ความทรงจำบาง ๆ ที่สุขเศร้า ยามรำลึกถึงในบางช่วงเวลา
Group Blog
 
All Blogs
 

เรื่องเล่าจากคนทำป้ายสุสานจีน

วันนี้ไปเดินเล่นออกกำลังกาย แวะร้านชำแห่งหนึ่งเดิมทำกิจการหินป้ายสุสานคนจีน (หน้าฮวงซุ้ย) แล้วซื้อน้ำมันเบนซินขวดหนึ่งราคายี่สิบห้าบาท เพื่อไปเติมรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่จนน้ำมันหมดถัง ก่อนขับไปเติมที่ปั้มน้ำมันแทนการรุน(เข็น)ไปที่ปั้มน้ำมัน ก็พบเจ้าของร้านที่แต่เดิมขายป้ายฮวงจุ๊ยของคนจีนที่ทำจากหินแกรนิต สอบถามว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง แกก็บอกว่าจะเลิกทำแล้ว เพราะช่างแกะสลักหินหายากมากและในตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีงานเข้า หรือมีคนมาสั่งซื้อหินหน้าหลุมศพแล้ว ส่วนหนึ่งคนจีนรุ่นใหม่ตอนนี้ก็นิยมเผาศพ และเริ่มประเพณีลอยอังคารกันแล้วแทนการฝังศพแบบแต่ก่อน ซึ่งต้องมีพิธีกรรมมาไหว้ทุกปีในวันเช้งเม้ง หรือต้องรวมญาติไปทำความสะอาดหลุมฝังศพ (เป็นอุบายให้สมานสามัคคีกัน) แต่โลกปัจจุบันคนเราทำงานไกลจากบ้านเกิดกันมากขึ้น เวลาก็ไม่ค่อยจะมีกันหรือสะดวกในการนัดหมายให้มาพร้อมๆกัน ก็ค่อนข้างจะทำกันได้ยากขึ้น

แต่เดิมธรรมเนียมไทยสมัยก่อนก็จะมีการลอยอังคารส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งก็ไว้กับบัว และต้องมีพิธีกรรมไหว้กระดูกปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าสามครั้ง คือ เทศกาลสงกราน์ เทศกาลบุญเดือนสิบ และ/หรือวันที่นัดหมายกัน ในหมู่ญาติมิตรให้มาทำบุญกระดูกหรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ตาย

พูดคุยกันหลายเรื่อง เช่น แกบอกว่าป้ายหินแกรนิตถ้ามีรอยร้าวก็มีกาวประเภท หนึ่งหลอดพันกว่าบาทหยอดแล้วประกบให้แน่น จะมองไม่เห็นเลยว่าเป็นรอยแตกร้าวมาก่อน เลยเล่าให้แกฟังว่าเคยอ่านพบในวารสารวิศวกรรมเจอว่าหินรูปธรรมจักรที่พุทธมณฑล พบว่ามีรอยแตกร้าวอยู่สามรอยก่อนจะทำการแกะสลักรูปธรรมจักร และมีการใช้ลวดรัดให้กลับคืนสภาพเดิม แกบอกนั่นแหละหยอดกาวที่ว่า เพราะแกไปซ่อมตามฮวงจุ้ยบ่อย ๆ ที่มีการแตกร้าว หรือมีคนเมาทุบทำลายเวลาเมา หรือเวลาช่างก่อสร้างมีปัญหาทะเลาะกับญาติพี่น้องของคนตาย เวลาว่าจ้างให้ทำฮวงจุ๊ย หรือตอนติดตั้งก้อนหินมีการแตกร้าวขึ้นมาบ้าง ก็ต้องไปซ่อมแซมหรือย้อมแมวงานหิน รวมทั้งงานของแกเอง ที่เวลาแกะสลักหิน แล้วหินเกิดแตกร้าว ก็หยอดกาวดังกล่าวแล้วรีบจับมุมให้แน่นไว้ก็จะยึดติดแน่นเหมือนสภาพเดิมที่ไม่มีการแตกร้าว แม้ว่าตกหล่นอีกหรือสกัดตรงจุดเดิมก็ไม่แตกแต่อย่างใด

แกเล่าเรื่องที่แกเคยไปกับหมอดูฮวงจุ้ยคนหนึ่ง ที่เจอศพคนตายแล้วไม่เน่าสองศพ ศพแรกเป็นคนจีนในตลาดทำธุรกิจร้านทองรูปพรรณ กับ โรงแรมชั้นสาม บนถนนสายหลักของหาดใหญ่ หมอดูดูหลุมศพแล้วท้าทายลูกหลานเลยว่า ถ้าขุดศพขึ้นมาแล้วเน่าผุพังหมดแล้วให้ฝังแกลงไปได้เลย ที่หน้าคนตายจะมีรอยเส้นดำพาดอยู่เป็นเส้นเหมือนเงาสายไฟฟ้าพาดผ่าน เมื่อขุดขึ้นมาก็จริงแม้ว่าฝังมาสิบปีแล้วก็ตาม ตกลงต้องจ้างคนไทย/สัปเหร่อ ให้ขูดเนื้อออกมาให้หมดให้เหลือแต่กระดูก ก่อนจัดรูปร่างใหม่ให้เหมือนกับคน เศษเนื้อและเครื่องในก็เอาไปเผาเสีย แล้วย้ายหลุมศพไปฝังที่แห่งใหม่ เพราะคนจีนเชื่อว่าที่ฝังศพบางหลุม ศพจะไม่เน่าเปื่อยตามธรรมชาติของการฝัง เป็นที่ไม่เป็นมงคล เรื่องนี้เชื่อได้เพราะเป็นศพของพ่อเพื่อนคนหนึ่ง และเป็นข่าวที่มีการพูดถึงกันมากในหาดใหญ่สมัยหนึ่ง (ส่วนหมอดูคนนี้ ในตอนนี้ไปทำมาหากินที่กรุงเทพฯ กับปริมณฑล ข่าวว่าจบจากไต้หวันปริญญาตรี ก่อนมาศึกษาศาสตร์ ทางด้านนี้ เห็นว่าดูครั้งละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทขึ้นไป ถ้าสอบถามคนในวงการก็น่าจะรู้จักว่าเป็นใคร เพราะข่าวว่าเป็นคนมาจากหาดใหญ่)

อีกศพหนึ่งที่แกไปกับญาติพี่น้องที่สุสานสะเดา เป็นศพโจรจีนคอมมิวนิสต์ถูกยิงตายจากการปะทะกันที่มาเลเซีย แล้วนำศพกลับมาประเทศไทยแจ้งว่าไม่ทราบสาเหตุว่าใครยิงตาย มีรอยกระสุนเต็มร่างอยู่ตามร่างกาย แม้ว่าศพดังกล่าวจะมีการฝังมานานกว่ายี่สิบห้าปีแล้ว กล่าวคือ ในบางธรรมเนียมของคนจีนบางกลุ่ม/บางแห่งก็จะถือว่าไปเกิดใหม่แล้ว สามารถรื้อหลุมศพได้เพื่อไปทำพิธีทางศาสนาพุทธ หรือไม่ต้องกลับมาไหว้ในพิธีเช้งเม้งอีก สภาพศพที่แกเจอคือ ตาสองข้างหายไปแล้ว แต่หน้าตายังอยู่ปกติ ศพมีสภาพเปียกน้ำหรือชุ่มน้ำอยู่ครึ่งท่อนส่วนล่าง ไม่เน่าเปื่อยรวมทั้งเสื้อผ้าด้วย เลยญาติพี่น้องต้องยกศพขึ้นมาพร้อมกับวางบนสังกะสี แล้ววางถ่านรอบ ๆ เผากันตรงใกล้กับบริเวณที่ฝังศพ ก่อนนำกระดูกฝังตรงหลุมเดิมอีกยี่สิบปีก็ค่อยมาขุดใหม่ (เพราะถือว่ายังไม่ไปเกิดใหม่) ลูกหลานแกก็ มาเปิดร้านขายของที่หาดใหญ่ (ไม่ขอบอกสถานที่)

แกยังเล่าว่า เพื่อนแกก็เคยเจอที่จังหวัดตรัง เป็นศพหญิงสาวตายมากว่าสามสิบปีแล้วก็ไม่เน่า สภาพศพเหมือนคนตายใหม่ ๆ ยังสาวสวยอยู่อย่างไรอย่างนั้น คนทำพิธีฝังศพก็เชื่อว่า น่าจะเป็นบริเวณหลุมนั้นที่จะเป็นเช่นนั้น แก่เรียกว่า ซีนั้งตี่ หรือที่คนตายอะไรทำนองนี้แหละ ก็ต้องนำไปเผาหรือขุดเนื้อกับเครื่องในออกมา หรือย้ายหลุมฝังศพไปที่อื่นเพื่อให้ศพเน่าเปื่อยตามธรรมชาติ

นี่ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่คนรุ่นใหม่ ๆ นิยมเผาศพ แล้วไปลอยอังคารตามที่หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ เคยเทศน์ไว้นานแล้วว่า วัดชลประทานรังสิต ของแกตอนนี้ห้ามมาใส่บัว หรือฝังกระดูกญาติพี่น้องไว้ ตามรอบเสารอบศาลา หลวงพ่อแกว่าแกะกะ รกรุงรัง ไม่สวยงาม อีกอย่างตอนนี้ลูกหลานแต่ละคนก็ทำงานกันห่างไกลกันมาก ไปมานัดรวมญาติก็ลำบาก แกเทศน์ว่า ให้เผาแล้วไปลอยอังคาร ในแม่น้ำ ทะเล เกิดอยากคิดถึงวันไหนก็ไปดูแม่น้ำ ทะเลที่ไหน ก็ได้จะได้ระลึกว่าอีกไม่นานหนาเราก็คงเป็นเช่นนี้เอง แบบคนที่เราลอยอังคารไป

อีกเรื่องที่พบคือ หลายครอบครัวในหาดใหญ่ที่เจอปัญหาที่ว่าเวลาฝังศพเสร็จ ก็จะมีนายหน้าพาหมอดูฮวงจุ๊ยมาทำนายทายทักว่า ทำแบบฮวงจุ๊ยหรือฝังที่นี้จะมีปัญหาเซี่ยหรือชง (ชนหรือกระทบ) กับลูกหลานคนนั้นคนนี้ ถ้าเเชื่อมากก็เรื่องมาก เพราะต้องทำการ รื้อใหม่ทำใหม่ ย้ายที่ใหม่ ก็หลายตังค์ กว่าจะแก้ไขลงตัว เผลอ ๆ พี่น้องลูกหลานทะเลาะกันหมดบ้าน เพราะแก้จุดตรงนี้อาจจะไปเซี่ยหรือชงกับคนโน่นคนนี้ กว่าจะแก้ไขให้ได้ดีกับทุก ๆ คน ก็หลายเงินอยู่ หรือมากหมอมากความในที่สุด ผลก็คือ หลายบ้านก็เผา ๆ ไปเสียเลยจะได้หมดเรื่องหมดราวไป

เพิ่มเติมครับ คือ ปกติการฝังศพของธรรมเนียมชาวจีน มาจากหลักการดินน้ำลมไฟทอง ที่ธาตุทั้งห้าต้องเกื้อกูลกันและทำลายล้างซึ่งกันและกัน ดังนั้นการที่ศพที่ไม่เน่าเปื่อยหลังจากการฝังศพแล้ว ธรรมเนียมชาวจีนทั่วไป จะถือว่าเป็นการผิดธรรมชาติและไม่เป็นมงคล ยกเว้นแต่ศพของพระอรหันต์หรือนักบุญชาวจีน (เคยพบแม่ชีชาวจีนไม่เน่าเปื่อยที่วัดถาวรวราราม-หาดใหญ่) ซึ่งอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นี้

ดังนั้นจะเห็นได้จากสารคดี ที่แม้ว่าศพจะสวมหยกขาวหรือหยกต่าง ๆ สภาพศพก็มักจะเสื่อมสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ ไม่ใช่ไม่เน่าเปื่อยแบบการทำมัมมี่ของทางอียิปต์หรือทางอินคา

บางตำนานจะถือว่า การที่ศพไม่เน่าเปื่อยแสดงว่ายังห่วงใย หรือติดตามลูกหลานญาติพี่น้องอยู่และมีผลต่อความเจริญก้าวหน้า/ความเป็นอยู่ของครอบครัวลูกหลาน ในด้านที่ไม่ดีคือ จะมีปัญหาตลอดเวลาทั้งด้านทรัพย์สินเงินทองหรือสุขภาพร่างกาย ดังนั้นถ้าเจอศพที่ไม่เน่าแล้ว ลูกหลานชาวจีนจะถือว่าไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่ง ต้องทำให้เสื่อมสภาพโดยเร็วคือกลายเป็นธาตุดิน

ธรรมเนียมดังกล่าวอาจจะขัด ๆ กับของชาวไทย ที่ถือว่าศพที่ไม่เน่าเปื่อยเป็นของขลังหรือเป็นกุมารทองเป็นต้น ในยุคก่อนการล้างป่าช้าคนจีน ถ้าพบก็จะมีการทำให้เสื่อมสภาพหรือนำเข้าไปเผารวมให้สิ้นสภาพกุมารทองไปเลย แทนที่จะเก็บรักษาไว้บูชาเหมือนบางแห่งในปัจจุบัน

ส่วนที่ภาคใต้ก็มีพระสงฆ์หลายรูปที่มรณภาพแล้วไม่เน่าเปื่อย เช่น หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันธ์(จันดี) หลวงพ่อสงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่จังหวัดชุมพร หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น ในส่วนนี้ถือว่าเป็นข้อยกเว้นในธรรมเนียมของไทยกับของจีน

ส่วนการทำบุญให้คนตายของชาวไทยปักษ์ใต้(ภาคใต้) สมัยก่อนจะมีสามวันหลัก คือ สงกรานต์ บุญเดือนสิบ วันครบรอบการตาย หรือแล้วแต่ลูกหลานตกลงกัน หรือบางแห่งถือเป็นธรรมเนียมว่าจะนัดหมายวันเพ็ญเดือนไหน มาทำบุญร่วมกันให้ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมในวันนั้นรวมหมดเลย เช่น ของชาวระโนด วันสหญาติ เป็นต้น ทำให้คนปักษ์ใต้แม้ว่าอยู่ที่ภาคเหนือหรือภาคกลาง ต้องนัดหมายกันไปทำบุญเดือนสิบที่วัดไหนสักแห่งหนึ่ง เช่นที่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ โดยเฉพาะบุญเดือนสิบ สำคัญที่สุดเพราะ เป็นวันที่ต้องทำบุญให้บรรพบุรุษที่เป็นเทวดาและเปรต ได้บุญหรือเรียกกันว่า วันชิงเปรต

ส่วนถ้าอยากทราบรายละเอียดประเภทศพที่ไม่เน่าเปื่อย น่าจะไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์นิติวิทยาศาสตร์ของโรงพยาบาลศิริราช ทราบว่ามีเก็บอยู่จำนวนมาก ลองสอบถามอาจารย์ที่ดูแลพิพิธภัณฑ์ก็จะทราบรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ที่เรียนมาสมัยก่อนวิชานิติเวชวิทยา สรุปคร่าว ๆ ว่า ตายในบริเวณที่มีเชื้อโรคต่ำมากกว่าเกณฑ์ปรกติ เช่น ในถ้า ป่าเขา หรือ แห้งไปเลยในที่ร้อนจัด ๆ หรือหนาวจัด ๆ เช่น ตามทะเลทราย เทือกเขาแอลป์ หรือมีสารเคมีบางอย่างในดิน/น้ำแถบนั้นรักษาสภาพศพไว้อย่างแถบยุโรปตอนเหนือ ยกเว้นแต่กรณีการใช้น้ำยาเคมีแบบการทำมัมมี หรือแบบสมัยใหม่ที่แช่แข็ง เป็นต้น

ส่วนศพของพระภิกษุ/แม่ชี ที่ไม่เน่าเปื่อยก็ขอยึดหลักของพระพุทธศาสนาคือ อจินไตย (ไม่ควรรับรู้ ไม่ควรสนใจ เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานแต่ประการใด แถมยังทำให้ต้องครุ่นคิดมากปวดหัวเปล่า ๆ)








 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551    
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 15:45:02 น.
Counter : 2338 Pageviews.  

โค้วอึ้ม หรือ ป้าโค้ว คนธรรมดาที่ไม่สามัญธรรมดา

นานหลายปีแล้วที่อยากจะเขียนเรื่องนี้จากความทรงจำ จำภาพหญิงมีอายุ เชื้อชาติจีน สัญชาติจีนได้เมื่อวันที่ไปเยี่ยมแกตอนหัวค่ำ ที่บ้านห้องแถวหลังโรงภาพยนตร์โอเดียน หรือที่เรียกว่า บ้านให้เช่าคุณพระ(เสน่หามนตรี) แม่ให้เรียกแกว่า โค้วอึ้ม หรือ ป้าโค้ว จำได้ว่าทะเลาะแย่งของเล่นตุ๊กตารูปเป็ดหรือไง ไม่แน่ใจนัก กับลูกชายของแก แล้วแกมาห้ามไม่ให้ลูกแกทะเลาะกับเราแต่ก็ยังทะเลาะกันประสาเด็ก จนกระทั่งกลับบ้านในเวลาต่อมา

แม่เล่าให้ฟังว่า สามีแกเป็นหมอจีนรักษาโรคทั่วไป แต่ถูกยิงเสียชีวิตในตอนค่ำวันหนึ่ง ในสมัยพ่อกับแม่ไปอยู่บ้านให้เช่าละแวกเดียวกันในสมัยก่อน ตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นการยิงผิดคน ตอนนั้นยังเล็ก ๆ อยู่มาก จำความอะไรไม่ได้ ตั้งแต่นั้นแกก็เลี้ยงดูลูกชายตลอดมา ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงที่ไปขอมาจากครอบครัวคนจีนที่กรุงเทพฯ แห่งหนึ่ง (เป็นวัฒนธรรมคนจีนแต่ก่อน ที่จะต้องมีลูกชายไว้สืบแซ่(สายสกุล) และลูกเลี้ยงของแกก็เคยไปพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงเมื่อตอนวัยรุ่น แต่ก็อยู่อาศัยกับพ่อแม่ที่แท้จริงพร้อมกับพี่น้องด้วยกันได้ไม่นาน จำได้ว่าไม่กี่เดือน ก็กลับมาอยู่ที่หาดใหญ่อีกครั้ง เพราะขาดการติดต่อและสายสัมพันธ์เครือญาติ รวมทั้งความเอาใจใส่ที่แกรักเหมือนลูกแท้ ๆ ไม่ได้ ตอนนี้เปิดร้านค้าในหาดใหญ่เกี่ยวกับการ ให้เช่า บูชา พระพุทธรูป

มีช่วงหนึ่ง แม่ต้องไปผ่าตัดต่อมไทรอยด์ที่โรงพยาบาลสงขลา และพ่อต้องไปเฝ้าคนไข้ โค้วอึ้ม ก็มาดูแลที่บ้านทุก ๆ วัน อย่างเป็นห่วงเป็นใย เหมือนกับญาติสนิท แม้ว่าที่บ้านจะมีพี่ชายและพี่สาวดูแลน้อง ๆ กันอยู่ แต่ก็มีความอบอุ่นใจที่มีผู้ใหญ่มาดูแลและถามไถ่ตลอดเวลา จนกระทั่งแม่กลับจากโรงพยาบาลมาอยู่บ้านและหายเป็นปกติ

จำได้ช่วงหนึ่ง กับพี่ชาย ลงทุนกับเพื่อน ๆ ที่บ้านพักรถไฟหาดใหญ่ เลี้ยงเป็ด โดยไปซื้อลูกเป็ดมาจากตลาดตัวละสองสลึง เลี้ยงกว่าสิบเดือน(อัตรารอดน้อยมาก สิบตัวรอดไม่ถึงครึ่ง เพราะยังไม่รู้จักวัคซีน หรือการเลี้ยงดูที่ดีแต่อย่างไร) อาหารก็ใช้เศษข้าวจากบ้าน หรือ จอกแหนบางครั้งก็รำข้าว ที่รั่วและหล่นอยู่ตามพื้นโกดังรถไฟรอบนอก(ใกล้กับสะพานลอยข้ามทางรถไฟ) คนงานหรือเจ้าหน้าที่รถไฟแถวนั้นก็ไม่มายุ่งหรือห้ามปราม เพราะเห็นว่าเป็นลูกหลานคนรถไฟด้วยกัน ก็ช่วยกันโกยใส่ถุงมาจากโกดังรถไฟหาดใหญ่มาผสมเศษอาหารเลี้ยงเป็ด

ปลายปีก็มีคนจีนมาซื้อเป็ดไปขายต่อก่อนไหว้ตรุษจีน จำได้ตัวหนึ่งไม่เกินกว่าสิบห้าบาท ก็ดีใจมากแล้ว เลี้ยงอยู่ประมาณสองหรือสามรุ่น บ้านพักรถไฟแถวนั้นต้องรื้อถอน ย้ายไปที่อื่น (ช่วงนั้นเป็ดอายุประมาณหกเดือนแล้ว) จึงต้องนำเป็ดส่วนที่เลี้ยงไว้แถวบ้านพักรถไฟกลับมาที่บ้าน ตอนค่ำต้องเอาไปไว้ในห้องน้ำ กลัวขโมยมาลักไป เลี้ยงอยู่ประมาณอาทิตย์ แม่เลยขอให้ไปให้โค้วอื้มเอาไปเลี้ยงดีกว่าและแกจะได้ขายตอนตรุษจีนด้วย แกก็รับไปด้วยความเต็มใจ ช่วงวันไหว้ตรุษจีน แกก็เอาเป็ดที่ฆ่าแล้วและทำพะโล้มาให้ที่บ้านจำนวนสองตัวจากหกตัว เรากับพี่ชายหุ้นกันเลี้ยงต่างกินกันไม่ลงเพราะสงสารและนึกถึงวันที่ผูกพันกับมันมากว่าหกเดือนแล้ว

สมัยก่อน ที่บ้านตอนตรุษจีนหรือสารทจีน จะมีการซื้อไก่บ้านมาฆ่ากันหลังบ้าน ดูไก่ถูกเชือดคอและวิ่งพล่านกว่าจะตายก็หลายปี และที่บ้านก็ไม่มีพี่น้องคนไหนกล้าฆ่าไก่สักคนรวมทั้งพ่อกับแม่ด้วย ทุกครั้งต้องไหว้วานให้คนงานของพ่อมาฆ่าไก่ให้ และยังต้องยุ่งกับการถอนขนไก่ ต้มไก่ กว่าจะได้ไหว้ก็ปาเข้าไปครึ่งคืนแล้ว จนหลายปีต่อมาจำได้ว่า ที่บ้านเริ่มซื้อไก่ที่มีคนรับทำสำเร็จรูปมาขายให้ ก็เลยซื้อไก่ประเภทนั้นมาไหว้เจ้าแทน จำได้ปีนั้นเป็นปีสุดท้ายที่ โค้วอึ้ม มาถามแม่ว่าปีนี้จะซื้อไก่บ้านมาฆ่า แล้วไหว้เจ้าหรือไม่ แม่บอกว่า ปีนี้คงไม่แล้วเพราะพี่ชายก็ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ กับ ปีนังค์แล้ว ส่วนที่บ้านก็อยู่กันน้อยกว่าเดิมมาก ซื้อที่เขาทำไว้สำเร็จรูปง่ายกว่า และช่วงนั้นพ่อก็ไปทำงานรับเหมาก่อสร้างที่ลพบุรี คนงานที่มาฆ่าไก่ให้ทุกปีก็ตามไปทำงานกับคุณพ่อที่นั่น เลยมาไม่สะดวก จำได้ โค้วอึ้ม ซึมไปเล็กน้อย เลยถามแม่ว่า ทำไมไม่ช่วยแกซื้ออีก แม่ก็บอกถึงความจำเป็นที่มี และบอกว่า คงไม่เป็นไรหรอก เพราะไก่ขายช่วงตรุษจีน ได้ราคาดีกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่แกมาขายหลายปีแล้วจนกระทั่งชินว่า ที่บ้านจะต้องเป็นคนซื้อแกเจ้าแรกทุก ๆ ปีและที่บ้านก็ซื้อพวกธูปเทียน กระดาษไหว้เจ้าของแกเป็นประจำอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีเจ้าอื่นขายถูกกว่าก็ตาม (ไก่ของโค้วอึ้ม แกจะเลี้ยงไว้ในคอกตับ ใส่ช่องละตัวไว้ในหลังบ้าน โดยซื้อมาขุนก่อนตรุษจีนประมาณสองถึงสามเดือนเป็นประจำ ถ้าจำไม่ผิด) จำได้ว่า เคยไปกับแม่ที่ตลาดชีกิมหยง ไปซื้อกระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียนไหว้เจ้าที่แผงของโค้วอึ้มเป็นประจำ

ยังจำได้ว่าช่วงตรุษจีนในวันไหว้เจ้า แม่มักจะให้เอาของไหว้เจ้า(ที่ยังไม่ได้ไหว้)ไปให้แก แกก็จะเอาของคืนให้มากกว่าที่เราเอาไปให้แก บางครั้งแกก็เอามาให้ก่อน พอแม่เอาของใส่คืนให้แกมากกว่า แกก็ไม่ยอมพยายามเอาออกจนเหลือให้น้อยที่สุดเท่าที่แกจะยื้อได้

ช่วงหลัง ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ หลายปี กลับมาที่บ้านก็พบว่า บ้านห้องแถวเก่าที่โค้วอึ้มอยู่ถูกรื้อถอนสร้างเป็นโรงแรมอินทราไปแล้ว เลยถามแม่ว่า โค้วอึ้มไปไหนแล้ว แม่บอกว่า แกย้ายไปอยู่บ้านพี่น้องแกที่สระบุรีแล้ว ขาดการติดต่อกันเลย ส่วนลูกชายแกก็ไป ๆ มา ๆเอาแน่นอนไม่ได้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง บางครั้งเจอก็ลืมถามเรื่องนี้บ้าง เลยไม่รู้ว่าแกไปอยู่ที่ไหนแน่ จนกระทั่งวันหนึ่งเราเจอลูกชายแก เลยถามถึงโค้วอึ้ม แต่ลูกชายแกกลับบอกว่า เสียชีวิตแล้วและฝังอยู่ที่สระบุรีและไม่ได้บอกใคร ๆ เพราะแกสั่งว่าไม่ต้องบอกกับใคร แต่อย่างใด เพราะไม่อยากรบกวนใคร ๆ อยากตายแบบเงียบ ๆ และอบอุ่นใจที่บั้นปลายอยู่ใกล้ชิดกับพี่น้องอีกครั้ง

เป็นความทรงจำสุดท้าย ที่ขอมอบให้โค้วอึ้ม เพื่อนของแม่ที่เหมือนญาติ และเป็นคนดีที่เรารู้จักคนหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมา ขอให้แกไปสู่สุคติและมีชีวิตในภายหน้าที่เป็นสุขสวัสดิ์ดีกว่าชาตินี้ด้วย




 

Create Date : 20 เมษายน 2550    
Last Update : 20 เมษายน 2550 21:45:17 น.
Counter : 349 Pageviews.  

หมาบอกลาตาย

สองวันก่อน ขับรถมอเตอร์ไซด์โบราณฮอนด้าซีดี 125 อายุประมาณ 35 ปี เข้าไปที่จอดรถยนต์แถวบ้านพักรถไฟ เอาของบางอย่างไปเก็บไว้ที่รถยนต์ ปรากฏว่าเจอ ดิ๋ก หมาเพศเมีย พันธุ์รอคไวล์เดอร์ เห่าใหญ่ หลายครั้งด้วย เลยเรียกชื่อมันตั้งหลายครั้ง ก็ยังเห่าอยู่ นึกว่าเสียงท่อไอเสียรบกวนประสาทหูของมัน หรือแต่งตัวใหม่อาบน้ำมีกลิ่นแปลก ๆ สะอาดไป มันแปลกกลิ่นเลยเห่าไล่ พอขับรถออกมามันก็ยังวิ่งเหยาะ ๆ ตามอยู่ ก็เลยนึกว่ามันบ๊อง ซะแล้ว เพราะปกติมันเป็นหมาค่อนข้างเงียบมาก
อดีตมันเป็นหมาตรวจยาเสพย์ติดของกรมตำรวจ แล้วปลดระวางออกมา เจ้าของคนแรกที่นำมาเลี้ยง ชั่วงแรกก็เลี้ยงดูดีหรอก ต่อมาก็ปล่อยปละละเลย ให้มันต้องคุ้ยหาเศษอาหารกินเอง จนในที่สุด พี่ที่บ้านรถไฟอีกหลัง เลยนำมาเลี้ยงเป็นเพื่อนกับหมาเพศชาย พันธุ์อัลเซเชียน ชื่อ บีอบ และมีลูกด้วยกันสามครอกแล้ว แต่ก็ไม่มีเหลือเลย เพราะคนต่างขอไปเลี้ยงกันหมด ที่ผ่านมาก็จะซื้ออาหารแบบกระสอบให้มันทั้งสองกิน แต่จะสนิทกับ ดิ๊กมากกว่า เพราะมันค่อนข้างจะตะกละ (เพราะอดหยากมานาน) ส่วนบ๊อบ นาน ๆ จึงจะแวะมากินอาหารที่ให้ เพราะมันจะรู้ว่าเวลาเอารถยนต์ไปจอด หรือขับจักรยานยนต์ไปจอด ก็มักจะมีอาหารให้ หรือว่าง ๆ ก็ซื้อซี่โครงไก่ที่ร้านข้าวมันไก่ไปให้มันกิน บางครั้งก็กระดูกหมูจากร้านขายข้าวขาหมู (เวลาว่างส่วนใหญ่จะเป็นวันเสาร์อาทิตย์) แต่ถ้าวันธรรมดาก็จะเป็นอาหารแบบเม็ดแขวนไว้กับที่จอดรถยนต์ ไปให้มันทั้งสองกิน ทุกครั้งจะเจอดิ๊กเป็นประจำนานมากว่าสามปีแล้ว บางวันไม่ว่างจะรีบไปธุระก็บอกจะมาให้ตอนเย็น หรือจะมาฝากวันรุ่งขึ้น มันก็เข้าใจดี และทำหน้าซื่อ ๆ ไม่เห่าแต่อย่างไร เจอกันทีไรก็มักจะแซวมันว่า ไปอาบน้ำบ้าง กลิ่นสาปแรงจัง เพราะแถวที่มันอยู่จะเป็นดินทรายมาก เจ้าของก็อาบน้ำให้อาทิตย์ละครั้ง

ตอนเช้าวันต่อมา ขับรถจักรยานยนต์ไปจอดเพื่อเปลี่ยนเป็นรถยนต์ เจอมันนอนนิ่งอยู่หน้าปากทางเข้า ก็นึกว่ามันนอนอาบแดด เพราะมันชอบนอนแบบนั้น แต่ผิดสังเกตหน่อยว่า มันนิ่งเกินไป และมีแมลงวันตอมอยู่หลายตัว ก็เรียกชื่อมัน ก่อนรีบไปทำงาน กลับมาตอนเย็นก็ตามหามันอยู่ซักพักใหญ่ เจอแต่บ๊อบ ไม่เห็นดิ๊กเลย นึกว่ามันไปวิ่งเล่นแถวบ้านพักรถไฟหลังข้างเคียง

ตอนเช้าวันนี้ เจอแฟนของพี่ที่เลี้ยงดูมันบอกว่า ดิ๊กตายแล้วเมื่อวาน ถูกวางยา เลยเล่าให้แกฟังว่าเจอมันนอนนิ่งเมื่อวานอยู่ นึกว่ามันนอนเล่น เพิ่งรู้ว่ามันตายแล้ว มานั่งนึกอยู่นาน จึงน่าจะเป็นลางสังหรณ์ของมันเองว่าจะไปแล้วน๊ะ เลยมาเห่าบอก และวิ่งตามมาส่ง เพราะเท่าที่รู้มันเป็นหมาเจียมตัวพอสมควร เงียบ ๆ ไม่ค่อยเห่า หรือทำท่าคุกคามใคร เนื่องจากบริเวณที่มันอยู่เป็นเส้นทางผู้คนผ่านเข้าออกมากเป็นประจำ

เพราะเชื่อมั่นและคาระวะท่านมิลาเรปะ โยคีจารย์แห่งธิเบต ก็นึกว่า มันถึงเวลากลับไปสู่ที่แห่งใหม่ เพื่อรับผลบุญผลกรรมต่อไป

ขอให้ไปดีน๊ะ ดิ๊ก




 

Create Date : 20 เมษายน 2550    
Last Update : 20 เมษายน 2550 20:47:15 น.
Counter : 394 Pageviews.  

19 ปีเหมือนฝัน

เช้าวันนี้ขับรถยนต์กะบะไปติดต่อธุระที่หน่วยราชการแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัดเสร็จธุระแล้ว ประมาณสิบเอ็ดโมงเศษคิดถึงเพื่อนหญิงเก่าที่เคยจีบและอยากให้เป็นคนรักเก่าที่อยู่ไกลออกไปอีกจังหวัดหนึ่งแต่ไม่แน่ใจว่าจะต้องผ่านที่ไหนบ้างเลยโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่กรุงเทพฯ ซึ่งบ้านเดิมอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านของเพื่อนคนนี้ พอทราบแล้วก็ขับรถยนต์ไปอีก 300 กิโลเมตร แวะเข้าไหว้เกจิอาจารย์รูปหนึ่งซึ่งมรณะภาพ แล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยกลายเป็นศิลา

จากนั้นก็ขับรถเข้าในตลาดสดที่เธอเคยค้าขายอยู่ ลองสุ่มหาบ้านเก่าของเธอที่เป็นร้านขายของชำในตลาด สภาพยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่ก็เดินวนหาอยู่หลายรอบ จนเจอพนักงานธนาคารแห่งหนึ่งที่เดินเก็บเงินกับ ลูกค้า ถามว่ารู้จักเธอหรือไม่บอกชื่อ และที่มาของเธอที่เคยอยู่บ้านเดิมเดียวกัน ก็บอกไม่รู้จัก เดินวนเวียนอยู่หลายรอบ คลับคล้ายคลับคลา เพราะเคยมาครั้งแรก หลังจากเธอแต่งงานมาแล้วปีเศษแฟนของเธอกับเธอก็ชวนไปกินข้าวและชวนค้างคืน แต่ต้องปฎิเสธ เพราะต้องรีบกลับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น

ไปอีกครั้งก็หลังจากนั้นอีกประมาณสี่ปีแล้วแวะเยี่ยมเธอ พร้อมกับเพื่อนที่ทำงานแห่งใหม่ หลังจากไปดูสถานที่หนังสือพิมพ์ลงว่าเจอของเก่าโบราณจำนวนมาก ไปสถานที่ดังกล่าวแต่ไม่พบอะไรเลย ตอนนั้นเธอกำลังท้องลูกคนที่สองแล้ว คนแรกเป็นผู้ชายอายุประมาณสองปีเศษ เจอเธอกำลังขายของในร้านชำของสามี และทั้งครอบครัวก็พาไปกินข้าวก่อนจ่ายค่ารถแท็กซี่ให้ทุกคนที่ไปเยี่ยมเธอ สรุปไปครั้งนี้ห่างไปสิบห้าปีแล้ว แต่ถ้านับถึงปัจจุบันก็สิบเก้าปีแล้ว

แม้ว่าห้าปีก่อนจะเคยไปแต่ก็ไม่ได่แวะหาเพราะไปท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ ไม่อยากเสียเวลาเพื่อนที่จะนั่งคุยกัน/กินเหล้ากัน

เจอร้านหนึ่งถามว่าจะซื้ออะไร บอกว่าไม่ลองเดินไปอีกแห่ง สภาพใกล้เคียงแต่ไม่มั่นใจเลยลองถามเจ้าของร้านบอกชื่อของเธอ เจ้าของร้านจำได้บอกเป็นญาติกันและบอกย้ายไปเปิดร้านขายของนอกเมืองไปนิดเดียว บอกทางไปและที่ตั้งร้านค้า เลยขับไปหาเธอที่นั่น เจอลูกค้าและคนงานกำลังทำงานกันอยู่ เก้เก้กังกังไม่เห็นหน้าเธอ สักพักเธอเดินออกมา ยังจำเธอได้ หน้าตาไม่เปลี่ยนแต่ผอมกว่าเดิม เธอทักว่าไง รูปหล่อ และนั่งคุยกันภาษาพ่อขุนสักพัก บอกว่าจะเอาหนังสือของหน่วยงานให้เธอดูเล่น และเมื่อมาถึงแฟนเธอก็มาทัก และบอกให้เธอพาไปกินข้าว ให้เธอนั่งรถไปกันเพียงสองต่อสอง พูดคุยกันหลายเรื่อง เรื่องหลัก ๆ ก็ลูกของแต่ละฝ่าย ส่วนของเธอลูกชายปีนี้กำลังจะเอ็นทรานซ์แล้ว

เวลาผ่านไปเหมือนช่วงสั้น ๆ แต่ก็เร็วเหลือเกิน กินข้าวเสร็จ บอกว่าจำได้มีเพื่อนรุ่นพี่อยู่แถวนี้จะขอแวะไปเยียมสักหน่อย เธอบอกขอตามไปด้วย เพราะอยากนั่งคุยกันนาน ๆ เลยพาเธอไปเยี่ยมเพื่อนรุ่นพี่ด้วย จนเสร็จภาระกิจเลยพาเธอมาส่งที่ร้านใหม่ของเธอ เธอย้ำว่าถ้าว่างให้แวะมาเยี่ยม แต่บอกเธอแต่เพียงว่า ไม่ขอรับปาก แต่จะมาให้ได้ถ้ามีโอกาส

ขากลับนั่งขับรถยนต์ด้วยความสุขใจ มีความสดใสคิดถึงภาพฝันวันเก่า ๆ และความทรงจำที่ดีวันนี้

จากคุณ : ความฝันวันเก่า ๆ - [23 มี.ค. 45 03:52:53]




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2548    
Last Update : 20 เมษายน 2550 21:12:56 น.
Counter : 359 Pageviews.  

ยี่สิบสามปีทางโทรศัพท์

ยี่สิบสามปีทางโทรศัพท์

วันนั้นเข้าไปในระบบค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ใน INTERNET นึกถึงเพื่อนเก่าสมัยเรียนเตรียมด้วยกัน ที่เคยไปนอนค้างคืนที่บ้านและไปร่วมชุมชุมตามคนเดือนตุลาคม และเคยไปกับพี่สาวของเพื่อนไปประกันตัวออกมาหลังจากถูกจับกุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ก็ไปพักบ้านเพื่อนคนนี้อยู่ก่อนสักสองเดือน(ไม่ติดต่อกัน) มาทราบภายหลังอีกที เมื่อพี่สาวเพื่อนมาตามที่หอพักมหาวิทยาลัยบอกรู้ไหม ว่าเพื่อนรักไปไหน ไปที่ใด ก็ไม่ทราบเลยจริง ๆ ทราบอีกหลังจากนั้น สามเดือนว่าเพื่อนไปร่วมขบวนการประชาชนในป่าแถวภาคใต้ โดยส่งจดหมายมาบอกให้ทราบ และก็ข่าวคราวก็เงียบหายไปเลย

จบการศึกษาแล้ว ก็กลับมาทำงานที่บ้านเกิด เคยไปที่บ้านเก่าเพื่อนเป็นระยะ ๆ (สมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์/โทรศัพท์แพร่หลายมากมายเหมือนปัจจุบันนี้) ประมาณปี 2523 ถามก็บอกว่าไม่มีใครรู้จักคนนี้ เพราะเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่
คนเก่าก็ไม่ได้บอกอะไรไว้ รู้แต่ว่าพี่สาวเพื่อนทำงานที่โรงเรียนหลวงแห่งหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าชื่อโรงเรียนอะไรส่วนพี่น้องของเพื่อนที่อยู่ในบ้านเกิดเดียวกันก็ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ หมดแล้ว ขาดการติดต่อไปเลย ถามเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันก็บอกไม่รู้ว่าหายไปไหน และไม่รู้ว่าพี่น้องครอบครัวนี้ย้ายไปไหนบ้าง เพราะเป็นเรื่องน่ากลัว/อับอายที่มีญาติพี่น้องอยู่ในขบวนการต่อต้านรัฐบาลในสมัยนั้น

ประมาณปี 2530 ได้ทราบข่าวจากเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเข้าไปอยู่ในขบวนการประชาชนเหมือนกัน แต่ว่าออกมาก่อนในปี พ.ศ.2527 ว่า เพื่อนคนที่ตามหานี้กลับออกมาแล้วแต่ก็มีลักษณะ TRUMA ไม่อยากพบใครมากนักและบอกว่ากลับไปเรียนต่อ แต่ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งใหม่ใกล้จะจบแล้ว และไม่ได้ให้ที่อยู่ที่ติดต่อไว้แต่อย่างใด เลยไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนบ้าง

ข่าวคราวเงียบหายไปหลายปี สอบถามเพื่อน ๆ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เพราะไม่มีการติดต่อกับเพื่อนคนอื่น ๆ อีกเลย

ปี 2543 เริ่มใช้ INTERNET เป็นและเจอ WEBSITES ดังกล่าวเลยลองค้นหาเล่น ๆ แต่ไม่เจออะไร ค้นหานามสกุลก็ไม่พบ นึกขึ้นมาได้ว่า ชื่อแม่เพื่อนชื่อเหมือนนมข้นหวานยี่ห้อหนึ่ง เลยลองค้นดู ปรากฏว่าพบใช่เลย รีบโทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครรับสาย โทรอยู่สี่ห้าครั้ง

คืนนั้น ประมาณสามทุ่มเลยลองโทรศัพท์ใหม่ มีเสียงผู้หญิงอายุมากแล้วรับสาย สอบถามชื่อเพื่อน บอกว่ายังไม่กลับจากทำงาน และพูดคุยกันสักพักใหญ่ เลยทราบว่าเป็นแม่ของเพื่อน ถามถึงเรื่องเก่า ๆ และบ้านเก่าบอกย้ายมาช่วงนั้น เพราะมีคนไปป้วนเปี้ยนที่บ้านมากในช่วง ปี 2520-2522 เลยขายบ้านและย้ายมาที่ใหม่แห่งนี้ เพราะไม่มีใครรู้จักเรื่องของครอบครัว เพราะเป็นย่านตึกแถว ไม่มีใครสนใจใครเหมือนที่เก่าที่เป็นเขตฃานเมืองมาก คนส่วนใหญ่ยังมีความเอื้ออาทรและรู้จักกันพอสมควร เลยให้เบอร์โทรศัพท์และที่ติดต่อไว้ ให้เพื่อนโทรกลับ

วันรุ่งขึ้น โทรศัพท์ไปช่วงเช้าประมาณสี่โมงเช้า เพื่อนรับสายเอง บอกว่ารู้เรื่องจากแม่แล้ว แต่เมื่อคืนกลับมาก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ตอนเช้าโทรศัพท์ไปหาแต่ไม่มีคนรับสาย เลยว่าจะโทรคืนนี้ เลยบอกว่าช่วงเช้าวันหยุดพาลูกออกไปกินข้าวข้างนอก พูดคุยกันชั่วโมงกว่า หลายเรื่อง หลายราว บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องไห้ร่วมกัน สมกับที่ไม่ได้เจอกันมาร่วม ยี่สิบสามปี และก็ยังติดต่อพูดคุยกันเกือบทุกวัน

ต้นปีก็ได้เจอตัวกัน เขินอายเหมือนกันแม้เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็พูดคุยกันกว่าแปดชั่วโมง หลายเรื่องหลายราวที่ผ่านมา และเรื่องครอบครัวของแต่ละคน และทุกวันนี้ยังพูดคุยกันเกือบทุกวันแม้จะห่างกันคนละภาคของประเทศ

ขอบคุณเครือข่ายต่าง ๆ และระบบ INTERNET ที่ทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง

จากคุณ : คนผ่านทาง - [21 เม.ย. 45 01:43:22]




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2548    
Last Update : 20 เมษายน 2550 21:08:17 น.
Counter : 264 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

yokel
Location :
สงขลา Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ฺBlog แรก ๆ ที่เริ่มทดลองสร้างและเริ่มใช้งานใน http://www.pantip.com งานเขียนที่มีขึ้นก็แล้วแต่อารมย์และความว่างในการเขียน เพื่อเก็บไว้ในกล่องความทรงจำก่อนที่จะลืมเลือนหายไปกับกาลเวลา
Friends' blogs
[Add yokel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.