|
|
|
หนูเล็กนิดเดียว |
|
|
|
พระพุทธศาสนา
มีหลักการที่ตั้งอยู่บนเหตุ-ผล
อริยสัจ ๔
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
เหตุ-จิตชอบแส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(สมุทัย)
ผล-ทุกข์โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(ทุกข์)
เหตุ-ปฏิบัติสัมมาสมาธิตามหลักมรรค ๘
ให้จิตระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ
ไม่แส่ส่ายออกไปหาเรื่อง
(มรรค)
ผล-จิตสงบตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
ทุกข์ไม่โหมกระหน่ำทับถมจิตใจ
(นิโรธ)
เหตุ-รู้อยู่ที่เรื่อง (สมุทัย)
ผล-เป็นทุกข์ (ทุกข์)
เหตุ-รู้อยู่ที่รู้ (มรรค)
ผล-ไม่ทุกข์ (นิโรธ)
|
ธรรมบรรยาย โดย อ.ไชยทรง จันทรอารีย์
|
|
|
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
อาพาธสูตร
[๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์เป็นไข้หนัก
ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยม
ท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่คิริมานันทภิกษุไซร้
ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้
สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ
อนิจจสัญญา ๑
อนัตตสัญญา ๑
อสุภสัญญา ๑
อาทีนวสัญญา ๑
ปหานสัญญา ๑
วิราคสัญญา ๑
นิโรธสัญญา ๑
สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑
สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑
อนาปานัสสติ ๑ ฯ
ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็อนัตตสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา
หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา
จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา
ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา
กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา
ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย
ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้
ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็อสุภสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา
มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆว่า
ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ
ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด
เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้
ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอสุภสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ
โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก
ฯลฯ
ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้
ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว
ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป
ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าปหานสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญา เป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส
ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าวิราคสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ นิโรธสัญญา เป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ
ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา
ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ
ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่านิโรธสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ละอุบาย(คือ ตัณหาและทิฐิ)
และอุปาทาน (คือ อุปาทาน ๔) ในโลก อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น
และเป็นอนุสัยแห่งจิต
ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ฯ
ดูกรอานนท์ อานาปานัสสติเป็นไฉน
ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า
เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว
หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็ รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวง(ลมหายใจ) หายใจออก
ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้กำหนดรู้กายทั้งปวงหายใจเข้า
ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจออก
ย่อมศึกษาว่าจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ฯลฯ
ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอานาปานัสสติ ฯ
ดูกรอานนท์
ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้แก่คิริมานนทภิกษุไซร้
ข้อที่อาพาธของคิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ
ลำดับนั้นแล
ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว
ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่
ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่ท่านพระคิริมานนท์
ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน
เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้
ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น
ก็แลอาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้แล้ว ด้วยประการนั้นแล ฯ
//www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=2597&Z=2711&pagebreak=0