Salome
ประวัติซาโลเม่ ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยไหน มนต์เสน่ห์แห่งความงามของอิสตรีก็ยังคงความขลัง สามารถบันดาลเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดให้เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง จะเปลี่ยนขาวให้เป็นดำก็ได้ด้วยมายาหญิง นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่มารยาหญิงอยู่เหนือเหตุผลและความถูกต้อง ไม้เว้นแม้แต่ชนชั้นวรรณะที่ได้รับการยกย่องว่าสูงสุด Salomé อาจจะไม่เป็นที่คุ้นหูเท่าใดกันนักเพราะเป็นชื่อของเจ้าหญิงยิวคนหนึ่งในสมัยโบราณแต่ ซาโลเม่ คนนี้แหละที่ใช้เล่ห์มารยาหญิงจนทำให้ ท่านจอห์น เดอะ แบ๊บตีส (John the Baptist) นักบุญคนสำคัญในคริสต์ศาสนาต้องถูกตัดหัวมาแล้ว ทว่า...คัมภีร์ไบเบิลกลับไม่มีเรื่องราวของนางปรากฏอยู่เลย บอกไว้แต่เพียงว่าเป็นธิดาของพระนางเฮรอดิแอสเท่านั้น แต่เรื่องราวของพระนางกลับไปปราฏกในบันทึกของโจเซฟัสซึ่งเป็นนักเขียนที่ได้บันทึกเรื่องราวการตายของ John the Baptist อย่างละเอียดจนกลายเป็นบทบันทึกที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนรุ่นหลังนำมาเขียนกันอย่างเกรียวกราว จนชื่อของ ท่านจอห์น เดอะ แบ๊บตีส และ ซาโลเม่ เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซาโลเม่ มีชาติกำเนิดที่สูงส่ง มีฐานะเป็นเจ้าหญิงยิว พระบิดาของเธอเป็นกษัตริย์องค์ใดไม่ปรากฏชื่อ ส่วนพระมารดาคือ พระนางเฮรอดดิแอส
สมัยนั้น กษัตริย์แห่งแผ่นดินปาเลสไตน์ได้รับการแต่งตั้งจากโรมให้เข้ามาปกครองชาวยิวมีชื่อว่า เฮรอดแอนติปาส์(Herod antipas) (เฮรอด เป็นชื่อยอดนิยมของกษัตริย์ที่นี่) ส่วนเฮรอดองค์ที่จะกล่าวถึงนี้เป็นราชบุตรของเฮรอดองค์ที่ 2 พระเจ้าเฮรอดองค์นี้มีพระมเหสีอยู่แล้ว อยู่มาวันหนึ่งก็มีเหตุจำเป็นบางอย่างให้ต้องเดินทางไปกรุงโรม ระหว่างนั้นพระองค์ก็ได้พบกับพระนางเฮรอดดิแอส(Herodias) จึงเกิดตกหลุมรักเข้าอย่างจัง ความจริงเรื่องที่ผู้ชายจะหลงรักหญิงอื่นทั้งๆ ที่มีภรรยาอยู่แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่ที่แปลกก็คือ พระนางเฮรอดดิแอสคนนี้คือพี่สะใภ้ของพระองค์เอง ! ด้วยความเกรงพระทัยผู้เป็นพี่ พระเจ้าเฮรอดจึงทำได้แต่เพียงส่งสายตาละห้อยที่แฝงด้วยแรงพิศวาส ส่วนพระนางเฮรอดดิแอสความที่พระนางไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสาจึงเข้าใจความหมายที่ฉายออกมาทางแววตาของ ฝ่ายชายได้เป็นอย่างดี เพราะพระนางเองก็พึงพอใจในรูปโฉมของน้องสามีเช่นกัน เมื่อพระนางรู้ว่าถ้าขืนรีรอวางท่าต่อไปคงจะไม่สมหวังดังใจ พระนางจึงเป็นฝ่ายรุกเสียเองด้วยการขอหย่าขาดกับสามี(แรงสส์) แล้วตามมาอยู่ร่วมห้องกับน้องสามีอย่างสบายใจ โดยที่ฝ่ายชายก็ขอหย่ากับภรรยาเช่นกัน เมื่อพระนางเฮรอดดิแอสย้ายมาอยู่ที่วังมาร์คัส พระนางได้พาธิดาสาวสวยที่กำลังสาวสะพรั่งด้วยวัย 19 ปี ที่เกิดจากสามีเดิม (ไม่ปรากฏหลักฐานว่าธิดาคนนี้เป็นลูกที่เกิดจากสวามีคนไหน) ไปอยู่ด้วย ธิดาสาวคนนั้นก็คือ เจ้าหญิงซาโลเม่ นั่นเอง ความรักที่สลับซับซ้อนน่าเวียนหัวและการแต่งงานของพระเจ้าเฮรอดและพระนางเฮรอดดิแอส พี่สะใภ้กับน้องสามีนี้ กลายเป็นขี้ปากของชาวประชาในเวลาต่อมา เพราะตามกฏของยิวโบราณ การแต่งงานที่ผิดธรรมเนียมอันดีงามอย่างนี้ ถือว่าเป็นความผิดใหญ่หลวงและสมควรจะต้องถูกตำหนิติเตียนเป็นอย่างยิ่ง หนึ่งในจำนวนผู้ที่คัดค้านและตำหนิติเตียนการแต่งงานของพระราชาและราชินีคู่นี้ก็คือท่านจอห์นเดอะแบ๊บตีสนักบวชผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง ท่านได้ติเตียนบุคคลทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า คำติดเตียนของท่าน จอห์น เดอะ แบ๊บตีส ล่วงรู้ไปถึงหูของพระนางเฮรอดดิแอส ทำให้พระนางถึงกับกริ้วควันออกหู ทรงทูลยุยงกษัตริย์เฮรอดจนกระทั่งหาทางจับท่านจอห์นไปกักขังไว้ให้ทรมานสมดังใจมเหสี เท่านั้นยังไม่เพียงพอ พระนางหาทางที่จะกำจัดท่านจอห์นให้ได้โดยที่พระหัตถ์ของพระนางไม่ต้องเปื้อนเลือดให้เป็นที่ครหา เมื่อคิดแผนการอันแยบยลได้ดังใจแล้ว พระนางก็รับสั่งให้เจ้าหญิงซาโลเม่เข้าเฝ้าเพื่อกระซิบกระซาบแผนการกันสองคน แล้วคืนวันอันโหดร้ายก็ย่างกรายเข้ามาถึง ขณะที่กษัตริย์เฮรอดกำลังประทับอย่างสำราญพระทัยอยู่ในท้องพระโรงอันวิลิศมาหราอลังการของวังมาร์เครัส ทันใดนั้นเอง เจ้าหญิงซาโลเม่ก็ปรากฏโฉมในภัสตราภรณ์อันงดงามวิจิตร ท่ามกลางความตะลึงตะลานของเหล่าข้าราชบริพารที่นั่งกันสลอนอยู่ในท้องพระโรง วันนี้หม่อมฉันจะขอร่ายรำระบำพิเศษให้พระองค์ทรงทอดพระเนตร เพื่อจะได้ทรงพระสำราญยิ่งๆ ขึ้นไปเพคะ เจ้าหญิงซาโลเม่พูดพลางกวาดสายตาไปรอบๆ หากการเริงระบำครั้งนี้ เป็นที่ถูกพระทัยมากแล้วไซร้ หม่อมฉันขอทูลขอรางวัลซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชอำนาจของพระองค์ที่จะประทานได้ ก็ขอให้พิจารณาพระราชทานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ กษัตริย์เฮรอดซึ่งในขณะนั้นกำลังตกอยู่ในอาการแทบหน้ามืดเพราะหลงในความงามของซาโลเม่ จึงละล่ำละลักตอบตกลงทันทีแล้วรำบำแพรเจ็ดชั้นอันบันลือโลกก็เริ่มขึ้น นางร่ายรำอย่างงดงามมีศิลปะ ด้วยท่วงท่าและลีลาอันอ่อนช้อยในระหว่างที่ท่วงทำนองเพลงกำลังพาลีลาของพระนางให้พลิ้วไหวอยู่นั้น พระนางก็ค่อยๆ บรรจงเปลื้องแพรที่คลุมร่างออกทีละชั้นๆ แพรผืนแรกลงไปกองอยู่กับพื้น พระนางยังคงร่ายรำอย่างต่อเนื่องและงดงามจนแพรที่คลุมร่างผืนต่อๆ ไปถูกปลดลงไปกองที่พื้นผืนแล้วผืนเล่า ผู้คนในท้องพระโรงที่กำลังนั่งชมการร่ายรำนี้อยู่ต่างใจจดใจจ่อรอเวลาว่าเมื่อไรแพรผืนสุดท้ายจะถูกปลดออกมากองกับพื้น จนเมื่อแพรผืนที่ 7 อันเป็นผืนสุดท้ายถูกปลดออกมา สายตาทุกคู่ก็ต้องตะลึงค้างเพราะใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะจนทำให้ให้หายใจไม่ทั่วท้อง ทุกคนพากันอ้าปากค้างเมื่อเจ้าหญิงซาโลเม่เผยเรือนร่างงดงามในชุดซับในน้อยชิ้นร่ายระบำอันทรงเสน่ห์อย่างสุดเหวี่ยง จนพระเจ้าเฮรอด อดพระทัยไม่ไหวถึงกับออกพระโอษฐ์อุทานว่า วิเศษมาก ! เยี่ยมที่สุด ซาโลเม่ได้ยินดังนั้นก็ยิ่งยักย้ายส่ายสะโพกรุนแรงขึ้นไปอีกก่อนที่จะยุติการเริงระบำลง ถ้าเช่นนั้น หม่อมฉันขอทวงรางวัลเพคะ ทรงพระราชทานพระสรวลอย่างสำราญพระทัยก่อนที่จะตรัสรับสั่งว่า ปรารถนาสิ่งใดที่ข้าให้ได้จงบอกมา เจ้าหญิงซาโลเม่ ชายตาไปยังพระราชมารดาอย่างรู้ความนัยกันก่อนจะเอ่ยว่า หม่อมฉันขอศรีษะของท่านจอห์นเดอะ แบ๊บตีส สิ้นเสียงของพระนาง ภายในท้องพระโรง ก็เงียบสนิทราวกับป่าช้า ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจของผู้คนเหล่านั้นกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ที่แน่ๆ พระนางเฮรอดดิแอสกำลังยิ้มย่องอย่างสมพระทัย และภายในชัวโมงนั้นเอง ทหารก็นำศรีษะของท่านจอห์น เดอะ แบ๊บตีส ใส่ถาดมาให้ซาโลเม่ตามสัญญา เหตุการณ์ครั้งนี้ สร้างความโศกสลดและความรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชาวคริสต์ทั้งปวง และก็หมายถึงบัลลังก์ของพระเจ้าเฮรอดที่ต้องสั่นคลอนไปด้วย พระเจ้าเฮรอดจึงกลายเป็นกษัตริย์ที่พังเพราะผู้หญิงอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะการสังหารท่านจอห์น เดอะแบ๊บตีส เพื่อตามใจเมียและลูก ทำให้พระองค์มีศัตรูตามมามากมาย ในไม่ช้าจักรพรรดคลิกูลาแห่งโรมก็ทรงเห็นว่าพระเจ้าเฮรอดที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ปกครองนครมณฑลปาเลสไตน์กระทำตนไม่เหมาะสมจึงสั่งปลดออกจากตำแหน่งและเนรเทศไปจนสุดหล้าฟ้าเขียว ส่วนพระนางซาโลเม่ ก็ถูกตราหน้าว่าเป็น นางบาป ตั้งแต่นั้นมาแต่ทว่าพระนางไม่ได้ตกอับเหมือนพระมารดาที่หายสาปสูญไป เพราะภายหลังก็ได้เป็นราชินีของกษัตริย์ยิวทรงพระนามว่า พระเจ้าอลิสโตบุรัส ข้อมูลจาก : //en.wikipedia.org/wiki/Salome
Free TextEditor
Create Date : 10 พฤศจิกายน 2552 | | |
Last Update : 1 มีนาคม 2553 14:30:03 น. |
Counter : 3325 Pageviews. |
| |
|
|
|