...spring...summer...fall...winter... no matter how many seasons have changed , don't give up your dream!!
Group Blog
 
All blogs
 

เที่ยวลาว(๔) ...ก่อนจะถึงหลวงพระบาง

พวกเรานอนค้างวังเวียงกันสองคืน จากนั้นจะมุ่งหน้าไปหลวงพระบาง ซึ่งระยะทางจากวังเวียงไปหลวงพระบางนั้นทรหดพอสมควร ว่ากันว่าน้องๆ แม่ฮ่องสอนดีๆ นี่เอง อีกห้าชั่วโมงเท่านั้น... ก็จะถึงหลวงพระบาง







พวกเราซื้อตั๋วรถทัวร์โดยย้ำนักหนาว่าแอร์คอนนะพี่แอร์คอนแน่นะ ถึงขนาดต้องชี้ให้ดูในภาพว่ารถแอร์เยี่ยงนี้ที่พวกเราต้องการ คุณพี่คนขายก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ บอกว่าถ้าไม่ใช่ให้น้องว่าพี่ได้เลย เพราะพี่จะขับรถแวนไปรับที่รีสอร์ทแล้วพาไปส่งท่ารถด้วยตัวเอง ...ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

รุ่งเช้า ไหงกลายเป็นน้องชายของคุณพี่มารับล่ะ อีกทั้งเอาตุ๊กๆ มารับอีกละ แต่เอาเหอะ นั่งแค่ระยะทางใกล้ๆ เอง เมื่อได้เห็นรถก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย เพราะตรงตามสเป็คที่เลือกไว้เป๊ะ

เมื่อขนของขึ้นรถเสร็จสิ้น ผู้โดยสารก็ค่อยๆ ทะยอยกันขึ้นรถ และแล้วผู้โดยสารสองคนสุดท้ายก็ถูกโหลดขึ้นรถ คนหนึ่งเป็นหญิง อีกคนเป็นชาย ซึ่งน่าประหลาดที่หญิงต่างชาติคนนั้นเลือกจะไปนั่งข้างหลังกับนักท่องเที่ยวฝรั่งคนอื่นๆ หรือนักท่องเที่ยวชายต่างชาติอีกคนที่เลือกจะนั่งข้างๆ เพื่อนสาวของพวกเรา ...

ทีแรกเพื่อนสาวคนนั้นของพวกเราก็ทำท่าเขินๆ อายๆ แกล้งทำเป็นหลับบ้างล่ะ แกล้งทำเป็นเสียบหูฟังฟังเพลงไปบ้างล่ะ แต่ท้ายสุดก็ต้องแพ้ลูกตื๊อของฝรั่งมาดเซอคนนั้น (ชื่อว่า แมทธิว)

เพราะคนที่เม้าท์จริงๆ กลับเป็นอีตาแมทธิวนี่แหละ ชวนเพื่อนสาว (นัน) คุยกันไปตลอดทาง (แต่อันที่จริงเราแอบเห็นว่าแมทธิวน่าจะมีใจให้บีบี๋มากกว่า )

รถคันนั้นแล่นพาพวกเราขึ้นๆ ลงๆ หุบเขาลูกแล้วลูกเล่า บรรยากาศสองข้างทางสวยงามมากๆ มองเห็นเทือกเขาทอดตัวเป็นแนวยาว วางสลับซับซ้อนไปมาหลายต่อหลายชั้น เมื่อแหงนมองท้องฟ้าก็เห็นท้องฟ้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม ณ เวลานั้นไม่ยากจะคิดเลยว่าเราอยู่ห่างจากระดับน้ำทะเลที่ความสูงกี่พันเมตร...



หลายชั่วโมงผ่านไป พวกเราหลับๆ ตื่นๆ อยู่บนรถคันนั้น ... แล้วรถก็หยุดตัวลงที่กลางหุบเขาลูกหนึ่ง... ... ...รถยางรั่ว... ผู้โดยสารจึงต้องทะยอยลงมานั่งรอนอกรถ พวกเราก็พยายามใช้เวลาว่างที่มีให้เกิดประโยชน์ด้วยการหามุมสวยๆ ถ่ายภาพ แต่ก็ไม่กล้าเดินออกไปห่างจากฝูงชนมากนัก เพราะถนนเส้นนั้นค่อนข้างแคบเลียบหน้าผา ประกอบกับถนนที่เป็นทางโค้งที่ลาดชันอีกต่างหาก เลยได้แค่เดินไปเดินมาอยู่ใกล้ๆ ในระยะที่ยังมองเห็นผู้โดยสารคนอื่น









ประมาณครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถบัสคันนั้นถูกเปลี่ยนล้อเสร็จซะที

พวกเราได้แวะพักที่หมู่บ้านหนึ่ง สำหรับแวะหาของกิน และเพื่อเช็คสภาพรถอย่างละเอียดอีกรอบ ซึ่งเพราะสาเหตุอันใดก็ไม่รู้ รถบัสของพวกเราก็ถูกเปลี่ยนยางอีกรอบหนึ่ง โดยการขอยืมยางสำรองจากรถบัสอีกคันที่มาแวะที่หมู่บ้านนั้นเช่นกัน

เมื่อออกจากหมู่บ้านนั้นได้ประมาณเกือบชั่วโมง (ขณะนั้นเวลาประมาณห้าโมงครึ่งแล้ว)

... ปัง ... เกิดปัญหากับยางอีกแล้วครับท่าน คราวนี้คนขับรถเลยขอความร่วมมือให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ประมาณ ๒๐ คน) ไปขึ้นรถคันที่ขอยืมยางมาใส่ ซึ่งโชคดีมากที่รถคันนั้นขับตามหลังพวกเรามาติดๆ คงเพราะคิดไว้แล้วว่าไอ้รถคันนี้มันคงไปได้ไม่ไกลก็ต้องเกิดปัญหาอีกแหงๆ

แล้วรถบัสของพวกเราก็ต้องวิ่งไปแบบช้าๆ คิดดูสิ ว่ามันน่าหวาดเสียวขนาดไหน ที่ต้องวิ่งไปด้วยสภาพรถที่ไม่พร้อม บนหุบเขาสูง ถ้าเกิดปัญหานิดเดียวแล้วเบรกไม่อยู่นี่ อะไรจะเกิดขึ้น นั่งสวดมนต์ คิดถึงพ่อแก้วแม่แก้วไปตลอดทาง ซึ่งสาเหตุที่ยางเกิดปัญหาตั้งสองครั้งเนี่ย คนขับเค้าหาว่าเป็นเพราะฝรั่งตัวหนัก แถมแต่ละคนยังขนสัมภาระมายังกะอยู่เป็นเดือน



มันเป็นเวลาพลบค่ำ ...ตอนที่รถวิ่งอยู่บนพื้นราบ มันช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมือนถูกปลดปล่อยจริงๆ ไม่ต้องนั่งเกร็งตัวแข็งเหมือนก่อนหน้านี้... หุบเขามากมายกลับกลายเป็นอดีตอยู่เบื้องหลัง เราหันกลับไปมองภาพเหล่านั้นอีกครั้งก่อนจะโบกมือลาให้กับการเดินทางอันแสนยาวนานบนเส้นทางที่แสนยาวเหยียด

... ในที่สุดก็มาถึงแล้วสินะ... หลวงพระบาง




 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 23 สิงหาคม 2550 14:17:18 น.
Counter : 458 Pageviews.  

เที่ยวลาว(๓) ... วังเวียงยามเช้า

เช้าวันแรกในเมืองวังเวียง พวกเราตั้งใจจะตื่นมาชมทะเลหมอก อุตส่าห์ตื่นกันตอนหกโมงที่ไหนได้ หมอกหายไปเกลี้ยงแล้วอ่ะ

วันรุ่งขึ้นจึงพยายามกันใหม่เพื่อให้ได้ดูหมอกตอนตีห้าครึ่ง ดังนั้นพวกเราจึงต้องตื่นกันตั้งแต่ตีห้า ง่วงนะ แต่คุ้มมากเลย





ที่นั่นสว่างเร็วมาก ตีห้าครึ่งแท้ๆ บ้านเมืองสว่างแล้ว เหมือนสักเจ็ดโมงเช้าเมืองไทยได้มั้ง

ผู้คนที่นี่ก็ตื่นกันแต่เช้าตรู่ เดินกันขวักไขว่ถือจอบถือเสียมถืออวนออกไปประกอบสัมมาอาชีพกันอย่างแข็งขัน













สะพานที่เห็นในรูป ก็คือสะพานข้ามแม่น้ำซอง ที่อีกฟากฝั่งนั่นก็มีสถานทื่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง แต่เป็นแนวถ้ำ และน้ำตก เลยไม่มีภาพให้ชม เพราะพวกเราไม่ค่อยสันทัดการเที่ยวทางน้ำ อีกทั้งพวกเราใช้จักรยานเป็นพาหนะ ครั้นจะให้ปั่นไปอีกหลายกิโลก็คงจะไม่ได้ เลยได้แค่เที่ยวถ้ำจัง ซึ่งห่างจากรีสอร์ทที่พักประมาณ ๒ กิโลเมตร





พวกเราไปถึงทางเข้าถ้ำตอนประมาณ ๑๑ โมง ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เค้าพักเที่ยง จะเปิดให้บริการอีกทีก็บ่ายโมง เลยตัดสินใจนั่งดูฝรั่งอาบน้ำที่สระมรกตแทน จากนั้นจึงกลับไปนอนดูละครช่องเจ็ดตอนบ่ายที่รีสอร์ท ขอบอกว่าที่ประเทศลาวนี่รับทีวีช่องไทยได้ครบทุกช่องเลย พวกเราจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าออกจากเมืองไทยเท่าไหร่ เพราะยังรับรู้ข่าวสารทุกอย่างเหมือนเดิม (แบบใกล้ชิดอีกต่างหาก เพราะไปทางไหน บ้านต่างๆ ก็เปิดดูทีวีช่องไทยกันทั้งนั้น)










 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 20 สิงหาคม 2550 10:34:57 น.
Counter : 915 Pageviews.  

เที่ยวลาว(๒) ... กับสามสาว ณ วังเวียง

พวกเราซื้อตั๋วรถแอร์รอบบ่ายสองโมง เพราะได้เล็งเห็นแล้วว่าถ้าไปรถพัดลมคงต้องหืดขึ้นคอกันพอสมควร เพราะจะต้องขึ้นๆ ลงๆ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา บนภูเขายอดแล้วยอดเล่าตั้งสามสี่ชั่วโมงแน่ะ

ไปๆ มาๆ ไหงกลายเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุน(กระจก) ได้ซะนี่ ไอ้เราก็นึกว่าแอร์เสีย ที่ไหนได้ ถ้าจะจองตั๋วรถที่ลาวนั้นจะพูดแค่คำว่าแอร์ไม่ได้ ต้องระบุว่าแอร์คอน หรือแอร์แฟน

เฮ้อ ... โชคดีที่ได้ยาแก้เมาของบีบี๋ดักไว้ก่อนคนละเม็ดเลยได้นั่งหลับไป ไม่ต้องมามัวอารมณ์เสียกับรถแอร์แฟนคันนี้

ถึงวังเวียงห้าโมงครึ่ง จวนจะค่ำเต็มที เลยต้องเร่งฝีเท้าแบกเป้หาที่พักกันอย่างเร่งด่วน พวกเราเดินเลียบริมแม่น้ำห่างจากตัวเมืองไปสักกิโลกว่าๆ ได้มั้ง ก็ยังหาที่พักที่ถูกใจ ถูกราคาไม่ได้ เลยตัดสินใจทิ้งเพื่อนสาวนางหนึ่งให้นั่งเฝ้าสัมภาระไว้ เรากะบีบี๋ไปตะลุยหาที่พักกันต่อ เดินย้อนไปมาสักสองสามรอบ จนขาล้าสุดๆ กลับมาหาเพื่อนสาวคนนั้น ปรากฏว่า she ได้ต่อรองราคากับผู้บ่าวซึ่งเป็นญาติกับเจ้าของรีสอร์ทจนได้ราคาที่พอรับได้ เป็นอันว่า ไอ้ที่ไปเดินกันมาน่ะ ตัดกำลังกันแบบไม่เกิดประโยชน์อันใด









จากเวียงจันทน์เพียงแค่ ๑๕๖ กิโลเมตร ก็จะเข้าสู่เขตเมืองวังเวียง ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหินปูน อีกทั้งยังมีแม่น้ำซอง ไหลผ่าน







ในสมัยสงครามเวียดนามเมืองนี้เคยเป็นฐานทัพอากาศของสหรัฐ ปัจจุบันนี้วังเวียงจัดว่าเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ชอบความท้าทาย รักการผจญภัย เพราะมีกิจกรรมกึ่งท่องเที่ยวกึ่งผจญภัยและท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มากมาย เช่น แคนู คายัก ไต่หน้าผา และกิจกรรมสำรวจถ้ำ เมืองนี้กำลังมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วสังเกตได้จากเกสต์เฮาส์ อินเตอร์เน็ตคาเฟ่ และร้านอาหารตะวันตกที่ผุดขึ้นถี่มาก ทั้งยังมีนักท่องเที่ยวหัวทองเดินกันขวักไขว่ไปมาเต็มเมือง


















 

Create Date : 31 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 8 สิงหาคม 2550 15:26:54 น.
Counter : 1225 Pageviews.  

เที่ยวลาว(๑)... กับสาวช่างโลม@เวียงจันทน์

ในที่สุด ก็ได้เวลานำภาพเมื่อครั้งไปเที่ยวลาวมาให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้รับชมกันสักที

ย้อนไปเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน ตอนที่เพิ่งกลับจากเวียดนาม... บีบี๋ ไกด์สาวผู้ซึ่งชำนาญในการจัดทริปก็ได้เร่งรีบจัดแผนเที่ยวกันต่อ ซึ่งอันที่จริงแล้วทริปไปเที่ยวลาวนี่ได้เข้ามาอยู่ในหัวของพวกเราเนิ่นนานมากแล้ว ตั้งแต่เทอมแรกๆ ที่รู้ว่ามีนักเรียนแลกเปลี่ยนจากประเทศลาวจะเข้ามาร่วมเรียนกับพวกเรา

แล้วเมื่อทุกอย่างลงตัว (ทั้งเวลา อากาศ และการเงิน) การแบ็คแพ็กครั้งใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ซึ่งสมาชิกในคราวนี้เยอะขึ้นกว่าครั้งที่ไปเวียดนาม

หนึ่งคนที่เพิ่มขึ้นมานั้น ก็คือ เพื่อนสาวช่างคุยประจำ batch 10 นั่นเอง

คำว่า "คุย" ในภาษาท้องถิ่นลาว เค้าใช้คำว่า "โลม" ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทริปนี้พวกเราได้โลมกันมันขนาดไหน ไม่ใช่แค่โลมกันเองสามคน แต่ยังโลมไปกับทุกคนที่ผ่านเข้ามาระหว่างทริปอย่างเมามัน ซึ่งการเป็นคนโลมเก่งของชาวทริปนี้ ก็ช่วยให้การเที่ยวประเทศลาวครั้งนี้สนุกมากขึ้น แถมยังได้ลดราคาทั้งค่าที่พัก ค่ารถ ค่าของฝาก อีกนานัปการ...



พวกเรานัดเจอกันห้าโมงเย็นที่นิด้า... สถานที่ที่คุ้นเคยยิ่งนัก แต่ความรู้สึกแตกต่างไปจากทุกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้พวกเราไม่ได้มาเรียน หรือมาทำรายงาน

พาหนะคันแรกของทริปนี้เริ่มขึ้นด้วยแท็กซี่สีสวยคันหนึ่ง ที่สวยแต่รูป...จูบไม่หอมจริงๆ เพราะพวกเราต้องนั่งตัวแข็งไปตลอดทาง ก็คุณคนขับรถน่ะสิ ทั้งดุ ทั้งเทศนาพวกเราซะเป็นการใหญ่ แถมยังแอบพาเราอ้อมด้วย ทั้งๆที่รู้นะว่าเค้าแอบพาอ้อม แต่ก็ไม่กล้าเถียง เพราะฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นคนปากจัด แถมใจร้อน พูดจากไม่ค่อยเพราะ ทุกคนเลยพยายามสงบสติอารมณ์ มีบ้างที่นานๆ เราจะหันมาสบตากันแบบอยากเม้าท์เต็มที

..."ปัง"... ทันทีที่ประตูของรถแท็กซี่คันนั้นถูกปิดลง ณ สถานีขนส่งหมอชิต พวกเราก็ได้ระบายความอัดอั้นกันออกมายกใหญ่ ทั้งๆ ที่เคืองเล็กๆ แต่ก็ขำดี

พวกเรานั่งรถทัวร์เพื่อมุ่งหน้าไปหนองคาย ซึ่งระหว่างการเดินทางบนรถทัวร์คันนั้น เด็กรถเหมือนจะรู้ใจ อุตส่าห์เปิดซีดีหนังเรื่อง "คนไฟบิน" ให้พวกเราได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมอีสานก่อนจะได้ไปเยือน ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากกับหัวหน้าทีม(เล้า)โลมของพวกเรา เพราะเธอได้ใช้วิชาที่ศึกษามาตลอดคืนกับผู้บ่าวทันที ตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างลงจากรถ ณ สถานีขนส่งหนองคาย

เช้าวันแรกนั้นพวกเราประเดิมการกินไข่กระทะที่ขึ้นชื่อหลายในละแวกนั้น พวกเราเหมารถตุ๊กๆ ไปนั่งรอตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด จากนั้นก็ต้องรีบกลับมาซื้อตั๋วเพื่อไปข้ามฝั่งที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว



ตอนตรวจพาสปอร์ตน่ะต้องต่อแถวกันยาวมาก แต่โชคดีที่สมาชิกแก๊งค์เราเป็นพวกหูไวตาไว พอดีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาเปิดช่องตรวจพาสปอร์ตเพิ่ม พวกเราสามคนเลยรีบวิ่งไปจนได้คิวแรก เสร็จแล้วก็ขึ้นไปนั่งตากแอร์เล่นบนรถสบายใจเฉิบ

แต่พอรถข้ามฝั่งมาถึงลาวปุ๊บ ฝนก็โปรยลงมาปั๊บ พวกเราเลยได้แต่นั่งเหงาอยู่ที่ท่ารถแถวตลาดเช้าในเมืองเวียงจันทน์รอลิลลี่และปี่ สองสหายชาวลาวมารับ

ระหว่างนั่งรอแล้วรอเล่านั้น ก็มีชาวลาวหลายคน หลากอายุ ทั้งชายหญิง ผ่านมาให้โลมอีกแล้วครับท่าน... ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มาเสนอขายสินค้ามากกว่า มีน้องๆ หลายคนเดินมาขายหมากฝรั่ง เราก็ตอบไปว่าไม่เอา พี่มีแล้ว ก็ไม่วายเดินมาถามอีก มาคนเดียวไม่พอ มากันทีละสี่ห้าคน จนอีชั้นต้องเคี้ยวให้ดูว่าพี่มีจริ๊งจริง... มีรายหนึ่ง บอกว่า "มีแล้วก็ซื้อได้อีก พี่ยังไม่มีรสนี้แน่เลย" อีชั้นเลยควักทั้งหมากฝรั่งและลูกอมทุกยี่ห้อที่มีมาโชว์ให้ดูเลยว่า ดูซะก่อนจะเอายี่ห้อไหน รสไหนว่ามา พี่มีหมด ...แล้วมีคนหนึ่งแอบขอหมากฝรั่งรสบลูเบอร์รี่ของอีชั้นด้วย เค้าบอกว่าแปลกดี ขอเป็นที่ระลึกนะ



เมื่อลิลลี่กับปี่มาถึงพวกเราก็ได้ไปเยือนสถานที่สำคัญในเมืองเวียงจันทน์ เช่น

ประตูชัย ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับผู้สละชีวิตในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากฝรั่งเศส



ซึ่งสร้างขึ้นโดยการผสมผสานศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน หากมองจากภายนอกจะดูคล้าย Arc de Triomphe หรือประตูชัยที่กรุงปารีส (ไม่เคยเห็นของจริงหรอกนะว่าที่กรุงปารีสน่ะเป็นยังไง แต่หนังสือเค้าบอกมาว่าอย่างนั้น )แต่การตกแต่งภายในจะเป็นศิลปะแบบลาว





พวกเราได้เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อชมทิวทัศน์รอบเมืองเวียงจันทน์ แม้จะต้องเดินกันหลายชั้น แต่ขึ้นไปแล้วก็คุ้มนะ









จากนั้นจึงได้ไปเที่ยว "พระธาตุโลกจุฬามณี" หรือ "ธาตุหลวง" ซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงโปรดให้สร้างขึ้น ว่ากันว่ามีอายุอยู่ร่วมสมัยกับพระธาตุพนมบ้านเรานั่นเอง

ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ ยอดพระธาตุนี้สูงถึง ๔๕ เมตร สูงกว่ายอดไม้ทุกต้นในละแวกนั้น แล้วยังมีพระธาตุองค์เล็กล้อมรอบอีกกว่า ๓๐ องค์ พระธาตุนี้อยู่คู่เมืองเวียงจันทน์มากว่า ๔๐๐ ปีแล้ว





















ส่วนสถานที่อื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช วงเวียนน้ำพุ หอสมุดแห่งชาติ พวกเราก็ได้แค่ผ่านไปแบบเฉียดฉิวเท่านั้น เพราะต้องรีบไปท่ารถสายเหนือเพื่อต่อรถไปค้างคืนแรกกันที่วังเวียง..





นี่คือก๋วยเตี๋ยวลาว ที่มีน้ำพริกที่ทำจากถั่วกินเป็นเครื่องเคียงพร้อมด้วยผักนานาชนิด




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2550    
Last Update : 4 สิงหาคม 2550 22:18:54 น.
Counter : 1026 Pageviews.  

ฮอยอัน...ฉันรักเธอ (ตอนจบจ้า)

แม้จะแสนเหนื่อยกับการโดยสารรถบัสจากฮานอยมาถึงฮอยอัน แต่เมื่อได้มาเยือนที่นี่จริงๆ แล้วมันก็ลบล้างความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าไปจนหมดสิ้น





และเช่นเดิมนั่นแหละ เมื่อมาถึงภารกิจสิ่งแรกที่ต้องกระทำก็คือการหาที่พักสำหรับค่ำคืนนี้

โรงแรมที่พวกเราเลือกพักครั้งนี้เป็นโรงแรมขนาดสามดาว สนนราคาสองคืนสำหรับสองคนก็ประมาณ 21 เหรียญ ซึ่งถือว่าพอเหมาะสม เพราะห้องหับดูสะอาดสะอ้านและประดับตกแต่งไว้เป็นอย่างดี เตียงนอนสองเตียงทั้งใหญ่และนุ่ม ห้องน้ำกว้างพอควร มีอ่างอาบน้ำ เครื่องทำน้ำอุ่น กาน้ำร้อน ไดร์เป่าผม ทีวีและ UBC สระว่ายน้ำขนาดกลาง และบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบสากล











ฮอยอัน...เป็นเมืองโบราณเล็กๆ ที่ได้รับการขึ้นบัญชีจากองค์การยูเนสโกของสหประชาชาติให้เป็นเมืองมรดกโลกด้านวัฒนธรรม


ฮอยอันตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำทูโบน ใกล้กับเมืองดานังในภาคกลางของเวียดนาม ในอดีตเมืองฮอยอันเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 300 กว่าปีก่อนเคยมีพ่อค้าชาวจีน ญี่ปุ่น และโปรตุเกสนำเรือสินค้าเข้ามาค้าขาย ทำให้เมืองนี้กลายเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันตกกับตะวันออก








ต่อมาแม่น้ำทูโบนตื้นเขินจนเรือเข้าเทียบท่าไม่ได้ ประกอบกับแม่น้ำเปลี่ยนทาง จึงย้ายไปสร้างท่าเรือที่ดานังมาแทนที่ ทำให้ดานังกลายเป็นเมืองสำคัญแทนฮอยอันจนถึงปัจจุบัน











ฮอยอันมีบรรยากาศของเมืองเก่าที่งดงาม และสงบ มีถนนสายเล็กๆ แคบๆ กับบ้านเรือนแบบโบราณริมถนน เมื่อเดินไปตามถนนในเมืองฮอยอันจะเป็นสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เช่น สะพานญี่ปุ่น ศาลเจ้าจีน วัดและเจดีย์ บ้านประจำตระกูลเก่าแก่ และร้านค้าต่างๆ ที่ยังคงไว้ซึ่งรูปทรงและสีสันอันสวยสดงดงาม











และโชคดีมากที่พวกเราไปตรงกับวันเทศกาลลอยโคมในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงของบ้านเรานั่นเอง ทั่วทั้งเมืองจะปิดไฟแล้วจุดโคมให้ความสว่างแทน และยังมีการละเล่นและการแสดงของชาวเมืองอีกหลายจุด เป็นการเพิ่มสีสันให้กับค่ำคืนของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว











ในวันที่จะต้องจากฮอยอันนั้นรู้สึกเศร้าใจเล็กอยู่เหมือนกันนะ เพราะรู้สึกเสียดายที่จะต้องอำลาชีวิตในเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งนี้ไป




















หวังว่าจะได้กลับไปเยือนอีกนะ ...ฮอยอัน (ฉันรักเธอ)




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2550    
Last Update : 7 มิถุนายน 2550 9:08:08 น.
Counter : 1465 Pageviews.  

1  2  3  

pangfoto
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง
...ไปตามเส้นทางของเรา!!
Friends' blogs
[Add pangfoto's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.