หนทางแห่งปัญญา ฤาปฎิหารย์
ท่านที่เคยฝึกปฏิบัติธรรมมาแล้ว จะทราบว่าเมื่อนั่งสมาธิหรือวิปัสสนาเป็นเวลานานๆ จะเกิดเหน็บชาและปวดขา ข้าพเจ้าเองปวดขาทุกครั้งปวดจนเรียกได้ว่าเหมือนกระดูกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ แถมบางครั้งข้าพเจ้ายังปวดหลังเพิ่มเข้าไปอีกด้วย ข้าพเจ้าหวังที่จะหายจากอาการเจ็บปวดนี้เป็นอย่างมาก จึงพยายามค้นคว้าอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับการปฎิบัติธรรม เผื่อจะได้กลเม็ดเคล็ดลับมาใช้บ้าง มีหลายท่านว่าเมื่อปวดที่สุดแล้ว ขาจะชาวาบแล้วเบาสบาย หายปลิดทิ้ง บ้างก็ว่าความปวดจะค่อยๆลดลงแล้วเบาสบาย ขอเพียงอดทนอย่าขยับตัว เมื่ออ่านแล้ว ข้าพเจ้าก็มีความหวังอยากได้ปรากฏการณ์ชาวาบแล้วเบาสบายกับเค้าบ้าง แต่ปรากฏว่าตลอดการฝึกนั่งปฎิบัติธรรมหลายปีที่ผ่านมา ความเจ็บปวดยังคงอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยลดลง ไม่เคยชาวาบ แต่ที่นั่งได้นานเพราะรู้ว่ามันจะเจ็บเหมือนกระดูกจะแตกแบบนี้ล่ะ ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็มีความหวังมาตลอด บางคราวถึงขั้นอธิษฐานขอพร"ขอให้นั่งแล้วหายปวดเถิดจะได้มีกำลังใจ"ก็มี เมื่อล่วงเข้าวันที่ 7 ของการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดมเหยงคณ์ ข้าพเจ้าไปนั่งบริเวณลานธรรม ลมพัดมาสบายๆ ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า วันนี้ขาและหลังคงปวดตลอดเวลาตามเคย ก็ช่างเถอะ จะปวดก็ปวดไป ไม่หวังอะไรแล้ว ขณะนั่งวิปัสสนา เกิดความเจ็บปวดแบบกระดูกจะแตกเช่นเคย ข้าพเจ้ารับรู้แล้วปล่อยใจ ไม่คาดหวัง พลันข้าพเจ้าได้ยินเสียงเบาๆที่น่องข้างขวา "โปะ" เสียงเหมือนลูกโป่งเล็กๆในน่องแตก และตามมาด้วย "โปะ" ที่น่องด้านซ้าย ความเจ็บปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ในเวลานั้น ข้าพเจ้าไม่ได้ปิติ เพียงกำหนดรับรู้ เมื่อนั่งต่อไปอีกระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินเสียง "กร๊อบ กร๊อบ" ที่สะบักหลังอีกสองครั้ง และอาการปวดหลังก็หายสนิท ในกาลต่อมาหลังจากวันนั้น เมื่อข้าพเจ้านั่งวิปัสสนาอาการปวดขา ปวดหลังจะหายไปในรูปแบบต่างๆกันไป ในเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ข้าพเจ้าอาบน้ำสระผม ซึ่งเป็นห้องน้ำรวม ในขณะนั้นก็มีผู้ปฎิบัติธรรมอีกสองท่าน ซักผ้าอยู่ด้วย เมื่อข้าพเจ้าเดินออกมาจากห้องอาบน้ำเพื่อหวีผม ข้าพเจ้าเห็นแม่ชีรูปหนึ่ง ยืนอยู่หน้ากระจก ท่านเป็นคนสวยมากแม้ไม่มีผม ข้าพเจ้าจึงยกมือไหว้ท่าน แล้วคิดว่า "อยากเป็นแม่ชีบ้าง คงสบายดีไม่ต้องคิดเรื่องแต่งตัว ไม่ต้องหวีผมด้วย" ก่อนแม่ชีเดินจากไปท่านส่งยิ้มให้ข้าพเจ้าด้วย ในวันที่ 8 ข้าพเจ้าไปฝึกวิปัสสนาในบริเวณอาคาร เมื่อนั่งไปซักพัก ใจสงบ เป็นสมาธิ น้ำตาก็ไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง ไหลออกมาเรื่อยๆ ข้าพเจ้าพิจารณาจิต เราปิติหรือ "ไม่" เราเศร้าใจหรือ "ไม่" ข้าพเจ้ารับรู้และบอกให้ตัวเองหยุดน้ำตาไว้ แต่ไม่สามารถบังคับร่างกายได้ จึงนั่งต่อไป เมื่อรู้สึกว่าน้ำตาไหลหยดลงมาจนเปียกเสื้อไปหมด ข้าพเจ้าจึงเปลี่ยนอิริยาบถเป็นเดินจงกรม ได้ผลน้ำตาหยุดไหล เมื่อเดินจงกรมประมาณหนึ่งชั่วโมง จึงนั่งลงเพื่อนั่งวิปัสสนาต่อ ทันทีที่นั่งลง น้ำตาก็ไหลออกมาทันทีเหมือนเปิดก็อก ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ควบคุมแล้ว ปล่อยร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อไม่ได้สนใจน้ำตา ข้าพเจ้าพลันรับรู้ว่าคันที่เท้าจิตไปเกิดอยู่ที่เท้า แล้วเมื่อได้ยินเสียงลมจิตดับที่เท้ามาเกิดที่ในหู เมื่อมีแมลงวันตอมแขนจิตดับที่หูเกิดที่ผิวแขน ข้าพเจ้ารับรู้การเกิดดับแบบนั้น ไปตลอดวันนั้น มันเกิดดับรวดเร็ว คุมไม่ได้แค่ตามดูเท่านั้น ประสบการณ์นี้ให้ปัญญากับข้าพเจ้าว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราโดยแท้ เราไม่สามารถบังคับร่างกายได้ ไม่มีอะไรเที่ยง เป็นอนิจจัง ส่วนเรื่องจิตข้าพเจ้าต้องถามพระอาจารย์อีกครั้ง เมื่อถึงวันที่เก้า พระอาจารย์เรียกทุกคนไปสอบอารมณ์ ท่านซักถามแต่ละคนและให้คำแนะนำ เมื่อท่านถามข้าพเจ้าว่าจิตเป็นอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าตอบสั้นๆว่า"ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ แต่ที่เห็นจิตไวมาก มันเกิดดับตลอดเวลา" พระอาจารย์ยิ้ม และท่านแนะนำให้ข้าพเจ้ามาอบรมอีกในคอร์สเข้มข้น เพื่อพัฒนาการพิจารณาและกำหนดจิต ท่านกล่าวว่า "การพิจารณาเห็นจิตเป็นเรื่องที่ยาก ผู้ปฏิบัติอาจจะติดอยู่ในเรื่องการใช้จิตพิจารณากาย และอาจจะยังไม่สามารถไปขั้นตอนที่พิจารณาเห็นจิตได้ ก็ต้องพยายามฝึกกันต่อไป" หลังจากที่ลาศีลก็เป็นเวลาที่ทุกคนจะได้คุยกันเพราะเห็นหน้ากันมาเก้าวันแต่ไม่ได้คุยกันเลย บางคนก็บอกว่ากว่าจะได้มาอบรมรอคิวเป็นปีเลย ซึ่งข้าพเจ้าโชคดีมากรอไม่ถึงหนึ่งเดือน ข้าพเจ้าได้คุยกับเพื่อนๆว่า "วันก่อนเห็นแม่ชีสวยๆหน้ากระจกห้องอาบน้ำ อยากบวชมั่งเลย" พลางถามความเห็นกับเพื่อนที่ซักผ้าทั้งสองคนในวันนั้นว่า "แม่ชีสวยเนอะ" ทั้งสองคนตกใจมาก ต่างยืนยันว่าไม่มีใคร พวกเค้าไม่เห็นแม่ชีเลย เห็นข้าพเจ้ายืนหวีผมอยู่คนเดียวเท่านั้น ! การมีโอกาสได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้ข้าพเจ้าได้ปัญญาหลายประการ ก่อนกลับบ้านข้าพเจ้ายังนึกอาลัยอาวรณ์ เต๊นท์ที่พัก ที่ไม่มีไฟ ไม่มีพัดลม มีเพียงแคร่และชั้นพลาสติกวางของเล็กๆ ชีวิตคนเราไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่นี้ก็อยู่ได้และสบายด้วย ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานอีกซักครั้ง เพื่อเปิดโอกาสให้ได้คุย ดู เรียนรู้ตัวเอง เพื่อพัฒนาปัญญาให้สว่างไสวในธรรม โพสหน้าข้าพเจ้าจะขอย้อนเวลาไปราวๆปี 2529 เพื่อเล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับที่หน้าวัดพระแก้ว
Create Date : 05 เมษายน 2559 | | |
Last Update : 5 เมษายน 2559 17:25:37 น. |
Counter : 392 Pageviews. |
| |
|
|
|