จิตเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ก่อนแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้า ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
จักไม่ได้มีแล้วไซร้
การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย


ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะ ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ


นิพพานสูตรที่ ๓

...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ธรรมชาติไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่

^
พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึงจิตเดิมแท้ หรือจิตพุทธะ มีอยู่

จิต คือ ธาตุรู้
ส่วนอารมณ์นั้นเป็นของใหม่ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต ทำให้จิตเสียสภาพเดิม

จิตเป็นธรรมชาติที่มีมาอยู่ก่อนนานแล้ว อวิชชาเกิดขึ้นที่หลัง
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่
แต่ที่เศร้าหมองไปนั้นเพราะถูกอวิชชาครอบงำ มานมนานนับไม่ถ้วน

ดังมีพุทธพจน์รับรองไว้ว่า
“เรา(จิต)นั้นเวียนว่ายเข้าไปในภพน้อยใหญ่อันยาวนานนับไม่ถ้วน
เพราะไม่รู้เห็นอริยสัจจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้

...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้า ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว
จักไม่ได้มีแล้วไซร้
การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย


^
ถ้า จิต ไม่มีอยู่ก่อนแล้ว
พวกเราจะต้องเพียรปฏิบัติภาวนานุโยค ซึ่งเป็นการปฏิบัติทางจิต ไปเพื่ออะไร?
จะต้องไปกลัวอะไรกับบาปบุญคุณโทษ?

จะต้องฝึกฝนอบรมจิต
เพื่อละเหตุแห่งทุกข์ให้ไปจากจิต(สลัดออก) เพื่ออะไร? ถ้าเมื่อ จิต ไม่มีอยู่ก่อนแล้ว

...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็เพราะ ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่
ฉะนั้น การสลัดออกซึ่ง ธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว จึงปรากฏ


^
ก็เพราะ จิต มี ฉะนั้นจึงต้องอบรมจิต
เพื่อสลัดสิ่งที่มาปรุงแต่งจิตออกไป จึงจะถึงซึ่งพระนิพพาน

มีปฐมพุทธพจน์รับรอง ดังนี้
"จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง บรรลุพระนิพพานเพราะสิ้นตัณหาแล้ว"

“จิตของเราสิ้นการปรุงแต่ง
(ธรรมชาติอันไม่เกิดแล้ว ไม่เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำไม่ได้แล้ว ปรุงแต่งไม่ได้แล้ว)
บรรลุพระนิพพาน เพราะสิ้นตัณหาแล้ว
(สลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว)”

........................................................

สรุปพระสูตรนี้ต้องการชี้ชัดให้เห็นว่า
จิตมีอยู่ ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัย
แต่มีเหตุปัจจัย(อวิชชา)มาปรุงแต่งจิต ให้เสียคุณภาพเดิมไป
จึงต้องอบรมจิต เพื่อสลัดออกซึ่งเหตุปัจจัย(อวิชชา)
เพื่อถึงซึ่งพระนิพพาน อันเป็นที่สุดทุกข์


เจริญในธรรมทุกๆท่าน
ธรรมภูต





Create Date : 16 มิถุนายน 2552
Last Update : 19 มกราคม 2558 17:20:56 น.
Counter : 466 Pageviews.

1 comments
  
โดย: ในความฝันของใครสักคน วันที่: 21 มิถุนายน 2552 เวลา:21:03:45 น.

ในความฝันของใครสักคน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]



สารบัญ Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์



หน้าแรก Blog ธรรมภูต - พระภัทรสิทธิ์