|
ฉันนสูตร...ว่าด้วยเหตุที่เรียกว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ
Create Date : 30 พฤษภาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 30 พฤษภาคม 2553 10:40:39 น. |
| |
Counter : 1000 Pageviews. |
| |
|
|
|
นิพพานสูตรที่ ๑...อายตนะนั้น มีอยู่...อายตนะนิพพาน?
Create Date : 23 พฤษภาคม 2553 |
| |
|
Last Update : 23 พฤษภาคม 2553 7:42:22 น. |
| |
Counter : 1312 Pageviews. |
| |
|
|
|
มหาตัณหาสังขยสูตร...พระสาติกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยเข้าใจผิดว่า จิตคือวิญญาณขันธ์
มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก [๔๔๐] ...ฯลฯ...สมัยนั้น ภิกษุชื่อสาติ ผู้เกวัฏฏบุตร (บุตรชาวประมง) มีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไปไม่ใช่อื่น [๔๔๒] ...ฯลฯ...พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ ได้ยินว่า เธอมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริงหรือ? สาติภิกษุทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า วิญญาณนี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น ดังนี้ จริง พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสาติ วิญญาณนั้นเป็นอย่างไร? สาติภิกษุทูลว่า สภาวะที่พูดได้ รับรู้ได้ ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลาย ทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่วในที่นั้นๆ นั่นเป็นวิญญาณ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโมฆบุรุษ เธอรู้ธรรมอย่างนี้ที่เราแสดงแก่ใครเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี
ดูกรโมฆบุรุษ ก็เมื่อเป็นดังนั้น เธอกล่าวตู่เราด้วยขุดตนเสียด้วย จะประสพบาปมิใช่บุญมากด้วย เพราะทิฏฐิที่ตนถือชั่วแล้ว
ดูกรโมฆบุรุษก็ความเห็นนั้นของเธอ จักเป็นไปเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน.
ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ [๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ
ส่วนหนึ่งจาก มหาตัณหาสังขยสูตร ว่าด้วยสาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
^ ● พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว
● พระพุทธองค์จึงตรัสแก้ให้ฟังว่า วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น ความเกิดแห่งวิญญาณ(ขันธ์) เว้นจากปัจจัย ไม่ได้
วิญญาณ(ขันธ์)อาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้นก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ
วิญญาณอาศัย จักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ วิญญาณอาศัย โสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ วิญญาณอาศัย ฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ วิญญาณอาศัย ชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ชิวหาวิญญาณ วิญญาณอาศัย กายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า กายวิญญาณ วิญญาณอาศัย มนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ
● ซึ่งตรงกับ ฉฉักกสูตร ที่กล่าวไว้ถึง หมวดวิญญาณ ๖
[๘๑๔] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ
บุคคลอาศัยจักษุและรูป จึงเกิด จักษุวิญญาณ อาศัยโสตะและเสียง จึงเกิด โสตวิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่น จึงเกิด ฆานวิญญาณ อาศัยชิวหาและรส จึงเกิดชิวหาวิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะ จึงเกิดกายวิญญาณ อาศัยมโนและธรรมารมณ์ จึงเกิดมโนวิญญาณ
● และตรงกับ มหาปุณณมสูตร ที่กล่าวว่า นามรูป เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์ ฯ
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
● สรุป
พระสาติ มีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสาติมีความเห็นผิดว่า วิญญาณ(ขันธ์)นี้แหละ ย่อมท่องเที่ยว แล่นไป ไม่ใช่อื่น วิญญาณ(ขันธ์)ย่อมเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว
เพราะ พระสาติ เข้าใจผิดว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความเห็นว่า จิต คือ วิญญาณขันธ์ ก็น่าจะเข้าข่ายมีทิฐิลามก กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเจ้าแบบพระสาติ
เพราะ จิตคือตัวเสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว ไม่ใช่วิญญาณขันธ์เสวยวิบากกรรมทั้งดีทั้งชั่ว
● โดยอธิบาย
★ วิญญาณขันธ์ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
วิญญาณขันธ์เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ คือการรับรู้อารมณ์ของจิตทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิญญาณขันธ์ จึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามเหตุปัจจัย
และนามรูป เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดวิญญาณขันธ์ นั่นคือ ตา+รูป เกิดวิญญาณทางตา หู+เสียง เกิดวิญญาณทางหู จมูก+กลิ่น เกิดวิญญาณทางจมูก ลิ้น+รส เกิดวิญญาณทางลิ้น กาย+กายสัมผัส เกิดวิญญาณทางกาย ใจ+ธัมมารมณ์ เกิดวิญญาณทางใจ
★ วิญญาณขันธ์ จึงไม่ใช่ตัวรองรับวิบากของกรรม
จิตคือตัวบันทึกกรรม ตัวเสวยวิบากของกรรมทั้งหลายทั้งส่วนดี ทั้งส่วนชั่ว จิตจุติ(เคลื่อน)ออกจากร่างกายที่ตายไป ไปเกิดตามอำนาจกรรมดีกรรมชั่ว โดยจิตเกาะกุมอารมณ์สุดท้าย(มโนวิญญาณ)ในเวลาใกล้จะตาย เป็นปฏิสนธิวิญญาณพาไปเกิดในภพภูมิใหม่ตามแรงกรรม
★ จิต ไม่ใช่ วิญญาณ(ขันธ์)
จิตคือวิญญาณธาตุ(ธาตุรู้) ไม่ใช่วิญญาณขันธ์ จิตมีดวงเดียว (เอกจรํ=ดวงเดียวเที่ยวไป) ไม่เป็นกอง แต่ขันธ์เป็นกอง
วิญญาณขันธ์ มี ๖ แบ่งตามวิถีทางที่อารมณ์เข้ามา คือ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย จัดเป็นสสังขาริก...อาศัยทวารทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย วิญญาณทางใจ จัดเป็นอสังขาริก...ไม่อาศัยทวารทั้ง ๕
★ จิตคือธาตุรู้ ทรงความรู้ทุกกาลสมัย
ธาตุรู้ยังไงก็เป็นธาตุรู้วันยังค่ำ ไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นธาตุดิน น้ำ ลม หรือ ไฟ
แต่สิ่งที่ถูกจิตรู้ต่างหากที่แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปจากจิตตลอดวันตลอดคืน นั่นคือ
★ จิตไม่เกิดดับ
แต่ขันธ์ ๕ ซึ่งรวมถึงวิญญาณขันธ์ เกิดขึ้นที่จิต และดับไปจากจิต
ไม่ว่าวิญญาณทางตาจะเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดวิญญาณทางหูขึ้นแทนแล้วดับไป เกิดวิญญาณทางอื่นๆขึ้นแทน...ฯลฯ... จิตย่อมรู้ตลอดเวลาที่วิญญาณเหล่านั้นเกิดขึ้นและดับไปจากจิต
ถ้าจิตเกิดดับ หรือจิตคือวิญญาณขันธ์ ตอนที่จิตดับคือรู้ดับ ก็ต้องไม่รู้ไรเลย แต่ทำไมยังรู้ล่ะว่าวิญญาณทางตาดับ เกิดวิญญาณทางหูแทน วิญญาณทางหูดับ เกิดวิญญาณทางอื่นขึ้นแทน...ฯลฯ... ถ้าไม่รู้ไรเลย ย่อมบอกออกมาไม่ได้!!!
★ จิตคือธาตุรู้ รู้ผิด หรือรู้ถูก
ปุถชน จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ หลงผิดยึดขันธ์ ๕ เป็นตน เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
พระอริยสาวก จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง รู้จักอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เพราะจิตหลุดพ้นจากการครอบงำของอวิชชา เกิดวิชชาขึ้นแทนที่ จิตไม่หลงผิด จิตปล่อยวางการยึดขันธ์ ๕ เป็นตน เมื่อขันธ์ ๕ แปรปรวนไป จิตก็ไม่แปรปรวนตามขันธ์ ๕ ที่แปรปรวนไป
ดังมีกล่าวไว้ใน นกุลปิตาสูตร ว่า
ปุถุชน กายกระสับกระส่าย จิตกระสับกระส่าย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์จึงเกิดขึ้นที่จิต
พระอริยสาวก กายกระสับกระส่าย จิตหากระสับกระส่ายไม่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แปรปรวน ทุกข์ไม่เกิดขึ้นที่จิต
ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ
Create Date : 05 มกราคม 2553 |
| |
|
Last Update : 5 มกราคม 2553 7:17:02 น. |
| |
Counter : 1321 Pageviews. |
| |
|
|
|
ปัญญากับวิญญาณ...มหาเวทัลลสูตร
มหาเวทัลลสูตร เรื่อง ปัญญากับวิญญาณ [๔๙๔] ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดี อนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละ ท่านผู้มีอายุ ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา?
สา.ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า วิญญาณ?
สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า วิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า วิญญาณ. ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้
เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น
ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.
ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกันบ้างหรือไม่?
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
แต่ปัญญาควรเจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้
นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.
จบเรื่อง ปัญญากับวิญญาณ
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
● สรุปเรื่อง ปัญญากับวิญญาณ
บุคคลไม่รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เรียกว่า บุคคลมีปัญญาทราม
บุคคลรู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เรียกว่า บุคคลมีปัญญา
วิญญาณ คือ ธรรมชาติที่รู้แจ้ง รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์มิใช่สุข
ปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น
ปัญญาควรเจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้
◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆ ◆
● บุคคลมีปัญญา คือ จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง คือ จิตที่ได้รับการอบรมโดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ รู้ชัด อริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง (รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
● วิญญาณ คือ จิตรู้แจ้งอารมณ์ ว่าสุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข คือ จิตรู้รับอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์เมื่อเกิดผัสสะ และทำให้เกิดเวทนา สัญญา สังขาร ตามมา
● โดยอธิบาย วิญญาณ เป็นอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ เป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕
วิญญาณมี ๖ จักษุวิญญาณ วิญญาณทางตา จิตรับรู้ อารมณ์(รูป) ที่เข้ามากระทบจิตทาง ตา โสตวิญญาณ วิญญาณทางหู จิตรับรู้ อารมณ์(เสียง) ที่เข้ามากระทบจิตทาง หู ฆานวิญญาณ วิญญาณทางจมูก จิตรับรู้ อารมณ์(กลิ่น) ที่เข้ามากระทบจิตทาง จมูก ชิวหาวิญญาณ วิญญาณทางลิ้น จิตรับรู้ อารมณ์(รส) ที่เข้ามากระทบจิตทาง ลิ้น กายวิญญาณ วิญญาณทางกาย จิตรับรู้ อารมณ์(กายสัมผัส) ที่เข้ามากระทบจิตทาง กาย มโนวิญญาณ วิญญาณทางใจ จิตรับรู้ อารมณ์(ธัมมารมณ์) ที่เข้ามากระทบจิตทาง ใจ
เมื่ออารมณ์ ๖ หรืออายตนะภายนอก ๖ (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธัมมารมณ์) เข้ามากระทบจิตทางอายตนะภายใน ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นคู่ตามลำดับ จิตรับรู้อารมณ์นั้นๆ ทางอายตนะนั้นๆ เกิด วิญญาณ ๖ ขึ้น(การรับรู้อารมณ์) ทำให้เกิด เวทนา (สุข ทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข) สัญญา สังขาร ตามมา
▼ ▼ ▼ ดังมีพระพุทธพจน์รับรอง ดังนี้คือ
บุคคลอาศัยจักษุและรูปเกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ อาศัยโสตะและเสียงเกิดโสตวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ อาศัยฆานะและกลิ่นเกิดฆานวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ อาศัยชิวหาและรสเกิดชิวหาวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ อาศัยกายและโผฏฐัพพะเกิดกายวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ อาศัยมโนและธรรมารมณ์เกิดมโนวิญญาณ ความประจวบของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
จากฉฉักกสูตร
ดูกรภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมเกิดสุขเวทนา... ดูกรภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ย่อมเกิดทุกขเวทนา
ดูกรภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนาย่อมเกิดงอทุกขมสุขเวทนา
จากธาตุวิภังคสูตร ▲ ▲ ▲
● ปัญญา ควรเจริญ เพราะปัญญาเป็นองค์มรรค มรรคเป็นภาเวตัพพะ ควรเจริญ
● วิญญาณควรกำหนดรู้ เพราะวิญญาณเป็นขันธ์ ๑ ในขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ทุกข์เป็นปริญเญยยะ ควรกำหนดรู้
● วิญญาณ ฝ่ายยึด คือ อาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ (รู้แล้วปรุงแต่งไปตามอารมณ์) ● ปัญญา ฝ่ายปล่อย คือ ความสามารถของจิตในการปล่อยวางอารมณ์ (รู้แต่ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์)
ทั้งวิญญาณและปัญญา ต้องมีจิตผู้รู้อยู่ (รู้ผิด หรือ รู้ถูก) ● จิตรู้ผิดจากการเป็นจริง จิตยังยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์(วิญญาณ) ● จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง จิตปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ ไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์ (ปัญญา)
● จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง คือ จิตไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง เพราะยังไม่ได้อบรมจิต โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ จิตรู้ผิดจากความเป็นจริง จิตยังยึดถืออารมณ์อยู่ คือ จิตของสามัญสัตว์โลก จิตรู้รับอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์
● จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง คือ จิตรู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง เพราะได้อบรมจิต โดยการปฏิบัติอริยมรรค ๘ จิตรู้ถูกตามความเป็นจริง จิตปล่อยวางการยึดถืออารมณ์ คือ จิตของพระอริยะ จิตรู้แต่ไม่รับอารมณ์และไม่ปรุงแต่งไปตามอารมณ์
เพราะฉะนั้น จึงอาจกล่าวให้ชัดเจนได้ว่า ● รู้ของปุถุชน รู้รับและยึดถืออารมณ์ จึงเกิดวิญญาณ ๖ เพราะจิตของปุถุชน มีตัณหาและมิจฉาทิฐิกำกับอยู่
● แต่รู้ของพระอริยะ รู้สักแต่ว่ารู้ ระลึกสักแต่ว่าระลึก จิตของพระอริยะ ไม่มีตัณหาและมิจฉาทิฐิปรุงแต่งอยู่ด้วย เพราะจิตของพระอริยะ รู้จักอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง
ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ
Create Date : 08 ธันวาคม 2552 |
| |
|
Last Update : 10 ธันวาคม 2552 5:27:05 น. |
| |
Counter : 666 Pageviews. |
| |
|
|
|
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร...อริยมรรค ๘ ทางสายกลาง ควรเจริญให้เกิดขึ้นที่จิต
ธัมมจักกัปปวัตตนวรรคที่ ๒ ตถาคตสูตรที่ ๑ ทรงแสดงพระธรรมจักร
[๑๖๖๔] ฯลฯพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุด ๒ อย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนสุด ๒ อย่างนั้นเป็นไฉน? คือ
การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านี้ อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
ก็ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนั้น ... เป็นไฉน? คือ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แหละ ซึ่งได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลางนี้แล อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว กระทำจักษุ กระทำญาณ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
[๑๖๖๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ทุกขอริยสัจนี้แล คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งอันไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้ข้อนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์
ก็ทุกขสมุทยอริยสัจนี้แล คือ ตัณหา อันทำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ความเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แล คือ ความดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นแหละ ความสละ ความวาง ความปล่อย ความไม่อาลัย
ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้แล คือ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
[๑๖๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขอริยสัจนั้น ควรกำหนดรู้ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขอริยสัจนั้น เรากำหนดรู้แล้ว [๑๖๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทยอริยสัจ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขสมุทยอริยสัจนั้น ควรละ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขสมุทัยอริยสัจนั้น เราละแล้ว [๑๖๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขนิโรธอริยสัจนั้น ควรกระทำให้แจ้ง ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขนิโรธอริยสัจนั้น เรากระทำให้แจ้งแล้ว [๑๖๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้น ควรเจริญ ...ข้อความซ้ำกับประโยคข้างต้น.... ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนั้น เราเจริญแล้ว
[๑๖๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ยังไม่บริสุทธิ์เพียงใด เราก็ยังไม่ปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น
ก็เมื่อใด ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ อย่างนี้ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา บริสุทธิ์ดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงปฏิญาณตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
ก็ญาณทัสสนะได้บังเกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค
[๑๖๗๑] ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่
ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา ฯลฯ
[๑๖๗๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงเปล่งอุทานว่า
โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้นคำว่า อัญญาโกณฑัญญะ จึงได้เป็นชื่อของท่านโกณฑัญญะด้วยประการฉะนี้แล.
จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
..................................
^
● ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นพระธรรมเทศนาแรกที่ทรงแสดงโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ หลังจากทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในขั้นต้นทรงพระปรารภถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รามบุตร อันพระองค์เคยไปศึกษาลัทธิของท่าน แต่เผอิญสิ้นชีวิตเสียก่อนแล้วทั้ง ๒ องค์
● ทรงแสดงส่วนสุด ๒ อย่างอันบรรพชิตไม่ควรเสพ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ อัตตกิลมถานุโยค
● ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ คือ อริยมรรค ๘ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ
● ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ทุกข์ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ สมุทัย ตัณหา ๓ เป็นเหตุแห่งทุกข์ นิโรธ ความดับทุกข์ (ดับตัณหา ๓) มรรค ทางปฏิบัติเพื่อนำไปสู่หนทางแห่งความดับทุกข์ คือ อริยมรรค ๘
● อริยสัจ ๔ ที่ทรงตรัสรู้นั้น ทรงรู้โดยองค์เอง(ไม่มีใครสอนมาก่อน) ปุพฺเพ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมที่เราไม่เคยฟังมาก่อน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า นี้ทุกข์ นี้สมุทัย นี้นิโรธ นี้มรรค
● ทรงแสดงกิจที่พึงทำในอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ เป็นปริญเญยยะ ควรกำหนดรู้ สมุทัย เป็นปหาตัพพะ ควรละ นิโรธ เป็นสัจฉิกาตัพพะ ควรกระทำให้แจ้ง มรรค เป็นภาเวตัพพะ ควรเจริญ
● ญาณทัสสนะ (ความรู้ความเห็น) ตามความเป็นจริง มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ในอริยสัจ ๔ คือ สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ
● สัจจญาณ ความรู้ว่า นี้ทุกข์ นี้สมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) นี้นิโรธ นีมรรค
● กิจจญาณ ความรู้กิจควรทำตามหน้าที่ว่า ทุกข์ ควรกำหนดรู้ สมุทัย ควรละ นิโรธ ควรทำให้แจ้ง มรรค ควรเจริญ
● กตญาณ ความรู้ที่เกิดแต่ตรวจตราในหน้าที่นั้นๆอันได้ทำเสร็จแล้วเป็นความรู้เห็นสุดท้าย คือ รู้ว่าเสร็จกิจแล้ว ทุกข์ เรากำหนดรู้แล้ว สมุทัย เราละแล้ว นิโรธ เราทำให้แจ้งแล้ว มรรค เราเจริญแล้ว
● เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังตรัสพระธรรมเทศนานี้อยู่ ธรรมจักษุ คือ ดวงตาคือปัญญาอันเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา
ท่านผู้ได้ธรรมจักษุ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่าเป็นพระโสดาบัน โดยนัยนี้ ธรรมจักษุได้แก่ พระโสดาปัตติมรรค
ท่านโกณทัญญะได้บรรลุโลกุตรธรรมเป็นปฐมสาวก เป็นพยานความตรัสรู้ของพระศาสดา
เป็นอันว่าทรงยังความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยเทศนาโปรดให้ผู้อื่นรู้ตามได้
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบว่าท่านโกณฑัญญะได้เห็นธรรมแล้ว ทรงเปล่งพระอุทานว่า
อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ แปลว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ
เพราะอาศัยพระอุทานว่า อญฺญาสิ ที่แปลว่า ได้รู้แล้ว คำว่า อญฺญาโกณฺฑัญฺโญ จึงได้เป็นนามของท่านโกณฑัญญะตั้งแต่นั้นมา
ส่วนนี้คัดลอกมาจากพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรรส ● สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับเป็นธรรมดา
ทุกข์ ย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดา ทรงสอนให้กำหนดรู้ทุกข์ ไม่ต้องไปจัดแจงหรือแก้ไขอะไร
แต่ต้องละตัณหา ๓ อันเป็นเหตุแห่งทุกข์ คือ ความทะยานอยากของจิตที่ชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ นั่นคือ จิตเมื่อแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ ที่จะไม่เกิดทุกข์ขึ้นที่จิตนั้น เป็นไม่มี
ถ้าละความทะยานอยากของจิตที่ชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ได้เมื่อใด ทุกข์ย่อมดับไปจากจิต (นิโรธ) เมื่อนั้น เป็นธรรมดา จึงทรงสอนว่า นิโรธ ให้ทำให้แจ้งชัดขึ้นที่จิต
โดยการเจริญอริยมรรค ๘ เพราะการเจริญอริยมรรค ๘ เป็นการละความทะยานอยากของจิตที่ชอบแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์
ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการนั่งสมาธิ เจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ) ให้จิตมีสติระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สติปัฏฐาน๔ = สัมมาสติ) ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์ โดยอาศัยความเพียรประคองจิตให้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ(สัมมาวายามะ)จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ไม่แส่ส่ายออกไปหาอารมณ์แล้ว จิตจะเกิดปัญญารู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(สัมมาทิฐิ) และเกิดพลังปัญญาปล่อยวางอารมณ์ออกไปจากจิตได้ตามลำดับ(สัมมาสังกัปปะ) ทุกข์ย่อมดับไปจากจิต
ในการเจริญฌาน ๔ (สัมมาสมาธิ) นั้น จิตจะบรรลุปฐมฌานได้ ต้องสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)ด้วย
ครบ อริยมรรคมีองค์ ๘
ดังนั้น อริยมรรค ๘ จึงต้องเจริญ ต้องทำให้เกิดขึ้นที่จิต ถึงอารมณ์จะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จิตก็ไม่ทุกข์ไปกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เพราะจิตไม่ยึดถืออารมณ์นั้นๆ อารมณ์นั้นๆก็สักเป็นเพียงอารมณ์ แต่ไม่ใช่อารมณ์ของจิต
● สรุป ความรู้อริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตามความเป็นจริง เป็นสัมมาทิฐิ ต้องเกิดจากการปฏิบัติอริยมรรค ๘ ดังที่ตรัสไว่ว่า มรรค ควรเจริญให้เกิดขึ้น
ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต ต้องเริ่มต้นด้วยการปฏิบัติ สัมมาสมาธิ โดยทำกิจควบคู่กับ สัมมาสติ และ สัมมาวายามะ เพื่อให้จิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิ
เมื่อจิตตั้งมั่นชอบเป็นสมาธิแล้ว จะเกิดปัญญาเห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง(สัมมาทิฐิ) พร้อมกับเกิดพลังปัญญาปล่อยวางอารมณ์(สัมมาสังกัปปะ) ตามลำดับ
ดังได้ทรงตรัสรับรองไว้ดังนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้
ความรู้จากการอ่าน การฟัง การท่องจำ ไม่ใช่ความรู้ตามความเป็นจริง ต้องปฏิบัติอริยมรรค ๘ ตามเสด็จเท่านั้น จึงเกิดญาณรู้ตามความเป็นจริงได้
ยินดีในธรรมทุกๆท่านครับ
Create Date : 15 พฤศจิกายน 2552 |
| |
|
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2552 9:43:09 น. |
| |
Counter : 2503 Pageviews. |
| |
|
|
|
| |
|
|
หนูเล็กนิดเดียว |
|
|
|
พระพุทธศาสนา
มีหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุ-ผล
อริยสัจ ๔
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(สมุทัย)
ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(ทุกข์)
เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ
ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(มรรค)
ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(นิโรธ)
เหตุ-รู้อยู่ที่เรื่อง (สมุทัย)
ผล-เป็นทุกข์ (ทุกข์)
เหตุ-รู้อยู่ที่รู้ (มรรค)
ผล-ไม่ทุกข์ (นิโรธ)
|
ธรรมบรรยาย โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
|
|
|