขวัญจะสอบเรียนต่อ”
ขวัญชนกตัดสินใจบอกธงทิวในเย็นวันหนึ่ง หล่อนไม่สามารถอธิบายได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหล่อนกับธงทิวทั้งที่หล่อนให้เขาได้แค่ความเป็นเพื่อน ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับในสิ่งที่หล่อนมีให้แค่นั้น แต่นับวันเหมือนเขาจะก้าวรุกขวัญชนกมาเรื่อยๆ ขวัญชนกกลัวความคาดหวังของเขากลัวว่าเขาจะหวังในสิ่งที่มากกว่า

การนิ่งเงียบของธงทิวทำให้ขวัญชนกอึดอัด หล่อนไม่อาจคาดเดาได้ในสิ่งที่เขาคิด ในความเป็นจริงแล้วหล่อนไม่เคยถามด้วยซ้ำไปว่าเขารู้สึกอย่างไร

“จะไปไหนเหรอทิว”
หล่อนถามเขาเมื่อมองออกไปตามข้างทางมีแต่เงามืดของต้นไม้ในยามกลางคืน ธงทิวขับรถเร็วกว่าปกติ ขณะที่พารถเลี้ยวออกไปตามถนนนอกเมือง

“กลัวผมด้วยหรือ”
ธงทิวถามเสียงเรียบตายังมองตรงไปตามถนนเบื้องหน้า

“ถ้าขวัญกลัว ขวัญไม่มากับทิวตั้งแต่แรกแล้ว”
ขวัญชนกตอบกับไปทั้งที่ในใจรู้สึกหวั่น ธงทิวลดความเร็วของรถลงพร้อมกับเลี้ยวรถไปตามถนนลูกรังเล็กๆ ขับไปตามทางขรุขระนั้นเรื่อยๆ ก่อนจอดรถดับไปหน้ารถก่อนดับเครื่องยนต์ ข้างหน้าเป็นบึงขนาดใหญ่ล้อมรอบไปด้วยเงาของต้นไม้มองเห็นสีขาวของผืนน้ำอยู่ในอ้อมกอดของเงาต้นไม้

“ขวัญ คุณรู้ไหมว่าน้าเมฆเขาว่าผมบ้า”
ธงทิวเอยขึ้นมาในความเงียบ

“เขาบอกผมว่าสักวันคุณจะกลับไปในที่ที่คุณจากมา”
ขวัญชนกอยากฟังในเรื่องราวที่เขาอยากจะพูด หล่อนอยากให้เขาพูดอะไรออกมาบ้าง ถ้าหากว่ามันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น หล่อนอยากชดเชยให้กับเขาให้พอเพียงกับความดีของเขาที่มีให้กับหล่อนเรื่อยมา

“ผมก็เชื่อนะ เชื่อว่าสักวันคุณจะกลับไปในที่ของคุณกับคนของคุณ”
ธงทิวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะรู้สึกอะไรกับขวัญชนกได้มากขนาดนี้ ทั้งที่เขาบอกตนเองเสมอว่าหล่อนเป็นเพียงแขกแปลกหน้าของเมืองนี้ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขามองเห็นรอยบาดแผลปรากฏอยู่ในแววตาของหล่อน ความเจ็บปวดที่หล่อนได้รับอย่างไม่เคยเอ่ยปากถึงความเจ็บร้าวนั้นให้เขาได้รู้ เขาอยากเหลือเกินที่จะเป็นคนเยียวยาให้กับหล่อน เขาเพียงแต่อยากทำหน้าที่ของเจ้าบ้านที่ดีแค่นั้นนะหรือ มันเป็นเพียงข้ออ้างในการที่เขาจะออกมาพบกับผู้หญิงของคนอื่น และบอกกับตัวเองว่าเขาคบหากับหล่อนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เขาต้องการแค่นั้นจริงหรือ แล้วเหตุอันใดเขาถึงต้องรนร้อนและเจ็บปวด เพียงแค่หล่อนเอ่ยปากว่าหล่อนจะไปจากเขาจะไปจากเมืองนี้ในอีกไม่ช้านี้แล้ว

ขวัญชนกมองดูธงทิวอย่างสับสน มาจนขนาดนี้แล้วขวัญชนกยังไม่เคยรู้สึกกับธงทิวมากไปกว่าเพื่อนคนหนึ่งแต่เขาก็พิเศษยิ่งกว่าใคร หล่อนไม่เคยสนิทชิดเชื้อกับใครมากเท่าธงทิวมาก่อน ขวัญชนกตัดสินใจเปิดประตูรถก้าวออกไปหาเขา สายลมในยามดึกของเดือนมีนาคมยังคงเย็นเยียบ หล่อนออกไปยืนเงียบๆ อยู่ข้างเขา

“ขวัญเข้าไปนั่งในรถไป”
เขาบอกเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นขวัญชนกยืนกอดอก สายลมพัดผ้าเนื้อนุ่มให้แนบชิดเนื้อตัว เขาถือวิสาสะจับต้นแขนของหล่อนเมื่อหล่อนยังคงยืนเฉย กึ่งดึงกึ่งจูงไปที่รถเปิดประตูผลักหล่อนลงไปนั่งเบาะรถ ขวัญชนกนั่งเฉยธงทิวตัดสินใจปิดประตูรถแล้วเดินอ้อมไปนั่งด้านคนขับปิดประตูเสียงดังโครม

“ทิวขวัญขอโทษ”
ธงทิวชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปไขกุญแจเพื่อสตาร์รถ เขามองหน้าขวัญชนกเห็นแววตาของหล่อนวับๆ อยู่ในแสงนวลของดวงจันทร์

“ขวัญรู้ไหมว่าผมโคตรอิจฉาผู้ชายคนนั้นจริงๆ shit ”
ธงทิวสบถคำๆ หนึ่งออกมาก่อนจะสตาร์รถ

งานของขวัญชนกกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี หล่อนทุ่มเทความสามารถจนเต็มที่ให้กับงานให้คุ้มกับความไว้วางใจที่ผู้จัดการสำนักงานได้มอบหมายหน้าที่และความรับผิดชอบให้กับหล่อน หลังจากเลิกงานหล่อนก็ตั้งหน้าตั้งตาไปเรียนเพิ่มเติมไปพร้อมๆ กับการอ่านทบทวนตำราเรียนเก่าๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการสอบคัดเลือกเขาเรียนต่อตามที่หล่อนตั้งใจเอาไว้ ดูเหมือนหล่อนได้เก็บเอาเรื่องราวของธงทิวเอาไว้ลึกที่สุดแต่หล่อนกับเขียนถึงปรมีเกือบทุกวัน ทั้งๆ ที่เขาเงียบหายไป

**********
ปรมีเตะก้อนกรวดเล็ก ๆ ตามทางเดินอย่างหัวเสียมันเป็นการทดสอบภาษาอังกฤษในครั้งที่สองของเขาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นที่พอใจของอาจารย์ผู้สอนมากนัก เขาโดนตำหนิตรงๆ เกี่ยวกับการพัฒนาทักษะทางด้านภาษาของเขาทั้งที่เขาได้ฝึกฝนและคร่ำเคร่งกับมันตลอดเวลา ตั้งแต่มาเรียนอยู่ในเมืองนี้ เขาคิดถึงเมืองไทย เขาคิดถึงขวัญชนกแทบทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าไม่เกรงใจบิดาของเขา เขาคงเผ่นกลับเมืองไทยไปตั้งแต่สอบเสร็จนั้นแล้วและตอนนี้ผลสอบก็ออกมาแล้ว หนำซ้ำเขายังโดนตำหนิอีกกลับไปพักผ่อนสักสองสัปดาห์พ่อคงไม่ว่าอะไร เขาเดินหาของฝากเพื่อนำไปเป็นของกำนัลให้กับขวัญชนก เขาเลือกได้สร้อยคอเล็กๆ พร้อมจี้รูปหยดน้ำ หลับตานึกถึงตอนที่มันวับวาวอยู่บนคอของหล่อน

นึกถึงหน้าของขวัญชนกแล้วทำให้เขารู้สึกแช่มชื่นขึ้นมาทันที ปรมีรู้แน่แก่ใจตนเองแล้วว่า ขวัญชนกคือความสุขใจที่แท้จริงของเขา ตลอดชีวิตของปรมีเขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีกรอบระเบียบชัดเจนกับชีวิตลูกชายโทนคนเดียวของบ้าน กระทั่งการก้าวออกจากรั้วบ้านไปสู่รั้วโรงเรียนประจำชั้นนำ บิดาของเขาก็เป็นคนเลือกไว้สำหรับเขา บิดาของเขาบอกเขาเสมอว่าสำหรับเขาแล้วทุกสิ่งทุกอย่างต้องดีที่สุด

การก้าวออกจากรั้วโรงเรียนประจำสู่รั้วมหาวิทยาลัยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เขาเหลือเกินเพราะทำให้เขาได้มารู้จักสิ่งพิเศษที่สุดในชีวิตเขา คือการได้มารู้จักกับขวัญชนก ปรมีจำได้ว่าเขาสนุกสนานกับชีวิตตนเองเหมือนดังว่าตัวเองเป็นนกป่ากำลังหัดบิน เขาโฉบไปเฉี่ยวมาเกือบทุกชมรมของมหาวิทยาลัย ดังนั้นเมื่อเพื่อนมาชวนให้เข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายเขาจึงไม่รีรอที่จะตอบรับ

ขวัญชนกเป็นหนึ่งในคณะกรรมการในการออกค่ายในครั้งนั้น หล่อนดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กสาวรูปร่างบอบบางที่ดูมาดมั่นเกินกว่าภาพลักษณ์ที่เผยออกมาให้คนเห็น น้ำเสียงใสๆ แต่ชัดถอยชัดคำและดูเด็ดขาดอยู่ในที ทำให้เขารู้สึกทึ่งในตัวหล่อนและยิ่งไปกว่านั้นเวลาขวัญชนกแย้มยิ้มปรมีรู้สึกเหมือนว่าดอกไม้ทั้งโลกกำลังจะบาน

บิดาของเขาได้พร่ำบอกเขาเสมอเกี่ยวกับหน้าที่ของเขาคือการเข้ามาศึกษาหาความรู้ การเข้าร่วมกิจกรรมในชมรมต่าง ๆ ของปรมีก็เป็นการหาประสบการณ์อีกอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ของเขา และเมื่อมาเจอกับขวัญชนกทำให้เขาอยากจะรู้จักและเรียนรู้อะไรอย่างอื่นมากกว่านั้น ปรมีอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงงานที่ขวัญชนกแบ่งมาให้เรารับผิดชอบเมื่อคราวที่ไปออกค่ายครั้งนั้น เขาแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในอะไรสักอย่างจนหล่อนต้องมาคอยเป็นพี่เลี้ยงให้กับเขาตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ขวัญชนกยังไม่รู้เลยว่า มันเป็นการจงใจของเขาเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับหล่อน เรื่องกลโกงอย่างนี้เด็กนักเรียนโรงเรียนประจำอย่างปรมีเป็นต่อขวัญชนกอยู่หลายช่วงตัว

สิ่งที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้นคือ เขากับขวัญชนกเรียนอยู่คณะเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยเห็นหล่อนมาก่อนเลย อาจเป็นเพราะว่าขวัญชนกไม่ได้เป็นหญิงสาวสวยสดสะดุดตาเมื่ออยู่ในชุดนิสิต หล่อนจึงดูกลมกลืนกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่น ขวัญชนกมุ่งมั่นตั้งใจในการเข้าเรียน หล่อนจะนั่งเงียบฟังคำบรรยายจากอาจารย์อยู่แถวด้านหน้าห้องเรียน พร้อมกับจดลงในสมุดพกของตนเองอย่างตั้งใจ

การเข้าไปพัวพันใกล้ชิดกับขวัญชนก ทำให้ปรมีได้รู้ว่าขวัญชนกนั้นเสน่ห์แรงไม่เบาเลยทีเดียว อย่างน้อยในกลุ่มเพื่อนของเขาเอง ชื่อของขวัญชนกก็ยังติดปากติดใจของใครหลายคน แต่ปรมีประเมินสถานการณ์ดูแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นต่อใครต่อใครอยู่มาก เพราะว่าขวัญชนกให้ความสนิทสนมคุ้นเคยกับเขามากกว่าคนอื่น แต่ปรมีก็วางใจอยู่ได้ไม่นานเมื่อมีหนุ่มต่างคณะไว้ผมยาวทรงเก๋บ่งบอกความเป็หนุ่มอาร์ทติส เดินแวะเวียนผ่านมาและเขาก็เห็นแววตาของขวัญชนกกระพริบอยู่วิบวับ ทำให้ปรมีแกล้งลืมคำตักเตือนของบิดาเกี่ยวกับเรื่องการมีความรักในวัยเรียน เพราะเขาเห็นคุณค่าของขวัญชนก หล่อนนั้นคือคนพิเศษที่สุดสำหรับเขา

โลกของขวัญชนกสะอาดบริสุทธิ์จนปรมีคาดไม่ถึง มุมมองของหล่อนต่อผู้คนบนโลกนี้จึงไม่ต่างจากโลกที่หล่อนมองผ่าน เขายอมรับว่าเขาได้ใช้กลอุบายหลายอย่างในการหลอกล่อหล่อนให้เดินมาติดกับ และหล่อนก็เดินยิ้มสวยหน้าใสเข้ายังหลุมพลางที่เขาขุดเอาไว้อย่างไม่รู้สึกรู้สา อย่างนี้นี่เองทำให้ปรมีรู้สึกห่วงใยหล่อนเป็นเท่าทวี เขาจะต้องเป็นคนปกป้องโลกสวยของขวัญชนกเอาไว้ให้หล่อน

ภาพข่าวการออกงานสังคมของปรมีกับบิดาของเขา ตีพิมพ์ในหน้าสังคมของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง พร้อมกับคอลัมภ์ซุบซิบถึงคู่หมายของเขาหนุ่มนักเรียนนอกคนดังกับลูกสาวผู้กว้างขวางในแวดวงการค้าและธุรกิจล้อมกรอบอยู่ด้านข้าง ขวัญชนกรู้สึกชาไปทั้งตัว ในความรู้สึกเหมือนกับศรีษะถูกทุบด้วยค้อนอย่างแรงหลายทีพร้อมกัน นี่คือโลกของความเป็นจริงขวัญชนกบอกกับตนเอง ความรักคือความฝันแค่ฝันชั่วครู่ก็จะตื่น

ขวัญชนกไม่รู้ว่าน้ำตาของหล่อนมาจากไหนกันนักหนา มันถึงได้มากมายท่วมตาท่วมใจหล่อนขนาดนี้ หล่อนได้แต่นอกนจมกองน้ำตาอยู่กับตนเอง เมื่อเสียงของปรมีดังมาตามสายเพียงแค่นั้นก็ทำให้น้ำตาหล่อนเหือดหายไปเสียสนิท

“เห็นรูปปอในหนังสือพิมพ์ ก็เลยรู้ว่าปอกลับมา ขวัญได้อ่านข่าวนั้นด้วย”
น่าแปลกที่หล่อนรับรู้การกลับมาเมืองไทยของคนรักจากกหนังสือพิมพ์

“ข่าวเขาก็เขียนไปเรื่อยแหละขวัญอย่าสนใจเลย”

“แล้วปอเคยเจอกับเขาหรือเปล่า”
ขวัญชนกไม่มีความแน่ใจอะไรเลย

“ก็เคย พ่อพาไปเที่ยวโรงงานของพ่อเขาน่ะ พ่อปอบอกว่าจะลงหุ้นทำธุรกิจด้วยกันก็เลยต้องทำความรู้จักกันไว้”

เป็นครั้งแรกที่ปรมีไม่กล้าเล่าความจริงให้ขวัญชนกฟัง ความจริงที่ว่าบิดาของเขาได้เจรจาเพื่อขอหมั้นหมายระหว่างเขากับวันวิสา ลูกสาวเจ้าของธุรกิจปาล์มน้ำมันผู้กว้างขวางทางภาคใต้ ตลอดสัปดาห์ที่เขากลับอยู่เมืองไทยปรมีถูกจัดตารางตามบิดาของเขาในการไปพบปะกับผู้คนในแวดวงธุรกิจ บิดาของเขาได้เตรียมปูทางเอาไว้และนั่นคือเส้นทางที่เขาจะต้องเดินตามไป แต่นั้นมันไม้ได้ทำให้เขายุ่งยากใจไปกว่าการที่บิดาของเขาจะใช้ความสัมพันธิ์ระหว่างเขากับวันวิสา เป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ไปหาขวัญชนกตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก

เขาจะเอาหน้าไหนไปสบตากับขวัญชนกในเมื่อเรื่องราวมันล่วงเลยมาขนาดนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าแค่หมั้นหมายไม่ได้คิดจริงจังอะไร และเขาก็ไม่คิดว่ามันกลายเป็นบ่วงร้อยรัดเขาเอาไว้จนแน่นหนา เขาจะหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่การเป็นคู่หมายที่ดีของวันวิสาได้อย่างไรกัน เพราะว่าหล่อนจะต้องเดินทางไปพร้อมกับเขาเพื่อไปเรียนอยู่ต่างเมืองด้วยกันลำพัง

“จำไว้นะปอ คนเราจะเป็นใหญ่ได้ต้องมีรากฐานที่มั่นคงเป็นสำคัญ”
บิดาของเขาบอกกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“แล้วจะให้ผมเอาขวัญไปไว้ที่ไหนละพ่อ”
ปรมีไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับบิดาขณะเอ่ยนามของขวัญชนก

“พ่อไม่ห้ามหรอกถ้าปอจะรักอยู่กับเด็กขวัญนั่น แต่ปอจะต้องแต่งงานกับวันวิสา ลูกจะเอาเด็กนั้นไว้ทีไหนมันก็เรื่องของลูก”

เขาจะทำอย่างนั้นกับขวัญชนกได้อย่างไรกัน แต่งงานยกย่องผู้หญิงคนหนึ่ง ออกนอกหน้าแต่กลับซ่อนขวัญชนกไว้ในซอกมุมหนึ่งของชีวิต เขาไม่คิดว่าคนอย่างขวัญชนกจะยินดีรับฟังเรื่องราวอย่างนี้จากเขา เขารู้จักขวัญชนกดีหล่อนรักและนับถือตนเองมากขนาดไหน แล้วเขาควรทำอย่างไรดี ปรมีถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม พรุ่งนี้เขาจะเดินทางกลับไปเรียนต่อ พร้อมกับวันวิสาคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของเขา

ปรมียกหูโทรศัพท์ขึ้นมาเป็นครั้งที่ร้อยแล้วกระมัง แต่เขาก็ไม่กล้าต่อสายไปหาขวัญชนก เขาไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ว่าเขาไม่มีสิทธิในการเลือกแต่เขากลับไปเลือกขวัญชนกเอาไว้แล้ว แล้วจะให้บอกกับขวัญชนกว่าอย่างไร บอกว่าเขาเสียใจอย่างนั้นหรือ

ขวัญชนกสั่งให้ตนเองรอการตัดสินใจของปรมีอย่างสงบ กระนั้นก็ตามหล่อนมีเป็นอันต้องสะดุ้งทุกครั้งเมื่อเสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้น จนแล้วจนรอดก็ไม่มีโทรศัพท์จากปรมี ขวัญชนกบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงความจริงที่เป็นไปไม่ได้ ระหว่างหล่อนกับปรมี ถึงแม้ว่าลึกๆ ในความรู้สึกของหล่อนมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในคำว่าความรักและหล่อนก็บอกให้ตนเองรอคอยว่า สักวันระหว่างหล่อนและเขาจะก้าวข้ามผ่านทุกสิ่งทุกอย่างไปด้วยกัน แต่มันคงกลายเป็นแค่ความฝันกลางฤดูหนาวที่มีแต่หนาวเหน็บให้เจ็บใจ

ข่าวการเดินทางกลับไปเรียนต่อของปรมีพร้อมกับคู่หมั้น เป็นเหมือนดั่งการตัดเยื่อใยสุดท้ายในความรู้สึกของขวัญชนก เขาไม่ใช่ปรมีคนดีคนเดิมของขวัญชนกอีกต่อไป ขวัญชนกรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกทิ้งไว้คนเดียวบนโลกร้าง หล่อนทอดร่างลงนอนบนเตียงเล็กๆ ในห้องหับอันคับแคบของหล่อน น้ำตารินไหลออกมาไม่ขาดสายไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่ขวัญชนกจะรู้สึกเจ็บปวดเท่าครั้งนี้

ดูเหมือนว่าหนังสือจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีอย่างเดียว ในชีวิตของขวัญชนก กระทั่งเวลาที่หล่อนหลั่งรินน้ำตาอยู่เงียบๆ คนเดียว รู้สึกสงสารตัวเองขึ้นมาจับจิตจับใจ รู้สึกเหมือนว่าตนเองช่างต่ำต้อยด้อยค่า ไม่เป็นที่ต้องการไม่อยากจะใส่ใจ ทำไมปรมีถึงใจร้ายกับหล่อนได้ขนาดนี้

ขวัญชนกได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญคนเดียว ภาพของหญิงสาวหน้าตามอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ผมยาวรุ่ยร่ายเคลียอยู่ข้างแก้มแววตาแดงช้ำสะท้อนกระจกเงาอยู่ตรงหน้าของขวัญชนก หล่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนฝืนยิ้มให้กับตนเองที่กระจกเงา

“รักตัวเองหน่อยนะขวัญชนก” หล่อนกระซิบบอกกับตนเองพร้อมกับปิดผนึกกล่องกระดาษที่หล่อนได้รวบรวมข้าวของที่ปรมีลือกสรรมากำนัลหล่อนทั้งหมดนอนสงบนิ่งอยู่ข้างใน

จบกันจริงๆ เสียที่

ขวัญชนกไม่ได้เอ่ยปากเรื่องระหว่างหล่อนกับปรมีให้ใครฟัง หล่อนบังคับตนเองให้ฝืนลุกขึ้นไปทำงานด้วยอาการปรกติเก็บความเจ็บช้ำเอาไว้ในใจ หล่อนจะไม่ยอมให้ใครมาตีราคาค่างวด คนเดียวที่จะทำให้หล่อนต่ำต้อยหรือสูงค่าขึ้นมาได้ก็คือตัวของหล่อนเองเท่านั้น

นึกถึงสายตาดูแคลนของบิดาปรมีทำให้ขวัญชนกอยากสาปให้ตนเองสูญหายไปจากโลกนี้แทบทุกครั้งเมื่อสบตากันแล้วรู้สึกขื่นใจ ไม่เคยมีใครมองหล่อนด้วยสายตาหยามหยันได้ขนาดนี้ หล่อนไม่เคยรู้สึกตกต่ำได้ขนาดนี้

“ขวัญชนกผมจะส่งคุณไปอบรมเรื่อง แนวทางการซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ต”
ผู้จัดการสาขายื่นเอกสารประกอบไปด้วยรายละเอียดการอบรมมาให้หล่อน ขวัญชนกเปิดดูระเบียบการนั้นคร่าวๆ

“ผมตั้งใจจะผลักดันให้ศูนย์ของเราเป็นศูนย์ที่มีระบบการซื้อขายที่ทันสมัยที่สุดเป็นแห่งแรก เป็นหน้าที่ของคุณต้องไปศึกษาระบบการทำงานให้ครอบคลุมทุกอย่าง”

กริยาเคาะปากกาเบาๆ ด้วยท่าทางครุ่นคิดของผู้บังคับบัญชาที่นั่งตัวตรงอยู่เบื้องหน้าทำให้ขวัญชนกรู้สึกนิยมในบุคคลิกอันโดดเด่นของเขา อย่างนี้กระมังที่เขาเรียกกันว่าบุคลิกของนักบริหาร เขามีการจัดอบรมเป็นหลักสูตรการเป็นผู้บริหารกันหรืออย่างไร เพราะดูเหมือนว่าจะคัดลอกมาจากเบ้าหลอมอันเดียวกันอย่างนี้ขวัญชนกคิดเอาเองอย่างนั้น แต่ขวัญชนกก็รู้ดีว่าผู้บังคับบัญชาของหล่อนมีมันสมองอันเฉียบคมขนาดไหน ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาถึงตรงจุดนี้ได้ด้วยวัยเพียงสามสิบปีเศษเท่านั้น ขวัญชนกอดภาคภูมิใจไม่ได้ทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนกล่าวถึงความเป็นนักบริหารอันชาญฉลาดของผู้บังคับบัญชา

มันเป็นโอกาสอันดีของเธอนะขวัญชนกหล่อนบอกกับตนเองอยู่ในใจ ขวัญชนกสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เมื่อเครื่องบินวิ่งออกจากรันเวย์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเพราะความตั้งใจในการทำงานที่หล่อนทุ่มเทตลอดทั้งชีวิต ให้กับการศึกษาเรียนรู้งานของตนเอง จนได้รับความไว้วางใจของผู้บังคับบัญชาและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน อย่างนี้ไงล่ะคุณค่าของความเป็นคนของเธอ

การที่ใครสักคนจะมีคุณค่าใช่ว่าจะมีเพียงแค่ส่วนประกอบที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเท่านั้นที่จะบ่งบอกถึงความสูงหรือต่ำค่าของการเป็นมนุษย์ ดูอย่างผู้บังคับบัญชานั่นยังไงไม่ใช่รอยหยักในสมองนั้นหรือที่ทำให้เขาเดินไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนอื่นได้ อย่างสง่าผ่าเผย เธอจะต้องก้าวต่อไปข้างหน้าให้ไกลสุดไกลเลยนะขวัญชนก แม้ว่าเธอจะต้องใช้ความอุตสาหะพยายามขนาดไหนก็ตามขวัญชนกบอกกับตนเอง ขณะก้าวเดินออกจากช่องผู้โดยสารขาออก ไหล่บางทั้งสองของหล่อนตั้งตรงพร้อมกับก้าวเท้าที่มั่นคงกว่าที่เคยเป็นมา
………………………………….
“เมาชีวิตหรือไงไอ้เสือ”
น้าเมฆตบบ่าของเพื่อนร่วมงานรุ่นหลานเบาๆ เป็นเชิงหยอกเย้า ธงทิวขอเปลี่ยนเวรการออกอากาศกับเขาตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา การกระจายข่าวไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในฐานะสถานีข่าวของประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกใบนี้นั้นย่อมเป็นเรื่องผิดพลาดไม่ได้ การทำงานที่นี่ทุกอย่างจะต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ พวกเขาทุกคนถูกฝึกมาอย่างนี้ การไม่ทำเลยนั้นดีกว่าการปล่อยให้มีการผิดพลาดเพียงแค่ .01 เปอร์เซ็นต์ การขอเปลี่ยนเวรระหว่างเขากับธงทิวจึงเป็นเรื่องปกติถ้าหากรู้ว่าตนเองไม่พร้อม แต่การที่ธงทิวแสดงความไม่พร้อมในการทำงานนานขนาดนี้นั้นมันเป็นเรื่องไม่ปกตินัก

ธงทิวยังคงนั่งคุมแผงวงจรที่แสดงแผนผังการควบคุมการออกอากาศตามตารางรายการตาไม่กระพริบ กริยาท่าทางของเขานั้นแสดงให้รู้ว่าต่อให้เอาชะแลงมางัดปากให้เขาพูดก็ไม่สำเร็จ

“ออกเวรคืนนี้กินเหล้ากันหน่อยนะ”
น้าเมฆตบบ่าของเขาหนักๆ อีกครั้ง ก่อนเดินกลับออกไปจากห้องควบคุมที่ธงทิวนั่งประจำอยู่

เสียงเพลงสากลขับกล่อมดังคลอกับดนตรีเบาๆ จากนักร้องวัยไม่ค่อยจะสาวนักที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่บนเวที ไม่ได้ทำให้ธงทิวสนใจมากไปกว่ากลิ่นกรุ่นของวิสกี้รสชาติดีที่น้าเมฆมีฝากประจำไว้ในร้านนี้

“เดี๋ยวมีเมาตายกันล่ะคืนนี้”
น้าเมฆยึดแก้วเหล้าในมือของเขาเอาไว้ น้ำเสียงมีแววห่วงใยจนธงทิวต้องวางแก้วลงและหันไปสนใจนักร้องบนเวที

“ขวัญชนกเขากำลังจะไปเรียนต่อฮะน้าเมฆ”
ธงทิวเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขณะคลึงแก้วเหล้าอยู่ในมือ

น้าเมฆได้แต่ถอนใจ เรื่องคอขาดบาดตายของชายหนุ่มก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของหญิงสาว

“ผมบอกไม่ถูกฮะ เหมือนไม่คิดแต่กลับคิดเหมือนไม่หวังแต่ก็ยังหวัง”

เห็นทีท่าของเพื่อนร่วมงานต่างวัยแล้วเขาก็ได้แต่ถอนใจ การตกลงไปในหลุมพลางของความรักของคนในวัยหนุ่มมันเหมือนกับเดินปิดตาอยู่ในความมืด ไม่รู้แห่งรู้หนได้แต่มึนงงสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาเองก็เคยเดินผ่านประสบการณ์ของการเข้าไปหลงอยู่ในวังวนแห่งนี้ แต่เรื่องราวของเขามันแย่นัก เลือดร้อนของวัยหนุ่มของเขาแล่นพล่านไปทั้งตัวและเขาก็ตัดสินปัญหาด้วยความวู่วามจนกระทั่งวันนี้ผ่านวันนั้นมาเกือบ 20 ปี เขาก็ไม่ลืมภาพแห่งความอัปยศนั่น ภาพที่เกือบทำให้เขากลายเป็นฆาตกร
นับจากนั้นมาเขาไม่เคยมีความรู้สึกให้กับใครคนไหนอีก เขาไม่เคยวางใจผู้หญิงหน้าไหนในโลกนี้ แต่กระนั้นก็ตามเขาก็ตอบคำถามตนเองได้ว่า ในคำว่ารักนั้นไม่มีใครผิดใครถูก เขาเองเคยทุ่มเททั้งชีวิตมาแล้วแต่สิ่งที่เขาได้รับตอบแทนมานั้นทำให้เขาแทบกระอักเลือด แต่เขาก็เข้าใจ
ผู้หญิงคนนั้นถ้าลงว่ามันไม่ได้รักต่อให้มีความดีท่วมหัว ต่อให้เทิดทูลไว้เหนือเกล้าก็ใช่ว่าจะซื้อหัวใจรักได้ หล่อนไม่เคยรักเขานั้นคือข้อสรุปที่ทำให้เขาสงบลงได้ ต่อให้เขาได้หล่อนมาก็ได้มาแต่ตัวและถ้าเป็นอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่า เขาแต่ได้เห็นใจธงทิวที่ปล่อยให้ใจตนเองจมปลักลงไปในห่วงเสน่หาของผู้หญิงคนนั้น

“บอกเขาไปหรือยังว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเขา”
ถามไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่รู้คำตอบนั่นอยู่แล้ว

ธงทิวได้แต่ส่ายหัวจะให้เขาบอกขวัญชนกว่า เขาคิดอย่างไรกับหล่อนอย่างนั้นหรือ ก็ขวัญชนกประกาศอย่างชัดเจนขนาดนั้นว่าหล่อนมีใครอยู่แล้วและหล่อนก็ไม่เคยมีที่ว่างสำหรับเขา

“เราเป็นเพียงแค่เพื่อนกันฮะน้าเมฆ”
ธงทิวพูดกับแก้วเหล้าอยู่ตรงหน้า

“ไปบอกเด็ก 5 ขวบที่อยู่ข้างบ้านโน่นไป”

น้าเมฆรู้สึกฉิวปนขัน ท่าทางของธงทิวเป็นไปได้ขนาดนั้น ถ้าจะเรียกว่าหลงรักผู้หญิงคนนั้นจนหัวปักหัวปำก็คงไม่ผิดนัก

“เขามีคนรักแล้วฮะน้าเมฆ”
ธงทิวสารภาพ

“ถึงว่า”
เขาเคยเห็นขวัญชนกอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะมองหล่อนอยู่ไกลๆ แต่ลักษณะท่าทางของขวัญชนกก็น่าสนิทน่าเสน่หาอยู่ไม่น้อย มันไม่แปลกหรอกที่คนใกล้ชิดจะหลงรักหล่อนได้ง่ายๆ และเด็กหนุ่มอย่างธงทิวก็ไม่ใช่คนที่จะหลุดจากบ่วงรักบ่วงเสน่หาไปได้ง่ายๆ เช่นกัน

“ทิว น้าจะบอกอะไรให้ ความรักมันแปลกนะยิ่งวิ่งไล่มันก็ยิ่งวิ่งหนี อะไรก็ตามนะถ้ามันไม่ใช่ของเราต่อให้เรายื้อแย่งไขว่คว้าแค่ไหนมันก็ไม่ใช่ของเรา”
ในยามนี้หลักคำสอนในทางพุทธศาสนาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับธงทิว

“น้าเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสอะไรนั่นนะ”
น้าเมฆรู้สึกว่าวันนี้เขาพูดมากกว่าที่เคย

“คู่กันแล้วย่อมไม่แคล้วกันเชื่อน้าสิ”
เขาคงเมา วิสกี้เกือบหมดขวดไปแล้ว คนอย่างเขาห่างวัดห่างวาเสียเหลือเกินแต่วันนี้กลับมานั่งเทศนาเป็นวรรคเป็นเวร

“ก็คิดเสียว่าเขาไม่ใช่คู่เรา”
ดูเหมือนว่าเขาทำท่าว่าจะจบไม่ลง หากไม่ได้ยินเสียวหัวเราะหึ หึ จากคนที่เป็นตนเหตุให้เขากลายเป็นนักบุญแทนที่จะเป็นคนบาปอย่างที่เคย

“ขำอะไรวะ หรือว่าอกหักจนเสียสติ”
น้าเมฆคนเดิมกลับมาแล้ว

แล้วสองหนุ่มต่างวัยก็ต่างพากันหัวเราะลั่นร้านอย่างไม่เกรงใจใคร ยังดีที่แขกคนอื่นทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว น้าเมฆรู้สึกครึ้มใจจนอยากกินเหล้ากับธงทิวให้เมาหัวทิ่มกันไปข้างหนึ่ง

ธงทิวขับรถผ่านปากซอยทางเข้าบ้านพักของขวัญชนกเป็นหนที่สี่แล้ว วันหยุดของขวัญชนกอย่างนี้ หล่อนคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ใต้ต้นมะม่วงบนม้าหินอ่อนตัวนั้น เห็นความตั้งใจของหล่อนแล้วทำให้เขาเชื่อมั่นว่าหล่อนจะต้องสอบคัดเลือกได้ ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากให้หล่อนจากตรงนี้ไปแต่เขาจะใช้สิทธิ์อะไรในการเหนื่ยวรั้งหล่อนเอาไว้ ถึงแม้หล่อนจะมีไมตรีกับเขามากมายเพียงไหนแต่หล่อนก็มีให้เขาเพียงคำว่าเพื่อนเท่านั้น และขวัญชนกก็ทำให้เขารู้สึกว่าหล่อนให้เขาได้แค่นั้นจริงๆ

ตลอดสองสัปดาห์ที่เขาไม่เฝ้าเพียรแวะเวียนมาหาหล่อนเหมือนเคย ขวัญชนกก็ไม่เคยโทรศัพท์มาถามไถ่เขาแม้เพียงสักครั้งเดียว หล่อนวางตัวอยู่ในที่ทางของหล่อนไม่เคยแม้สักก้าวที่ขวัญชนกเดินเข้ามาหาเขา ธงทิวเองต่างหากที่พยายามจะเขาไปให้ใกล้ตัวใกล้ใจหล่อน หากแต่ว่าเขาไม่เคยทำสำเร็จ

ธงทิวอยากจะรู้จักผู้ชายคนนั้นของขวัญชนกเหลือเกิน เขาทำอย่างไรขวัญชนกถึงได้มั่นคงต่อเขาเป็นหนักหนา ตลอดเวลาเกือบหกเดือนแล้วตั้งแต่วันแรกที่เขารู้จักกับขวัญชนก ธงทิวไม่เคยแม้แต่เห็นเงาของผู้ชายคนนั้นและขวัญชนกก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกเล่าเรื่องราวของหล่อนกับผู้ชายคนนั้นให้เขาฟังแม้แต่นิด นับว่าเป็นคู่รักที่แปลกประหลาดที่สุดที่ธงทิวเคยเห็นมา ด้วยเหตุนี้กระมังทำให้ธงทิวรู้สึกว่าตนเองยังคงมีโอกาส
……………………………………..

ขวัญชนกตอบข้อซักถามและอภิปรายเกี่ยวกับแนวทางการซื้อขายแบบใหม่ได้ครอบคลุมทุกปัญหาที่เป็นข้อสงสัยของทุกคนในที่ประชุม นึกถึงภาพของตนเองที่เป็นผู้รวมอบรมหนึ่งเดียวของคนเอเซียในการเข้ารับการอบรมที่ผ่านมา ไม่แปลกเลยถ้าหากว่าหล่อนจะเป็นที่สนใจของผู้เข้าร่วมประชุม การถูกเรียกให้ตอบคำถามจึงเกิดขึ้นทุกครั้ง ขวัญชนกรู้สึกตัวพองขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังกึกก้อง หลังจากการตอบคำถามชองหล่อนตอบจบลง

มีหลายคนชมหล่อนว่า วิธีการพูดการถ่ายทอดชัดเจนและฉะฉานสามารถตรึงคนฟังให้คล้อยตาม และเห็นดีเห็นงามไปกับสิ่งที่ขวัญชนกนำเสนอไปแทบจะทุกอย่าง ปรมีก็เคยสารภาพกับขวัญชนกว่าเขาหลงรักหล่อนตั้งแต่แรกเห็น เมื่อเจอขวัญชนกลุกขึ้นยืนพูดในหมู่เพื่อนนักศึกษาเขาประทับใจในความเฉียบคมของหล่อน กระทั่งธงทิวก็เคยบอกกับขวัญชนกว่า เขาไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะพูดคุยกับขวัญชนกถึงแม้ว่าเขาจะจับได้ว่าขวัญชนกเฉไฉกับเขามากขนาดไหนก็ตาม

นึกถึงธงทิวแล้วขวัญชนกได้แต่ถอนใจ คนอย่างธงทิวใช่ว่าจะหาได้ง่ายนัก วิธีคิดของธงทิวหลายอย่างทำให้หล่อนรู้สึกว่า เขาเป็นคนแปลกแยกไปจากคนอื่นที่หล่อนเคยพบเจอมา ขณะที่ใครต่อใครพากันรนร้อนไขว่คว้าเพื่อหาส่วนประกอบต่างๆ ให้เพิ่มเข้ามาในชีวิต แต่ธงทิวกับสุขสงบอยู่ในที่ทางทุ่งฝันของตนเอง ในบางครั้งขวัญชนกรู้สึกอิจฉาธงทิว เหมือนว่าเขาหยิบคว้าฝันของตนเองมากอดไว้อยู่ในอ้อมแขนได้ตลอดเวลา ผิดกับหล่อนที่เหมือนกับว่าแสวงหาในสิ่งไม่มีตัวตน ไม่อาจจับต้องได้เป็นเหมือนดังความฝันโดยแท้ ฝันที่ไม่มีวันพบเจอในโลกแห่งความเป็นจริง

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบสองทุ่ม ขวัญชนกก้าวเท้าออกจากช่องทางผู้โดยสารขาออกของสนามบินเชียงใหม่อย่างไม่เร่งร้อน ถ้าวันนี้ธงทิวมาเรียนเขาคงกลับไปถึงบ้านนานแล้ว ขวัญชนกรู้ดีว่าธงทิวคาดหวังอะไรจากการนำพาตัวเข้ามาคบหากับหล่อน ธงทิวไม่เคยปิดบังความรู้สึกและการกระทำของตนเอง ผิดกับขวัญชนกที่พยายามใช้ปรมีเป็นเกราะกำบังตนเองจากธงทิว ขวัญชนกยอมรับกับตนเองว่าหล่อนแล้งร้างน้ำใจที่จะให้กับธงทิว ตลอดเวลาที่ธงทิวหายหน้าไปเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจจากความไม่มีน้ำใจของหล่อน ขวัญชนกก็ปล่อยให้เขาได้คิดเอาเองว่าระหว่างเขาและหล่อนมันเป็นไปได้แค่ไหน ขวัญชนกรู้สึกตัวชากับความรู้สึกที่เหมือนกับว่าทำไมหล่อนถึงได้เลือดเย็นกับธงทิวได้ขนาดนี้ กับคนอื่นขนาดไม่เคยเกี่ยวพันธ์หล่อนยังมีน้ำจิตน้ำใจให้มากกว่า

กุหลาบสีเหลืองช่อใหญ่ผูกด้วยริบบิ้นเส้นโตสีม่วงอ่อน เสียบอยู่ในกล่องรับหนังสือพิมพ์ของหล่อน ความรู้สึกของขวัญชนกกระตุกวูบหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เอื้อมมือไปพลิกการ์ดใบเล็กที่ติดมากับช่อดอกไม้ช่องาม

“แทนคำขอโทษ”
หูตาของขวัญชนกพร่าพรายขณะพลิกหาชื่อของคนส่ง ความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฟูฟ่องล่องลอยอยู่กลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงมากองอยู่บนพื้นแข็งจนจุกอั๊ก น้ำตาเจ้ากรรมมันไหลออกมาจนได้หลังจากตนเองสั่งห้ามเด็ดขาดว่าหล่อนจะไม่ร้องไห้อีกแล้ว จนป่านนี้หล่อนยังคงหวังอีกหรือ หวังว่าปรมีจะมีเยื่อใยกับหล่อนอย่างนั้นหรือ ขวัญชนกหอบดอกไม้เดินขึ้นไปบนบ้านพักพร้อมกับน้ำตาริน หล่อนวางดอกไม้ที่มาจากธงทิวไว้บนโต๊ะตรงริมหน้าต่าง นั่งมองดูกลีบงามของดอกไม้งามอย่างไร้ความรู้สึก

“ขวัญได้รับดอกไม้หรือยังฮะ”
เสียงแจ่มใสของธงทิวดังมาตามสายในตอนเช้าตรู่ของอีกวัน ยิ่งทำให้ขวัญชนกรู้สึกรังเกียจตัวเองยิ่งนัก

“ดอกไม้สวยมาเลย แต่ทิวไม่ต้องดีกับขวัญขนาดนี้ก็ได้” ความผิดหวังจากเมื่อคืนยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ

“กลัวว่าจะเปลี่ยนใจมารักผมหรือ”
ธงทิวยังไม่รับรู้ในอารมณ์ของหล่อน

ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ก็คงจะดีขวัญชนกคิด ธงทิวนำแต่รอยยิ้มและความสุข มาให้หล่อน ขวัญชนกรู้ดีว่าทุกอย่างที่ธงทิวได้ลงมือทำนั้นเขาทุ่มเทขนาดไหน ถ้าเขาจะสร้างครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งเขาย่อมทำให้มันสุขสมบูรณ์ได้เป็นแน่แท้ แต่ขวัญชนกไม่เคยเห็นภาพของตนเองกลมกลืนอยู่ในความรักหรือความอบอุ่นนั้นเลย หล่อนยังไม่รู้เลยว่าจะนำพาชีวิตของตนเองไปในทิศทางใด เพราะทุกฝันของขวัญชนกมันดูเลือนลางห่างไกลจนไม่อยากหวัง

“ทิวอย่าหวังอะไรจากขวัญเลยนะ ขวัญไม่มีอะไรให้ใครอีกแล้ว”
ขวัญชนกตัดสินใจตัดรอนเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะรู้ว่าคำพูดของหล่อนจะทำร้ายเขาขนาดไหนก็ตาม แต่ขวัญชนกยังรู้สึกดีกว่าปล่อยให้ธงทิวคิดฝันไป

“ต้นเดือนขวัญจะสอบ ขวัญคงไม่มีเวลาไปไหนกับทิวอีกแล้วล่ะ”
หล่อนตอกย้ำถึงความตั้งใจของหล่อนอีกครั้ง
…………………………………….
ปรมีใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นเขาก็สามารถลงทะเบียนเรียนจนครบทุกวิชาของโปรแกรมที่เขาเลือกเรียน เขาคาดว่าคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปีสำหรับการเรียนวิชาค้นคว้าด้วยตนเอง เขาก็จะสามารถเรียนจบได้ตามความตั้งใจของบิดาเขา เขาไม่เคยได้รับข่าวเกี่ยวกับขวัญชนกเลย ทั้งที่เขารอคอยการติดต่อจากหล่อนตลอดเวลา เขาเปิดตู้จดหมายทุกครั้งที่เดินเขาอพาร์ทเมนต์หลังจากกลับจากเลิกเรียน ในตอนกลางคืนเขาก็นั่งรอโทรศัพท์จากหล่อนแต่ก็เงียบหายเหมือนตายจาก เขาอยากโทรศัพท์ไปหาหล่อนแต่เขาไม่รู้ว่าเขาจะพูดกับหล่อนอย่างไร เขาอยากไปหาแต่เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสบสายตากับขวัญชนก

ผู้หญิงคนที่ปรมีจะต้องแต่งงานด้วยคือวันวิสา มันเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ถ้าหากว่าเขาจะหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่อันนี้ของเขา มันไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของเขากับวันวิสาและขวัญชนก แต่มันมีเรื่องราวผูกพันโยงใยในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเรื่องธุรกิจจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรักขวัญชนกมากขนาดไหน แต่ภาระอันหนักอึ้งที่บิดาของเขาได้ก่อร่างสร้างฐานให้เขาสานต่อนั้น ทำให้เขายากที่จะปฏิเสธการแต่งงานกับวันวิสาได้

ตลอดเวลาเกือบหกเดือนที่วันวิสามาใช้ชีวิตในต่างแดนกับเขาเพียงลำพังทำให้ปรมีรู้ว่า วันวิสาเป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง เหมาะแก่การเป็นทายาทสืบทอดธุรกิจของครอบครัวของหล่อนในอนาคต หล่อนรู้จักการทำงาน การบริหารงานตั้งแต่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย การมาเรียนหลังสูตรสั้นๆ ของหล่อนเพียงเพื่อพัฒนาความรู้ทางด้านภาษาเพื่อเป็นประโยชน์ในการติดต่อเอกสารต่างประเทศ และหล่อนก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและกลับไปดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารคนหนึ่งในบริษัท

ปรมีดูแลวันวิสาในฐานะคู่หมายได้เป็นอย่างดี ถึงแม้บุคลิกภายนอกของวันวิสาจะดูเชื่อมั่น ความภาคภูมิใจในตัวเองของหล่อนฉายชัดออกมาในทุกก้าวเดินของหล่อนไม่แตกต่างจากที่ขวัญชนกเป็น แต่ปรมีรู้สึกได้ว่าโลกของวันวิสานั้นเป็นโลกของนักธุรกิจโดยแท้ หล่อนมีแนวคิดในลักษณะของนักธุรกิจที่มีตัวเลขต้นทุนกำไรอยู่ในความคิดเสมอ อาจเป็นเพราะว่าหล่อนถูกหล่อหลอมให้เป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ได้กำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมา ซึ่งต่างจากขวัญชนกที่มีโลกเป็นเหมือนดังความฝัน สวยสดงดงามอยู่เสมอ ปรมีพบว่าเขาเองก็หลงไหลในโลกสวยของขวัญชนก ตลอดเวลาเกือบสามปีที่คบหากันมาเขาเหมือนวิ่งวนอยู่ในดงฝันกับหล่อนเพียงลำพังสองคน




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2550   
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2550 12:19:09 น.   
Counter : 247 Pageviews.  


1  2  

ดาวสีแดง
 
Location :
นครราชสีมา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็น บล็อคเกอร์ สมัครเล่นครบไตรมาสในต้นปี 2550 พอดี เขียนอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ทั้งสาระ และไม่มีสาระ ทุกคนใน บล็อคแก๊งค์ เป็นบุคคลแห่งปี ถูกต้องแล้วคร๊าบ ในเมื่อสื่อกระแสหลักไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเราได้ และ บล็อคแก๊งค์คือก็คำตอบหนึ่งของสังคมปัจจุบัน การเขียนเป็นความชอบส่วนตัว เขียนทั้งนวนิยายเรื่องยาว (Far away) เอาไว้นานแล้ว เขียนเรื่องสั้น เอาไว้ก็หลายเรื่อง เขียนบทความ (ลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่ง ในฐานะคอลัมภ์นิสต์ ประจำฉบับ) เขียนเอาไว้เยอะมาก แต่ไม่มีพื้นที่ลงผลงานให้คนอื่นได้วิจารณ์ ก็เลยถือโอกาส จะทยอยเอามาลงใน blog gang ซะเลย ขอบคุณ blog gang และเพื่อน ๆ ในนี้ที่ให้โอกาสดีอย่างนี้
[Add ดาวสีแดง's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com