|
เบอลิน...ถิ่นน้องหมี # 4
โบสถ์ประจำเมือง - Kaiser-Wilhelm-Gedachtniskirche church
ออกจาก Checkpoint Charlie ผมไต่ลงสถานีรถไฟใต้ดิน เลือกเดินทางสู่ใจกลางเบอร์ลิน เพราะได้ข่าวว่ามีโบสถ์สวยๆอยู่ที่นั่น ออกจากสถานีรถไฟฟ้า ก็เดินเรื่อยจนกระทั่งมาถึงโบสถ์เก่าอายุหลายร้อยปี ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเบอร์ลิน ผมเงยหน้าขึ้นมองโบสถ์สวยด้วยความตื่นตาตื่นใจ
ต่อมาความตื่นเต้นได้กลายไปเป็นความตกใจเล็กน้อย เพราะเพิ่งสังเกตว่า ยอดแหลมๆของโบสถ์แห่งนี้ดูเหมือนจะถูกทำลาย จนหักพังไปเกือบหมด เจ้านายเล่าให้ผมฟังภายหลังว่า โบสถ์นี้มีชื่อว่า Kaiser-Wilhelm-Gedachtniskirche church ถ้าจะเรียกเป็นชื่อภาษาอังกฤษก็คือ Emperor William Memorial Church นั่นเอง
โบสถ์โปรแตสแตนท์แห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1891-1865 โดยพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 2 สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระอัยกาคือ พระเจ้าไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 1
สถาปนิกออกแบบโบสถ์ในสไตล์นีโอโรแมนติก ภายในมีกระจกสีกรุโดยรอบ มีภาพประดับทำจากโมเสกสวยงาม ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1943 ฝูงบินอังกฤษมาทิ้งระเบิดถล่มเบอร์ลิน โบสถ์ถูกทำลายลงด้วยแรงระเบิดและไฟไหม้ เหลือไว้แค่เพียงหอระฆัง
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เยอรมนีก็เริ่มบูรณะโบสถ์นี้ขึ้นมาใหม่ มีการสร้างอาคารใหม่ซ้อนไปบนโครงสร้างเดิม โดยโบสถ์ที่สร้างขึ้นใหม่นี้ยังคงยึดเอาเค้าโครงของศิลปะแบบนีโอโรแมนติกแบบเดิม
ภายในโบสถ์ได้รับการบูรณะและดัดแปลงชั้นล่างสุดเป็นอนุสรณ์สถาน เพื่อเป็นสถานที่แห่งความทรงจำ และแสดงรูปถ่ายของโบสถ์ที่สมบูรณ์ในอดีต รูปภาพที่นำมาแสดงนั้นมีทุกยุคทุกสมัย ใครอยากได้ภาพโบสถ์ไปเก็บเป็นที่ระลึก ก็มีร้านขายโปสการ์ดให้เลือกซื้อได้ตามอัธยาศัยด้วยนะครับ
Berlin Wall : กำแพงแบ่งแยกมนุษยชาติ เดินชมเมืองเบอร์ลินแล้วจะไม่มาชมกำแพงเบอร์ลิน ก็คงเหมือนมากรุงเทพแล้วไม่ได้ไปวัดพระแก้วนั่นละครับ คุณว่าไหม
งานถึงไม่ชอบก็เลี่ยงยาก หลังจากชมโบสถ์พระเจ้าวิลเฮล์มเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไปชมกำแพงเบอร์ลินที่มีความทรงจำอันแสนหดหู่ของชาวเยอรมันติดตรึงอยู่ในทุกตารางนิ้ว
ในวันนี้กำแพงเบอร์ลินยังคงมีให้เห็นอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วทั้งเมือง ตรงนั้นตรงนี้...ซากปรักหักพังของกำแพง บอกเล่าประวัติศาสตร์ของประเทศได้เป็นอย่างดี ถือเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ใหญ่ มีชีวิตและเป็นรูปเป็นร่างที่สุด และเมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ ด้านล่างของกำแพงมีนิทรรศการจัดแสดง ให้ความรู้เรื่องของกำแพงด้วย...ไม่ต้องบอก คุณก็คงจะเดาได้ว่าหดหู่แค่ไหน !
แต่นั่นละครับ...มาถึงถิ่นของเขาแล้วนี่นา ก็ควรจะดูให้รู้กันไป กำแพงเบอร์ลิน หรือ Berlin wall เป็นกำแพงที่กั้นเบอร์ลินตะวันตก ออกจากเยอรมนีตะวันออกโดยรอบ สร้างเพื่อจำกัดการเข้าออกระหว่างเขตเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก ทางการลงมือสร้างเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1961 หรือประมาณปีพ.ศ.2504 และตั้งอยู่เป็นระยะเวลา 28 ปี ก่อนจะถูกพังทลายลงในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2532
ช่วงที่กำแพงเบอร์ลินยังคงมีอยู่ มีความพยายามหลบหนีข้ามเขตแดนมากมาย ประมาณได้ราวๆ 5,000 ครั้งนั่นเลยครับ
ว่ากันว่ามีคนเกือบ 200 คนที่ถูกสังหารขณะกำลังหลบหนี และอีกประมาณ 200 คนได้รับบาดเจ็บบาดเจ็บสาหัส
ในช่วงแรกนั้น การหลบหนีเป็นไปไม่ยากมาก เพราะกำแพงยังเป็นเพียงรั้วลวดหนามเตี้ย ๆ บางคนใช้วิธีกระโดดหนีออกมาทางหน้าต่างของตึกที่อยู่ติดกับกำแพง เพื่อข้ามไปอีกฝั่ง แต่หลังจากมีการหลบหนีบ่อยครั้งเข้า ทางการก็สร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ กลายเปลี่ยนเป็นคอนกรีตอย่างแน่นหนา หน้าต่างของตึกต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกำแพงก็ถูกสั่งให้ก่ออิฐปิดตาย เพื่อสกัดเส้นทางหลบหนีของประชาชน
เฮ้อ...เศร้าอีกแล้วใช่ไหมครับ
นี่ละนะคนประเทศเดียวกัน แต่ถูกแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง ครอบครัวต้องถูกแยก พี่น้องไม่มีโอกาสได้พบหน้าค่าตากัน เพียงเพราะผลประโยชน์ทางการเมือง...ผมนึกเลยไปถึงเกาหลีเหนือ- เกาหลีใต้ นึกไปถึงเวียดนามเหนือ-เวียดนามใต้ในสมัยก่อน ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าได้เกิดกับประเทศใดอีกเลย
เหตุการณ์ที่เบอร์ลินดำเนินมาเช่นนี้เรื่อยๆ เป็นเวลา 28ปีเต็ม จนกระทั่งวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2532 นาย Günter Schabowski รัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการ (Minister of Propaganda) ของเยอรมนีตะวันออกได้แถลงข่าวว่า ทางการจะอนุญาตให้ชาวเบอร์ลินตะวันออก สามารถผ่านเข้าออกเขตแดนได้อย่างเสรีอีกครั้งหนึ่ง
ทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่กระจายออกไป ชาวเยอรมันนับหมื่นก็พากันหลั่งไหลไปตามจุดผ่านแดนอัลฟ่า บราโวและชาร์ลี กับจุดอื่น ๆ ของกำแพง เพื่อข้ามไปอีกฝั่งของเมือง เกิดความโกลาหลอลหม่านแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในเวลานั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังไม่ได้รับคำสั่งจากทางการ จึงไม่ยอมให้ใครผ่านข้ามแดนไปได้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เจ้าหน้าที่มีไม่กี่คน ขณะที่ประชาชนมีนับหมื่น สุดท้ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมปล่อยให้ประชาชนผ่านเขตแดนไปอย่างไม่มีทางเลือก
ภาพบรรยากาศที่ชาวเบอร์ลินตะวันตกออกมาต้อนรับชาวเบอร์ลินตะวันออก เต็มไปด้วยความประทับใจ บรรยากาศในเช้ามืดของวันนั้นเหมือนกับงานเฉลิมฉลอง ชาวเยอรมันจึงถือเอาวันที่ 9 พฤศจิกายนเป็นวันล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
สำหรับการทุบทำลายตัวกำแพงจริงๆนั้น เริ่มขึ้นในอีกหกเดือนถัดมา เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2533 การทุบทำลายไม่ได้เป็นการทำลายลงทั้งหมด หากทางการเบอร์ลินคงเหลือกำแพงบางช่วงเอาไว้เป็นอนุสรณ์ และในภายหลังซากกำแพงบางส่วนก็ถูกนำออกจำหน่ายเป็นของที่ระลึกอีกด้วย บางส่วนก็ถูกนำไปตั้งแสดงนิทรรศการที่ประเทศอื่นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เช่น ที่ด้านหน้าสภายุโรป ที่เมืองบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม เป็นต้น
ทั้งหมดนี้แค่วันแรกเท่านั้นเองนะครับ ทั้งๆที่อากาศหนาวจัด แต่ผมก็เดินเที่ยวจนเหนื่อย แข้งขาอ่อนแทบหมดแรง ถึงเดือนนี้เป็นปลายหน้าหนาว เข้าหน้าร้อนแล้วก็ตาม แต่พระอาทิตย์ก็ยังตกเร็ว เวลาแค่หกโมงเย็นกว่าๆ แต่รอบกายผมมืดมิดราวกับเที่ยงคืน
ผมเริ่มหาว หนังตาเริ่มหนักแล้วละครับ...
ผมดูนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาแค่หกโมงเย็นเอง ทำไมผมถึงง่วงนอนขนาดนี้นะ พอนึกมานึกไป...อ้อ...เวลาที่เบอร์ลินช้ากว่าบ้านเราหกชั่วโมง ถ้างั้นประเทศไทยตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วสินะ
ได้เวลานายเลิกงานแล้วละฮะ ป่านนี้นายคงจะกลับจากศูนย์ประชุมมาที่โรงแรมแล้ว ผมคงต้องรีบกลับไปรับหน้า ก่อนที่นายจะรู้ว่าผมหายไปไหนมา เบอร์ลินไม่ใช่เมืองเล็กๆอย่างที่ผมคิดเลยสักนิด เดินมาตั้งนาน ยังไม่พบน้องหมีเลย แต่ยังมีเวลาเหลืออีกหลายวัน
พรุ่งนี้เราไปตามหาน้องหมีกันต่อนะฮะคุณ...
Create Date : 01 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:27:33 น. |
Counter : 500 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เบอลิน...ถิ่นน้องหมี # 3
Checkpoint Charlie : จุดผ่านแดนตะวันออก-ตะวันตก
ในวันนี้ Checkpoint Charlie ได้กลายมาเป็นสถานที่สำคัญ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะพลาดไปมิได้ เจ้านายเล่าให้ผมฟังว่า Checkpoint Charlie เป็นจุดผ่านแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออกและเบอร์ลินตะวันตก ในสมัยที่เยอรมนียังแบ่งเป็นเยอรมนีตะวันตกและตะวันออก ไม่รวมประเทศเป็นหนึ่งเดียวเหมือนอย่างปัจจุบัน
ที่นี่เป็นจุดเฝ้าระวังของทหารอเมริกันกับโซเวียต จุดเฝ้าระวังพวกนี้มีหลายจุด จุด A, จุด B และจุด C สำหรับชื่อ Charlie นั้นย่อมาจากอักษร C ในภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับ Alpha ที่มาจาก A และ Bravo ก็มาจาก B นั่นเอง
Checkpoint Charlie เป็นจุดตรวจที่มีขนาดใหญ่ มีความสำคัญมาก ใครๆเลยรู้จักเป็นอย่างดี ต่อมาคำนี้เลยกลายมาเป็นแสลงที่ใช้เรียกทหารอเมริกันทุกคนว่า ชาร์ลี เพราะ Checkpoint Charlie ถูกสร้างขึ้นในช่วงสงครามเย็น จึงมีนวนิยายและภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่องใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฉากสำคัญของเรื่อง อย่างเช่น Schindlers List หนังเรื่องดังของสตีเว่น สปิลเบิร์ก เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองและการสังหารหมู่ชาวยิว ซึ่งกวาดรางวัลยอดเยี่ยมจากสถาบันต่างๆมากมาย ก็มีเหตุการณ์ทั้งสุข เศร้า รัก โศก เกิดขึ้นที่ Checkpoint Charlie แห่งนี้...
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันแสนเศร้า ทางการเยอรมนีเลยสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้น มีชื่อว่า Museum Haus Am Checkpoint Charlie เปิดดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1962 หรือประมาณปี พ.ศ.2505 ราคาบัตรเข้าชมแค่ 12.50 ยูโรเท่านั้นเอง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อบอกเล่าประวัติศาสตร์ความโหดร้ายของสงคราม การแบ่งแยกดินแดน และความพยายามอุตสาหะ ของชาวเยอรมันสมัยก่อนในการหลบหนีข้ามแดน ไม่ว่าแฝงตัวอยู่ในหีบไม้ หรือกระดานเซิร์ฟบอร์ด ผมเดินชมไปก็รู้สึกหดหู่ไป อารมณ์ในยามนั้นเศร้าสลดใจกับชะตากรรมของชาวยิวมาก
โชคดีนักหนาที่เราเกิดมาเป็นคนไทย...สงครามไม่เคยสวยงาม ทั้งยังทิ้งความโหดร้ายไว้ให้กับมนุษยชาติ ถึงแม้สงครามจะเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มนุษย์ก็ไม่เคยจดจำ หลายประเทศยังปรารถนาสงคราม แม้กระทั่งทุกวันนี้
ผมอยากให้ใครๆได้มาเห็นร่องรอยบาดแผลของเชลยศึก หยาดน้ำตาของชาวยิว ซากปรักหักพังที่เกิดจากสงคราม...บางทีโลกนี้อาจจะสงบสุขขึ้นบ้างก็เป็นได้
.... กระต่ายน้อยอย่างผมจึงได้แต่ภาวนา
Create Date : 01 สิงหาคม 2553 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:28:16 น. |
Counter : 237 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เบอลิน...ถิ่นน้องหมี # 2
U-Bahn-Nachtverkehr - สถานีรถไฟฟ้าสาย ยู
ก่อนจะเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวไปในเมือง เจ้านายก็พาผมไปทำความเข้าใจกับระบบขนส่งมวลชนของเบอร์ลินเป็นอันดับแรก เพราะเมืองนี้มีรถไฟฟ้าใต้ดินและรถไฟเชื่อมต่อกันทั่วราวกับใยแมงมุม ถ้าคุณมีแผนที่อยู่ในมือ และเลือกวางแผนการเดินทางให้ดีแล้วละก็ จะไปไหนมาไหนก็สะดวกสบายมากฮะ
รถไฟฟ้าสายหลักๆของที่นี่คือสาย U และสาย S ส่วนสาย M คือรถราง Metro Tram ชานชาลาแต่ละสถานีดูสว่าง สะอาด โปร่งตา ไม่น่าวังเวงกลัวเหมือนอย่างบางประเทศ
รถไฟฟ้าแต่ละสายจะวิ่งเป็นระยะทางไกลมาก อัตราค่าโดยสารไม่แพงเมื่อเทียบกับแท็กซี่ สายที่เจ้านายของผมขึ้นลงบ่อยๆ คือ U2 สีแดง นั่งจากสถานีชื่อ Stadtmitte ใกล้ๆโรงแรม ไปลงศูนย์ประชุม ICC Berlin ที่สถานี Kaiserdamm ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
ผมสังเกตได้ว่าสถานีรถใต้ดินที่อยู่ในย่านธุรกิจจะมีผู้คนขวักไขว่ ส่วนบางสถานีที่ไกลออกไปหน่อยผู้คนก็ค่อนข้างบางตา
เจ้านายและผมไปถึงวันแรกยังงงกับการซื้อตั๋วจากตู้อัตโนมัติ โชคดีที่เราไปเจอหนุ่มเยอรมันสุดแสนใจดีและมีน้ำใจ เขาจึงช่วยแนะนำเรื่องตั๋วชนิดต่างๆ ว่าเราควรจะซื้อแบบ 7 วันสำหรับใช้ในเมือง Berlin สนนราคา 31.50 ยูโรเท่านั้น ถูกกว่าซื้อแบบเที่ยวเดียวเป็นไหนๆ แต่ถ้าอยากไปหลายๆเมือง มีเวลาจะนั่งรถไฟเที่ยวให้คุ้ม เขาแนะนำว่าควรซื้อตั๋วแบบรวม ที่สามารถใช้ขึ้นรถไฟได้ทุกประเภท ราคาตั๋ว 7 วัน แค่ 61.70 ยูโร
ผมและเจ้านายอดนึกขอบคุณหนุ่มใจดีคนนั้นไม่ได้ ทั้งที่เขาพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก และเจ้านายผมก็พูดภาษาเยอรมันไม่ได้ แต่ความที่ชายหนุ่มคนนั้นเป็นเจ้าของประเทศ พอเห็นนักท่องเที่ยวมีปัญหา เขาก็พร้อมจะเข้ามาช่วยอธิบายเป็นอย่างดี นี่ละครับ...มิตรภาพไร้พรมแดนอย่างที่ใครเขาว่าไว้จริงๆ
เมื่อได้ตั๋วรถไฟเรียบร้อย คราวนี้ก็ถึงเวลาไปเที่ยวกันแล้วละฮะ
อ้อ...ก่อนที่เราจะออกเดินทาง ผมขออนุญาตแนะนำนิดหนึ่ง สถานีรถประจำทางของที่นี่หลายแห่ง สามารถเดินทะลุถึงกันได้ทางใต้ดิน ผมลองไปมาแล้ว บรรยากาศค่อนข้างน่ากลัว อาจไม่ปลอดภัยนักหากจะเดินคนเดียว โดยเฉพาะในยามวิกาล เพราะอาจจะมีพวกมิจฉาชีพเดินป้วนเปี้ยน คอยฉกชิงวิ่งราวได้ ยังไงระวังหน่อยนะฮะ อย่าเผลอไปเดินคนเดียวล่ะ
และสำหรับสิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจมากในสายตานายกระต่ายน้อย ก็คือสัญญาณไฟจราจรของเบอร์ลิน น่ารักอย่าบอกใคร เจาะไฟทำเป็นรูปเด็กน้อยกำลังก้าวเดินสำหรับไฟเขียว และรูปเด็กยืนกางแขนกางขา ส่งสัญญาณให้หยุดเดินสำหรับไฟแดง น่ารักดีจริงๆ
... ผมอดรนทนไม่ไหว เลยบอกเจ้านายให้ถ่ายภาพมาฝากคุณๆด้วยละฮะ
Create Date : 31 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:35:06 น. |
Counter : 265 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เบอลิน...ถิ่นน้องหมี # 1
สวัสดีฮะชาวบล็อคแก๊งค์ทั้งหลาย อันตัวผมนั้นคือกระต่ายน้อยสีชมพูผู้แสนสดใสน่ารัก อยู่กับเจ้านายใจดีมานานปี ปกติแล้วชีวิตของผมก็ราบเรียบธรรมดามาโดยตลอด ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเจ้านาย ไกลถึงเบอร์ลินโน่น
เรื่องเริ่มต้นที่วันหนึ่งเจ้านายของผมได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้เก็บกระเป๋า แล้วเดินทางไปเยอรมันเพื่อร่วมงานมหกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว งานยิ่งใหญ่ประจำปีของยุโรป ซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่ International Congress Centrum Berlin ศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ของเบอร์ลิน ที่มีขนาดใหญ่กว่าเมืองทองธานีบ้านเราหลายเท่า
พอพูดถึงเบอร์ลิน คุณๆนึกถึงอะไรกันบ้างเอ่ย...ไส้กรอกเยอรมัน เบียร์สด เนยแข็ง ไวน์ ช็อกโกเลต ใช่ไหมฮะ
แต่ผมน่ะกลับนึกถึงน้องหมี...ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดไปแบบนั้น อาจเพราะว่าใครๆพากันพูดว่าเมืองเบอร์ลินนี่นะ...เป็นถิ่นของน้องหมีเขาละ
ไหนๆผมก็มีโอกาสอันดี ติดสอยห้อยตามเจ้านายมาไกลถึงเบอร์ลินแล้ว...จะอยู่เฉยๆทำไมล่ะครับ ไปตามหาน้องหมีเบอร์ลินกันดีกว่า
พอเจ้านายออกไปทำงาน ผมก็เตรียมพร้อมจะออกไปเที่ยวบ้าง อยากไปค้นหาน้องหมีกับผมแล้วใช่ไหมล่ะ...มาสิฮะ ผมจะพาคุณไปตะลุยเบอร์ลินด้วยกัน
เมื่อคืนที่ผ่านมา เราเดินทางมาถึงสนามบิน TEGEL อย่างปลอดภัย ด้วยสภาพอากาศที่มีหมอกหนาและฝนโปรยปราย เครื่องบินเลยลงจอดช้ากว่ากำหนดไปเกือบ 90 นาที สนามบินเทเกลไม่ใหญ่มากมายอย่างที่ผมเคยคิด เพราะที่เบอร์ลินนี่มีสนามบินขนาดใหญ่ถึงสามแห่ง กระจายอยู่กันคนละมุมเมือง
เวลาที่ผมมาถึง บังเอิญมีเครื่องลงจอดพร้อมกันหลายสาย สนามบินเลยดูชุลมุนวุ่นวายไปสักหน่อย ทั้งไทยมุง จีนมุง ฝรั่งมุง กว่าเจ้านายผมจะได้รับกระเป๋า ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มของที่เบอร์ลิน หรือตีสี่ของเมืองไทยโน่นแน่ะ กระต่ายน้อยอย่าผมเลยเริ่มจะง่วงนอนตาปรือ
เป็นเพราะเรามาถึงดึก แถมครั้งนี้ยังเป็นการมาเบอร์ลินครั้งแรกอีกต่างหาก โรงแรมอยู่ไหนก็ไม่รู้ เจ้านายเลยตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่าต้องแพงแน่ๆ แล้วก็จริงเสียด้วย ออกจากสนามบินยังไม่ทันไร มิเตอร์พุ่งพรวดจาก 3 ยูโร ไปถึงหลัก 10 ยูโรกว่าๆ แต่เมื่อคิดว่าดีกว่าจะต้องไปยืนหนาวท่ามกลางสายฝน...กระต่ายอย่างผมเลยยิ้มออก
พอรถเริ่มแล่นเข้าสู่ตัวเมือง เจ้านายเริ่มตื่นเต้นกับบ้านเมืองที่สวยงามราวกับย้อนอดีตกลับไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เลยคว้ากล้องขึ้นมาจากกระเป๋าเตรียมถ่ายรูปเมืองในยามค่ำคืน จะได้มีสมาธิ ไม่เครียดกับมิเตอร์และตัวเลขค่าโดยสารที่พุ่งเร็วราวกับจรวด แต่ที่ไหนได้ แบตเตอรี่ของกล้องถ่ายรูป บังเอิญหมดพอดี...เฮ้อ...กระต่ายเซ็งเลยฮะ
ยังโชคดีที่ก่อนแบตเตอรี่จะหมด เจ้านายอุตส่าห์ถ่ายรูปได้หนึ่งรูป ถือเป็นรูปวิวเพียงรูปเดียวที่ถ่ายได้ในคืนนี้ เป็นภาพของสถานีรถไฟชื่อ Postdamer ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรานัก
เมื่อมาถึงโรงแรม มิเตอร์ก็มาแตะที่ 18.90 ยูโรพอดี และแล้วโรงแรม Mercure Hotel & Residenz Berlin Checkpoint Charlie ก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้า
โชคดีมากที่ผมกับเจ้านายได้พักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ เพราะตั้งอยู่ใจกลางเมืองเบอร์ลินเลยทีเดียว รายรอบโรงแรมมีร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย เดินไปไหนมาไหนแสนจะสะดวก
หลังจากพักผ่อนเรียบร้อย การผจญภัยของกระต่ายน้อยสีชมพูก็เริ่มขึ้นในเช้าวันต่อมา...
Create Date : 31 กรกฎาคม 2553 | | |
Last Update : 5 สิงหาคม 2553 21:35:30 น. |
Counter : 351 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ว่ากันว่าผู้ชายนั้นมาจากดาวอังคาร ส่วนผู้หญิงนั้นมาจากดาวเสาร์ แต่ใช่ว่าผู้ชายจากดาวอังคาร .... จะเหมือนกันหมดนะ
ผมนี่ละ...ที่ไม่อยากเหมือนใคร :P
|
|
|
|
|
|
|