Freshy & Healthy & Englishy
 
 

Slow Metabolism? ระบบเผาผลาญเราไม่ดีตั้งแต่แรกแล้วเหรอ

  

 

สวัสดีครับ Smileyวันนี้มีคลิป VDO ของ youtube ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง Overweight & Slow Metabolism? ของ BBC Documentary (สารคดีของ BBC) หรือความเชื่อเรื่องการที่เราอ้วนนั้นเกิดจากระบบ metabolism ที่ลดลง พอดีดูแล้วชอบ จึงอยากเอามาแบ่งปันกันนะครับ

  

Debbie เชื่อว่าการที่เธออ้วนเอาๆ เกิดจาก Metabolism (กระบวนการเผาผลาญอาหาร) ที่อยู่ในตัวเธอ (เธอเชื่อว่าเธออ้วนเพราะระบบในตัวเธอรวนเอง)

 

เมื่อทางเจ้าหน้าที่เค้าลองเอาเธอไปตรวจระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายเธอว่าจะจริงตรงตามที่เธอคิดเอาไว้ไหม พบว่าระบบ metabolism ของเธออยู่ในเกณฑ์ปกติ

 

Debbie จริงเริ่มทำการบันทึกอาหารที่เธอรับประทานเข้าไปโดยบันทึกช่วงระยะ 9 วัน

 

ช่วง 4 วันแรกนั้น Debbie บันทึกสิ่งที่เธอแดร๊กเข้าไปด้วย camcorder (เครื่องบันทึกวีดีโอ)

 

  

ช่วงอีก 5 วันหลังนั้น เธอก็จดบันทึกลงสมุดว่าเธอทานอะไรเข้าไปบ้างทันทีที่เธอกินสิ่งนั้นๆ ในแต่ละอย่าง การบันทึกแบบนี้ทำให้ Debbie รู้ว่าอาหารที่เธอทานเข้าไปนั้นมีปริมาณ calrories อยู่ในช่วง 2000 ต่อวัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงอายุ เพศ  O_O

  

นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ยังมีการ spy ในกระเพาะของ Debbie อีกทางเพื่อยืนยันการบันทึกของเธอ (เผื่อเธอโกงการจดบันทึกไง) โดยการให้เธอดื่มน้ำผสม special isotope marker และก็ analyse (วิเคราะห์) urine ของเธอทุกวัน Smiley(เอาจริงวุ้ย)

  

จากนั้นเมื่อครบ 9 วัน เอกสารการบันทึกต่างๆ ของเธอทั้ง VDO และสมุด ตัวอย่างปัสสาวะของเธอตลอด 9 วัน ก็ถูกส่งไป Medical Reserch Coucil ใน Cambridge จากการตรวจปัสสาวะของเธอนั้น ทางสถาบันสามารถนับแคลลอรี่ที่ Debbie ได้เบรินไป และรวมไปถึงแคลลอรี่ที่เธอรับประทานด้วย (เจ๋ง~) ในการบันทึกนั้น Debbie บันทึกว่าเธอทานอาหารเข้าไปประมาณ 2000 calories  ซึ่งขัดแย้งกับการที่ทางสถาบันตรวจ urine (ปัสสาวะ) ซึ่งภายใน 9 วันนั้นเธอดื่มน้ำที่ผสม special isotope marker เข้าไป โดยจริงๆ แล้วเธอทานอาหารเข้าไปมากถึง 3000 CALORIES นั่นหมายถึงเธอลืมบันทึกอีก 43% จากอาหารทั้งหมดที่เธอบันทึกในแต่ละวัน O_O (ป้าแกสตันไป 3 วิ)

   

 


ดังนั้น การรับประทานอาหารนั้นให้ระวัง “มือ” ของเราเอาไว้ให้ดี มันหยิบเข้าปากไปเรื่อยแถมเร็วกว่ามือที่จะจนบันทึกซะอีก ฮี่ฮี่~




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2555   
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 19:44:00 น.   
Counter : 1228 Pageviews.  


Is Sugar Toxic? เมื่อน้ำตาลมีรสขม

สวัสดีครับ Smiley วันนี้ผมมี VDO Clip ของ youtube มาแนะนำครับ คลิปนี้เป็นนำเอาส่วนหนึ่งของ lecture มาสร้างเป็นสารคดีแบบมินิ ^^ โดยผู้ปลุกกระแสเรื่องที่ว่าน้ำตาลเป็นพิษจริงหรือ คือ Robert H. Lustig, M.D., Professor of Pediatrics, University of California, San Francisco ผู้ที่เชื่อกันว่าตัวการที่ทำให้เราเกิดโรคหัวใจคือ fructose  

 

ปล. Pediatrics แปลว่า กุมารเวชศาสตร์ (ศาสตร์เรื่องการดูแลทางการแพทย์ให้แก่ทารก – วัยรุ่น) เฮียแกเชื่อว่า fructose ที่อยู่ใน table sugar (น้ำตาลที่ใช้กันตามบ้านทั่วไป) เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิด

  1. Obesity (โรคอ้วน)  
  2. Type 2 – Diabetes (เบาหวาน ชนิด 2: เกิดภาวะ insulin resistance หรือร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย)
  3. Hypertension (ความดันโลหิตสูง)
  4. Heart Disease (โรคหัวใจ)  

เค้าบอกว่า น้ำตาลถูกซ่อนอยู่ในอาหารที่เรากินแทบจะทุกชนิด โยเกริต ซอสต่างๆ รวมถึงขนมปังด้วย O_o หรือแม้แต่พวกอาหารที่แลดูสุขภาพต่างๆ ในฉลาก (label) ก็มีระบุถึงตัว “High Fructose Corn Syrup” ซึ่งเฮียแกบอกว่า ไอ้เจ้าตัวนี้มันก็คือ Table sugar นั่นเอง

แต่ปัญหาคือทั้ง sugar และ HFCS (High Fructose Corn Syrup) เนี่ย มันก็ไม่ดีทั้งนั้นเลย ที่บอกว่าทำไมมันถึงแย่ เพราะว่าไอ้ทั้งสองตัวนี้มันต่างก็มี fructose ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ที่เราไม่รู้ตัวกันมาตลอดเนี่ยเพราะ “We were born this way.” เกิดมาก็กินไอ้พวกนี้แล้ว

 

 

คราวนี้ทาง Cambridge และทาง University of California ให้ความสนใจจึงเข้ามาร่วม back up (สนับสนุนความเชื่อของเฮียแก) เจ๊คนนี้แกใช้เวลาร่วม 5 ปี ในการหาหลักฐานที่สอดคล้องกับการบริโภค HFCS ที่มากขึ้นและการส่งผลต่อโรคหัวใจและ stroke (การอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง) 

 

แบ่งผู้เข้าร่วมวิจัย มาอาศัยอยู่เป็นสัปดาห์ ตรวจเลือด และให้ผู้ร่วมวิจัยทานอาหารที่ทางสถาบันเตรียมมาเท่านั้น

 

ช่วงไม่กี่วันแรกของสัปดาห์ ก็ให้พวกเค้าทานอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ จากนั้นอีก 25% ของแคลอรี่ก็ให้ดื่มน้ำหวานๆ มีการเจาะเลือด ฯลฯ

เจ๊แกค้นพบว่า คนที่กิน HFCS เข้าไปเยอะ มีภาวะ LDL ในเลือดสูงและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ของ Cardiovascular disease (โรคที่เกี่ยวกับหัวใจร่วมหลอดเลือด) เมื่อถามว่า ใช้เเวลาขนาดไหนกว่าจะรู้ว่ามันเกิดขึ้น เจ๊แกตอบว่าแค่ ภายใน 2 สัปดาห์เท่านั้น!!!!~ 

เมื่อเราบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป ตับที่ fructose มากจนเกินไป (เหมือนล้น) จะเปลี่ยนบางส่วนเป็น fat (ไขมัน) แล้วบางส่วนของไอ้ไขมันนี่แหละจะจับตัวกันไหลไปตามกระแสเลือด ซึ่งทำให้เกิดไขมันเลว LDL (Low Density Lipoprotein) อันเป็นที่มาของ heart attack หรือภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน - -"

เชื่อมั่นว่าขณะที่อ่านนี้ หลายๆ คนคงกำลังดื่ม soft drink อะไรหวานๆ กันอยู่ Smiley

ทาง Public Health ได้มีการรณรงค์ให้คนอเมริกันหันมาทานอาหารพวก lower-fat เพื่อต้องการการลด heart diseases มาตั้งแต่ ค.ศ.1970 แต่เหตุใดจำนวนของคนอเมริกันที่ป่วยเป็น heart disease (โรคหัวใจ) metabolic syndrome (ภาวะอ้วนลงพุง หรือกลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด) diabetes (โรคเบาหวาน) กับกำลังมากขึ้นเป็นกราฟแนวตั้ง (high-rocketing) เค้าเชื่อว่าเรา cut down (ลด) ปริมาณไขมันแต่หันมาหา sugar แทน (อารมณ์เหมือนหาตัวตายตัวแทน) และ sugar ยังเป็นตัวการสำคัญของการเกิดมะเร็งอีกด้วย

คราวนี้มาดู sugar ซึ่งมีอิทธิต่อ tumor (เนื้องอก) (ปล glucose กับ frustose ไม่เหมือนกันนะ)

รอบตัว tumor (เนื้องอก) จะมีตัว insulin receptors ที่จะดักเอา glucose มา เค้ายังบอกอีกว่าร่างกายต้องการ glucose แต่โชคไม่ดีที่ไอ้เจ้าตัว tumor มันก็ต้องการเพื่อเติบโตเช่นกัน สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง แนะนำว่าอย่ากินน้ำตาล หรือกินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้

เมื่อนำเอากลุ่มตัวอย่างไปสแกนสมองในเรื่องการตอบสนองของสมองต่อน้ำตาลที่กินเข้าไปพบว่าเราติดน้ำตาลเหมือนกับการติด cocaine (โคเคน) เลยทีเดียว หนักนะ - -*

เพิ่มเติมอีกนิด: เมื่อเรากินกลูโคสเข้าไป อินซูลินจะส่งสัญญาณไปที่สมองบอกเราว่า หยุดกินได้แล้ว อิ่มแล้ว ง่ายๆ คือ ร่างกายเราวิวัฒนาการมา กลูโคสคือแหล่งพลังงานที่จำเป็น กินเท่าไหร่จึงจะพอดีหรือกินเท่าไหร่ที่เรียกว่ามากไป ง่ายๆ คือร่างกายเราโอเคกับไอ้เจ้ากลูโคสได้ อย่างเด็กเล็กๆ ผู้ใหญ่เค้าไม่ให้อมข้าว เหตุเพราะข้าวจะถูกแปรสภาพส่วนหนึ่งเป็นกลูโคสทำให้อินซูลินส่งสัญญาณไปที่สมองว่าหยุดกินได้แล้ว ก่อนที่เราจะกินอาหารเข้าไปเต็มที่นั่นเอง

 

 




 

Create Date : 18 ตุลาคม 2555   
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 19:43:07 น.   
Counter : 1054 Pageviews.  


เรื่องง่ายๆ ที่คุณอาจจะยังไม่รู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

ผลเสียของสูตรติดจรวดทะลายพุง (อยากลดเร็วจึงกินน้อย)

BAD: อยากลดน้ำหนักแต่อดอาหาร ซ้ำหนักนับแคลอรี่ไม่เกิน 1200/วัน แถมออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงอีก บางคนแรงกว่านั้นทานกันไม่เกิน 500 แคล/วัน (โอ้ว พระเจ้า...หายใจวันนึงยังไม่พอใช้เลยครับ :P)

credit ภาพจาก //teampowerx.com/wp-content/uploads/2012/03/starvation-mode.png

มีงานวิจัยต่างๆ ที่บ่งบอกถึงเรื่องการทานน้อยเพื่อต้องการลดน้ำหนักมากมายครับ เวลาเราทานน้อย ร่างกายเรามันจะปรับตัวให้เข้ากับการทานน้อยของเรา (เค้าเรียกกันว่าเข้าสู่ starvation mode) นั่นหมายความว่าเมตาบอลิซึ่มในร่างกาย (กระบวนการที่ร่างกายเราใช้สังเคราะห์พลังงานเพื่อแปรเป็นพลังงานต่างๆ ให้ร่างกายเก็บไว้) ที่เป็นตัวช่วยการการเผาผลาญอาหารมันจะลดน้อยลงเพื่อเข้าสู่โหมดกักเก็บพลังงานและแคลอรี่ (อารมณ์หมีจำศีลอ่ะ)

ไอ้ตัว Starvation mode นี้เองที่จะทำให้เราลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารที่ได้ผลมากๆ (แลดูลดไว) ในช่วงแรก แต่กลับไม่ลงเลยในช่วงหลังๆ เมื่อถึงจุดจุดนึง (อีกทั้งพุง แขน ขาเหี่ยวแบบห้อยเลย ไม่กระชับ) อ่อ การอดข้าวเย็นที่เป็นวิธีที่ทำกันมาก็ลดไวนะ แต่ทำให้ร่างกายเสียสมดุลเช่นกัน ร่างกายนั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะปรับ แปร เปลี่ยนไปตามสภาพวิถีการดำเนินชีวิตของเรา รวมไปถึงการกินด้วยนั่นเอง ดังนั้นเมื่อร่างกายปรับวิถีการไม่ทานข้าวเย็น ระบบเมตาบอลิซึ่มก็จะปรับตามช่วงเวลาการทานอาหารของเรา กล่าวคือเมื่อเราลดข้าวเย็นและหันกลับมาทานเมื่อไหร่ ร่างกายจะดึงเอาข้าวเย็นของคุณไปกักเก็บสะสมตามส่วนต่างๆ มากยิ่งขึ้น นั่นก็คืออ้วนมากกว่าเดิมนั่นเอง (มีวิธีที่ยั่งยืนคือ คุณต้องงดข้าวเย็นไปตลอดชีวิตหรือไม่ก็กลับมาทานข้าวเย็นเหมือนเดิมเพียงแต่ระวังเรื่องอาหารที่ทานมากขึ้น


 

BMR Smiley สำคัญอย่างไรต่อการลดน้ำหนัก

 

BMR หรือ Basal Metabolic Rate เป็นการคำนวณหาจำนวนแคลอรี่ที่ร่างกายคุณต้องการใช้ โดยคำนวนจากอายุ เพศ ส่วนสูง น้ำหนัก มีบุคคลบางกลุ่มพยายามที่จะทานอาหารให้น้อยกว่าค่า BMR ของตัวเองโดยไม่ออกกำลังกาย ผลที่เกิดขึ้นก็คือ  

  1. กินน้อยกว่าค่า BMR --> พอกลับมากินเท่าปกติ จะเกิดอาการโยโย่ (หรือผลกระทบของการลดน้ำหนักอย่างหักโหมที่เรียกว่าอ้วนมากกว่าเดิม)
  2. งดคาร์บ (ไม่กินแป้งเลย กลัวจัด) --> ไม่มีพลังงานหลักของร่างกาย หมดแรงออกกำลัง ถึงออกกำลังไปไม่มีคาร์บให้เผาผลาญ ร่างกายจะดึงไขมันพร้อมกล้ามเนื้อมาสลาย กล้ามเนื้อหาย (กล้ามเนื้อที่คอยช่วยเบรินไขมันหายแล้วจะเหลืออะไรล่ะคับ) การไดเอทโดยการทานคาร์บให้น้อยๆ ในปัจจุบันเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนลดน้ำหนัก แต่.....อย่าลืมว่า คาร์โบไฮเดรตเป็นเหล่งพลังงานให้กับอวัยวะส่วนสำคัญหลายๆ ส่วนเช่น สมอง ระบบประสาทส่วนกลางหรือแม้แต่ไต ดังนั้นคนที่หวังจะทานแต่โปรตีนและไขมันอย่างเดียวนั้นจะมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะโรคอ้วนและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนอาทิ โรคหัวใจ

 

สรุปการกระตุ้น Basal Metabolism (กระบวนการเผาผลาญ) จะเกิดขึ้นได้ หลักๆ คือต้องมาจากการออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ เมื่อร่างกายมีกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อจะช่วยเผาผลาญมากขึ้น (เร่งการเผาผลาญที่ดีกว่าการไม่ออกกำลังกายหลายขุม) ผลสุดท้ายคือร่างกายกระชับขึ้นและเป็นการควบคุมน้ำหนักตามธรรมชาติอย่างลงตัว ปล. ทั้งนี้ต้องมีการทานอาหารอย่างเพียงพอควบคู่ด้วยครับ ^^

 


 

แล้วผู้หญิงยกเวท กล้ามไม่ขึ้นใหญ่เลยเหรอ Smiley

ผู้หญิงนั้น การที่กล้ามจะขึ้นยากมากกกกกกก ไม่ใช่แบบเล่นแบบเดียวกล้ามโต ขนาดผู้ชาย ยังต้องกินพวกโปรตีนช่วยเลยกล้ามถึงขึ้น ดังนั้นเล่นไปเหอะครับ ช่วยเบรินแคลอรี่ได้เร็วขึ้นด้วยนะ

 


 

 ทำไมเมื่อออกกำลังกายแล้ว น้ำหนักไม่ลงเลย Smiley

หากวงจรการดำรงชีพของคุณเป็นไปตามขั้นตอนแล้ว การที่น้ำหนักลงน้อยกว่าคนอื่นๆ ที่ลดแบบผิดวิธีเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะเรื่องมาจากกล้ามเนื้อที่สร้างขึ้นมาหนักกว่าไขมันที่มี กล่าวคือเมื่อมีการเบรินออกจากการออกกำลังกายแล้ว ร่างกายสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมา น้ำหนักคุณอาจจะลดน้อยลง แต่อย่าลืมว่าร่างกายคุณ slim ลงกว่าเดิมเยอะ

 





 

Create Date : 12 ตุลาคม 2555   
Last Update : 18 ตุลาคม 2555 19:42:20 น.   
Counter : 2427 Pageviews.  



ลมพฤกษา
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




I luv learning and playing game but studying. When I find out something interesting, I immediately go for it, reading, searching for the information. This blog hatched out cuz I would like to share the information on a bunch of English-learning ways as well as healthiness.
[Add ลมพฤกษา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com