คุณภาพของเครื่องมือวัดและประเมินผล
ลักษณะของเครื่องมือที่ดี ในการใช้เครื่องมือเพื่อวัดสิ่งที่เราต้องการในการวิจัยแต่ละเรื่อง (หรือเรียกว่าตัวแปร) นั้น ถ้าหากเครื่องมือวัดมีคุณภาพไม่ดี วัดไม่ได้สมจริง เชื่อถือไม่ได้ หรือวัดแล้วไม่สามารถจำแนกลักษณะที่วัดได้ เครื่องมือนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ ถ้านำผลการวิจัยที่สรุปจากการวัดที่ได้จากเครื่องมือเหล่านั้น ผลการวิจัยก็จะเชื่อถือไม่ได้ ดังนั้น ผลการวิจัยหรือการประเมินจะถูกต้องมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นสำคัญ หากเครื่องมือมีคุณภาพดี ผลการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือการวัดที่ใช้เพื่อประเมินก็จะถูกต้องเชื่อถือได้ ซึ่งจะทำให้การประเมินเรื่องนั้นๆ มีโอกาสถูกต้องสูง เชื่อถือได้มากขึ้น (วิเชียร เกตุสิงห์, 2524; 9) คุณลักษณะของเครื่องมือ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) (ล้วน สายยศ และ อังคณา สายยศ, 2543; 246-265) มีลักษณะที่เรียนว่า measure what to measure ซึ่งหมายความว่า เป็นเครื่องมือวัดในสิ่งที่ต้องการวัด ไม่ใช่ต้องการวัดอย่างหนึ่งแล้วได้สิ่งอื่นมาแทน หรืออาจกล่าวได้ว่าความเที่ยงตรงของการวัดใดๆ จะขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการวัดให้ตรงกับจุดของการวัดให้เที่ยงตรงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ อย่างไรก็ตาม กรณีของความเที่ยงตรงนั้นไม่ใช่กรณีทั่วไป แต่เป็นกรณีเฉพาะ กล่าวคือ ต้องมีเกณฑ์สำหรับพิจารณาว่ามีความเที่ยงตรงต่ออะไร เครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งมีความเที่ยงตรงมากต่อเกณฑ์อย่างหนึ่ง อาจจะไม่มีความเที่ยงตรงเลยก็ได้เมื่อใช้เกณฑ์อีกอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างให้เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ ไม้บรรทัดที่มีความเที่ยงตรงในการวัดความยาว แต่ไม่มีความเที่ยงตรงในการวัดน้ำหนัก แบบสอบถามวัดทัศนคติของประชาชนต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะไม่เที่ยงตรงถ้านำไปวัดทัศนคติของคนกลุ่มเดียวกันที่มีต่อการปกครองระบอบเผด็จการ ดังนี้เป็นต้น ปัญหาประการแรกของการพิจารณาความเที่ยงตรง คือ การจำกัดขอบเขตหรือคำจำกัดความของสิ่งที่วัดหรือการหาสิ่งที่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ (วิเชียร เกตุสิงห์, 2524; 9) 2.ความเชื่อมั่น (Reliability) (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543; 209-245) ความคงที่ของคะแนนที่ได้จากการสอบนักเรียนคนเดียวกันหลายครั้งในแบบทดสอบชุดเดิม เช่น นำแบบทดสอบวิชาวัดผลไปสอบกับนายสมคิด ครั้งแรกนายสมคิดทำคะแนนได้ 25 คะแนน เว้นไปประมาณ 1 สัปดาห์ นำแบบทดสอบฉบับเดิมสอบกับนายสมคิดอีกครั้งหนึ่งก็ยังคงได้คะแนน 25 คะแนนเหมือนเดิม แสดงว่าแบบทดสอบชุดนั้นมีความเชื่อมั่นได้ แต่ถ้าปรากฏว่านำแบบทดสอบชุดเดิมไปสอบกับนายสมคิดซ้ำอีกครั้งหนึ่งแล้วนายสมคิดได้คะแนนเปลี่ยนไปจากเดิม แสดงว่าแบบทดสอบขาดความเชื่อมั่น ทำให้ผลการสอบมีความคลาดเคลื่อนไปจากคะแนนความรู้จริงของนักเรียน ความคลาดเคลื่อนชนิดนี้เรียกว่า ความคลาดเคลื่อนในการวัด (Error of measurement) และในการวัดผลนั้นจะต้องสร้างเครื่องมือที่ต้องการนำไปวัดผลให้มีคุณภาพที่เชื่อมั่นได้ เพื่อผลการวัดที่ออกมาจะได้เป็นคะแนนความรู้จริงของนักเรียนที่ปราศจากความคลาดเคลื่อนในการวัด และค่าความเชื่อมั่นจะมีค่าอยู่ระหว่า -1 ถึง +1 และพิจารณาเฉพาะค่าที่เป็นบวกเท่านั้น ซึ่งควรจะมีค่ามากกว่า 0.70 จึงเป็นแบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่นได้ 3.ประสิทธิภาพ (Efficiency) (วิเชียร เกตุสิงห์, 2524; 12) คำว่าประสิทธิภาพเป็นคำที่กว้างและกินความหมายมากเพราะอาจรวมลักษณะอื่นๆ เข้าไว้ด้วย ในการพิจารณาจึงควรพิจารณาในรูปแบบของการเปรียบเทียบจะสะดวกกว่า นั่นคือ การเลือกใช้เครื่องมือวัดนั้นควรพิจารณาว่าจะเลือกแบบใด หรือข้อคำถามอย่างไรจึงจะวัดได้ดีกว่า ถ้าสามารถใช้เครื่องมือที่มีจำนวนข้อคำถามน้อยๆ ได้โดยวัดได้เหมือนๆ กับการใช้จำนวนข้อมาก เราก็ถือว่าการใช้น้อยข้อ มีประสิทธิภาพดีกว่า หรือการใช้เครื่องมือที่ใช้เวลาในการวัดน้อย แต่ได้ผลเช่นเดียวกับการใช้เวลามากๆ เราก็ควรเลือกอย่างที่ใช้เวลาน้อยๆ ดีกว่า นอกจากนี้ในเรื่องของการลงทุนในการจัดหาหรือสร้างเครื่องมือก็ควรนำมาพิจารณาด้วย เช่น ถ้าใช้เครื่องมือที่วัดได้ดีแต่ลิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากก็ถือว่าเครื่องมือนั้นไม่มีประสิทธาภาพสู้เครื่องมือที่ใช้ได้ดีเหมือนๆ กันแต่ประหยัดกว่าไม่ได้ 4. อำนาจจำแนก(Discrimination) (วิเชียร เกตุสิงห์, 2524; 12 - 13) ลักษณะที่เครื่องมือนั้นๆ สามารถแบ่ง หรือแยก หรือชี้ได้ว่าผู้ตอบหรือผู้ที่ถูกวัดคนใดเก่งกว่ากัน หรือมีทัศนคติที่ดี ไม่ดีกว่ากัน หรือมีลักษณะที่ต้องการมาก น้อยกว่ากันอย่างไร ยกตัวอย่างให้เห็นได้ง่ายๆ ว่า ถ้าเราถามเด็กนักเรียนคนหนึ่งว่า 1 + 1 ได้ผลลัพธ์เท่าไร เด็กทุกคนก็จะตอบถูกหมด ลักษณะเช่นนี้คือลักษณะที่ไม่มีอำนาจจำแนก เพราะถามแล้วทุกคนตอบได้หมดเลย ไม่รู้ว่าใครเก่งใครอ่อน หรือถ้าถามว่าประชากรทั้งโลกมีทั้งหมดกี่คน คำถามนี้ก็ไม่มีใครตอบถูกเลยก็ถือว่าไม่มีอำนาจำแนกเช่นเดียวกัน ดังนั้นเครื่องมือที่มีอำนาจจำแนกต้องบอกได้ว่าใครเป็นอย่างไร ตามลักษณะที่ถาม และต้องเป็นไปตามสภาพความเป็นจริงด้วย นั่นคือลักษณะของสิ่งที่ถูกวัดจะต้องมีความแตกต่างในลักษณะที่วัดด้วยเช่นกัน 5.ความยุติธรรม (Fair) เครื่องมือที่จะนำมาใช้ในการวัดเพื่อประเมินทางการศึกษานั้นจำเป็นต้องมีความยุติธรรม กล่าวคือ จะต้องไม่ก่อให้เกิดการได้เปรียบหรือเสียเปรียบในหมู่ผู้เข้าทำการวัดด้วยกันคุณลักษณะข้อนี้มีความจำเป็นมากเมื่อต้องการนำผลการวัดมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะในการวัดเพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ซึ่งมักจะเอาผลการวัดของนักเรียนแต่ละคนมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งสาเหตุที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความไม่ยุตธรรมของเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีหลายประการ ได้แก่ (สมบูรณ์ ตันยะและคณะ//socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=91157) ก. เครื่องมือที่ใช้กับนักเรียนแต่ละคนแตกต่างกัน หรือเครื่องมือชนิดเดียวดัน แต่ข้อคำถามแตกต่างกัน ข. เวลาที่ใช้ในการทำข้อสอบของนักเรียนแต่ละคนแตกต่างกัน ค. เวลาสอบของนักเรียนแต่ละคนแตกต่างกัน เช่น บางคนสอบก่อน บางคนสอบทีหลัง ง. โอกาสในการเตรียมตัวสำหรับการทดสอบแตกต่างกัน เช่น บางคนรู้ตัวล่วงหน้าแต่บางคนไม่รู้ 6.ความสะดวกในการใช้ เครื่องมือที่ดีจะต้องใช้ง่าย สะดวก มีคำชี้แจงชัดเจน การใช้เครื่องมือไม่ต้องอาศัย อุปกรณ์อื่นๆ ที่ยุ่งยากมากมาย ผู้ที่ใช้เครื่องมือก็ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็สามารถก็สามารถใช้ได้(สมบูรณ์ ตันยะ และคณะ//socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=91157)
อ้างอิง : คู่มือวัดผลประเมินผล วิทยาสาสตร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, 2546.
Create Date : 12 สิงหาคม 2552 | | |
Last Update : 12 สิงหาคม 2552 22:25:40 น. |
Counter : 6145 Pageviews. |
| |
|
|
|