Smiley"Ohana means family. Family means no one gets left behind."Smiley
Group Blog
 
All blogs
 

เที่ยวเจิ้งโจว ตอน ไปศาลไคฟง คาราวะท่านเปาบุ้นจิ้น (ท่านเปาฯ หน้าดำจริงหรือ)

ไคฟง (Kāifēng) เป็นเมืองในจังหวัดเจิ้งโจว ในมณฑลเหอหนาน ตั้งอยู่ริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำฮวงโห (หรือแม่น้ำเหลือง)

 

ไคฟง เคยเป็นหนึ่งในเมืองหลวงเก่าของจีน สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ (ค.ศ. 960-1127) ซึ่งรุ่งเรืองสุดๆ ด้วยความที่เมืองนี้อยู่ติดกับแม่น้ำหวงโฮ จึงถูกน้ำท่วมเสียหายบ่อยครั้ง ทำให้ไคฟงถูกลดฐานะมาเป็นอำเภอหนึ่งของเมืองเจิ้งโจว สิ่งก่อสร้างใหม่ๆ สร้างทับบนรากฐานเดิม และยังคงรักษารูปลักษณ์โบราณไว้ ประตูเมืองต้าเหลียงเหมิน

 

ไคฟง มีชื่อเดิมว่า เปี้ยนโจวนสมัยราชวงศ์โฮ่วเหลียง เปลี่ยนชื่อมาเป็น เปี้ยนจิง (เปียนเหลียง) มาถึงสมัยหลังก็ได้เปลี่ยนเป็น ไคฟง และเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องเปาบุ้นจิ้น เพราะเป็นที่ทำงานของท่านเปาบุ้นจิ้น

 

 

แต่ถ้าไปถามหาเปาบุ้นจี้น ในจีนเขาก็ไม่รู้จักกันหรอกคะ เพราะที่นี่เข้าเรียกกันว่า ท่านเปา เจิ่ง หรือ เปา ชิง เทียน เปา เจ่ง เป็นข้าราชการชาวจีน ที่มีชีวิตอยู่จริงในรัชสมัยจักพรรดิเหรินจง แห่งราชวงศ์ซ่ง เป็นที่เลื่องลือกันทั่วไปถึงความเข้มงวดในการปฏิบัติราชการ ความกตัญญูกตเวที และการปฏิเสธความอยุติธรรมและการทุจริตในหน้าที่ราชการชนิดหัวชนฝา กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ยุติธรรม ได้รับความนับถือเลื่อมใสถึงขนาดยกย่องเสมอเทพเจ้า ดังจนเอามาเขียนเป็นวรรณกรรมหลายเรื่อง และถงกับสร้างละครกันเลยทีเดียวคะ เปา เจิ่ง ถือกำเนิดขึ้นในครอบครัวนักวิชาการแห่งเมืองเหอเฟ่ย มณฑลอานฮุย และได้สอบเข้ารับราชการเมื่ออายุ 29 ปี และต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการกรุงไคฟง อันเป็นเมืองหลวงแห่งประเทศจีนในสมัยราชวงศ์ซ่ง สมัยที่ดำรงตำแหน่งนั้น ท่านเปา ไม่เคยปรานี และประนีประนอมกับคนทำผิดใดๆ เลย และไม่เห็นแก่หน้าใคร จนเป็นที่ชิงชังของใครหลายคน โดยเฉพาะ ท่านราชครูผัง (ผังไท้ชือ) ด้วยความซื่อสัตย์และเฉียบขาดนี้ ท่าเปา จึงเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย สมเด็จพระจักรพรรดิเหรินจง เปา เจิ่งนั้น รับราชการมากว่า 45 ปี ในตำแหน่งต่างๆ มากมาย แต่คนทั่วไปจะรู้จักกันในฐานะตุลาการซะมากกว่า ทั้งที่จริงแล้วท่านเปา หาใช่ตุลาการไม่ (เล่นบทพูดเป็นนักจีนกันเลย ฮิๆ) ท่านไม่เคยรับของจากใคร เพราะท่านถือหลักว่า "จิตใจสะอาดบริสุทธิ์คือหลักแก้ไขปัญหามูลฐาน ความเที่ยงตรงเป็นหลักในการดำเนินชีวิต จงจดจำบทเรียนในประวัติศาสตร์ไว้ และอย่าให้คนรุ่นหลังเย้ยหยันได้" ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี น่าจะทำเป็นเยี่ยงอย่าง การที่ท่านเปา ได้รับยกย่องว่าเป็นประดุจเทพเจ้าแห่งความยุติธรรม ชาวจีนเชื่อว่า ท่านเปานั้น กลางวันตัดสินคดีความในมนุษยโลก กลางคืนไปตัดสินคดีความในยมโลก แล้วท่านเปา ท่านหน้าดำจริงหรือ ในบันทึกก็ไม่ได้กล่าวถึง แต่ในภาพเขียนดูท่าทางจะหล่อ ไกด์ก็บอกว่าท่านหน้าไม่ดำ แล้วทำไมในหนังถึงได้ดำละ ก็เพราะในการแสดงงิ้วนั้น สีหน้าของงิ้วจะบอกถึงลักษณะนิสัยตัวละคร ซึ่งสีดำ หมายถึง ความยุติธรรม สีขาว จะหมายถึงตัวโกง และสีแดง จะหมายถึง ความซื่อสัตย์ (เอ๊ะ แล้วหน้าแดง มันจะเป็นหน้าใครไปไม่ได้ ฮิๆ เก็บไว้เล่าตอนหน้าดีกว่า) จึงเป็นที่มาว่าทำไมในละคร ท่านเปาจึงหน้าดำ แต่บางคนก็เล่ากันว่า ท่านเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ บ้างก็ว่า ท่านเง็กเซียน ฮ่องเต้ ส่งท่านลงมาช่วยคน ด้วยท่านมีความดีอยู่แล้วในตัว หน้าตาก็เลยไม่ต้องหล่อมาก) สรุปก็เลยยังไม่รู้คะ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ท่านจะมีความดี ความซื่อ อยู่ในตัว แต่ท่านก็มีตัวช่วย ด้วยคะ ท่านเปาได้รับพระราชทาน เครื่องประหาร เป็นชุด จากพระจักรพรรดิ ในชุดเครื่องประหารประกอบด้วย เครื่องประหารหัวสุนัข สำหรับประหารอาชญากรที่เป็นสามัญชน เครื่องประหารหัวพยัคฆ์ สำหรับอาชญากรที่เป็นข้าราชการ และผู้มีบรรดาศักดิ์ และเครื่องประหารหัวมังกร สำหรับพระราชวงศ์

 

นอกจากนี้ ท่านเปา ก็ยังมี หวายทองคำ จากพระจักรพรรดิพระองค์ก่อน สามารถใช้เฆี่ยนตีสั่งสอนจักรพรรดิพระองค์ปัจจุบันได้ และกระบี่อาญาสิทธิ์ โดยให้มีอาญาสิทธิ์สามารถประหารผู้ใดก็ได้นับแต่สามัญชนจนถึงเจ้า โดยไม่ต้องขออนุญาต ประหารเสร็จแล้วค่อยไปทูล จึงเป็นที่มาของสำนวนจีนว่า "ฆ่าก่อน รายงานทีหลัง " (เซียนฉ่านโฮ้วโจ้ว) นอกจากท่านจะมีเครื่องมือดีๆ แล้ว ท่านก็ต้องมีคณะทำงานดีๆ ด้วย ได้แก่ องครักษ์ จั่นเจา ผู้มีวิทยายุทธเก่งกล้า มีที่ปรึกษาและเลขาที่ดี ดั่งมีขงเบ้งประจำตัว คือ ท่านกงซุนเช่อ  และมีลูกน้องซ้าย ขวาอีก 4 คน หวังเฉา, หม่าฮั่น, จางหลง และจ้าวหู่ เท่านี้ท่านก็ไร้เทียมทานแล้ว พูดเป็นลิเกไปได้ ทุกวันที่ศาลไคฟง ตอน 9 โมงเช้า ก็จะมีท่านเปาหน้าดำ (ปลอม) ออกมานั่งเปิดศาลรับเรื่องราว ร้องทุกข์

 

 

 

 

 

ด้านในมีการจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้ง และมี "ชิงซินโหลว" หรือ "บ้านใจบริสุทธิ์" เชื่อกันว่าเป็นจวนของท่านเปา เป็นหอสูงสี่ชั้น

 

 

 

ชั้นที่หนึ่ง มีรูปปั้นท่านเปา อยู่ รูปหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สูง 3.8 เมตร หนัก 5.6 ตัน นับเป็นรูปปั้นที่หนักที่สุดในเมืองจีน

 

สวนสวยในบ้านท่านเปา

อ้อ ลืมไปคะ ข้ามไปได้ไงไม่ทราบ ด้านหน้า มีก้อนหินจารึกชื่อของบรรดาเจ้าเมืองไคฟงตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะชื่อของท่านเปานั้น มีคนมาจิ้มซะเป็นหลุมเลยทีเดียว ก็ไม่รู้เริ่มจากใคร ที่ว่ากันว่า ถ้าใครที่มาถูกชื่อท่านเปา แล้วนิ้วไม่ดำ ก็ถือว่าเป็นคนดี แต่ถ้าแตะแล้วนิ้วติดสีดำออกมา คนนั้นก็คือคนไม่ดี ก็ป้ายจารึกมันเป็นหินสีดำอะ แต่ไปแล้วก็ไม่เห็นจะมีใครนิ้วดำกันเลยคะ สงสัยจะเป็นจุดขาย ให้คนมาพิสูจน์กันเยอะๆ ถ้ามาไคฟง แล้วเป็นคนดีหมดหรือไง ฮ่าๆ

 

ขอไปพิสูจน์ก่อนก็แล้วกันคะ ความเดิมตอนที่แล้ว  เที่ยวลั่วหยาง นครแห่งดอกโบตั๋น ตอน เทศกาลดอกโบตั๋น ครั้งที่ 30 ปี 2012

 

 

และติดตามตอนต่อไป ใครกันที่หน้าแดง

 ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย

 

 

 

 

 

 




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 14 มิถุนายน 2555 13:38:10 น.
Counter : 6847 Pageviews.  

เที่ยวลั่วหยาง นครแห่งดอกโบตั๋น ตอน เทศกาลดอกโบตั๋น ครั้งที่ 30 ปี 2012

งานเทศกาลดอกโบตั๋น จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 30 แล้วคะ อยากดูมาตั้งนานแล้ว เพิ่งจะสบโอกาส ตัดสินใจฉับไว มาได้ซะที จัดขึ้นในช่วงกลางเดือนเมษายนของทุกปี ก็ดอกโบตั๋นจะบานแค่ครั้งละ 7-10 วันเท่านั้น แต่เพื่อการท่องเที่ยวแล้ว เขาจัดกันเต็มๆ 1 เดือน นักท่องเที่ยวทั้งจีน ทั้งต่างชาติ ต่างแห่กันมาชมเทศกาลนี้ ถึงกว่าล้านคนทีเดียว







เมืองลั่วหยาง ถือว่าเป็นนครแห่งดอกโบตั๋น หรือเป็นบ้านของดอกโบตั๋น เลยคะ แต่ใช่ว่าดอกโบตั๋นจะปลูกที่อื่นไม่ได้นะคะ ยังปลูกกันมากที่เมืองเหอเจ๋อ ในมณฑลซานตง ปลูกได้ในยุโรป และที่อเมริกาเหนือด้วย



ในปัจจุบันมีการปลูกดอกโบตั๋นใน 20 กว่าประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา อิตาลี สิงคโปร์ เกาหลี ฮอลแลนด์ แคนาดา เป็นต้น



ดอกโบตั๋น (Peony) ในภาษาจีนเรียกว่า “หมู่ตัน” (牡丹) ส่วนภาษาญี่ปุ่นอ่านว่า “โบตัง”( (Botan) เป็นดอกไม้ที่มีคุณค่าสูงยิ่งในวัฒนธรรมของจีน ทั้งรูปร่างสวยงาม สีสันสดใส และมีกลิ่นหอมรัญจวน ในประเทศจีนนั้นยังเรียกดอกโบตั๋นว่า “富贵花” หรือดอกไม้แห่งความมั่งคั่งร่ำรวยด้วย



เดิมทีดอกโบตั๋นยังรู้จักกันไม่แพร่หลายนัก แค่ชาวจีนรู้กันว่าสามารถนำมาทำยาได้ รากของดอกโบตั๋น สามารถใช้ทำเป็นยารักษาโรคระดูผิดปกติในผู้หญิง โรคหืด โรคชักได้



และสารสกัดจากดอกโบตั๋นยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงดูแลให้ผิวชุ่มชื่น เปล่งปลั่ง และเมื่อนำมาผสมผสานสารสกัดจากมะละกอ และผลเบอร์รี่จากแคริบเบียน จึงออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวรอบดวงตา Eye Off Shade เจลใสที่ช่วยแก้ไขปัญหารอยคล้ำรอบดวงตา ช่วยให้ผิวรอบดวงตาคุณสดชื่น เปล่งปลั่ง





ดอกโบตั๋น สำหรับชาวจีนแล้ว สำคัญมากจนครั้งหนึ่งเคยได้เป็นดอกไม้ประจำชาติ ด้วยความที่มีดอกใหญ่อลังการ เลยเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเป็นผู้ดี ร่ำรวย และฐานะอันสูงส่ง

ในสมัยโบราณ ดอกโบตั๋นเป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในหมู่ชนชั้นสูง ซึ่งบางครั้งราคาประมูลขายกันแพงมาก จนสุดยอดกวีถังท่านหนึ่ง ชื่อ ไป๋จวีอี้ กล่าวไว้ว่า

"一丛深色花,十户中人赋" อี้ฉงเซินเซ่อฮวา สือฮุจงเหรินฝู้

ซึ่งหมายความว่า โบตั๋นเพียงไม่กี่ดอกยังมีมูลค่ามากกว่าเงินภาษีของชนชั้นกลางสิบคนเสียอีก



(ขอบคุณข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์)



มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยพระนางบูเช็คเทียน พระองค์เคยโปรดดอกโบตั๋นมาก สมัยนั้นโบตั๋นยังมีแพร่หลายในเมืองฉางอาน เมืองหลวงของจีนในสมัยนั้น หรือซีอานในปัจจุบัน

วันหนึ่งในฤดูหนาว พระนางบูเช็คเทียน เกิดอยากชมดอกไม้ขึ้นมา จึงออกคำสั่งให้ดอกไม้บานโดยพร้อมเพียงกัน มีแค่ดอกโบตั๋นเท่านั้น ที่ไม่ยอมบาน เนื่องจากเห็นว่าไม่ถึงฤดูกาล เมื่อดอกโบตั๋นไม่ยอมบาน พระนางฯ ก็โกรธมาก สั่งเผาอุทยาน แล้วให้ถอนรากถอนโคนดอกโบตั๋น เอาไปทิ้งที่เขาเป่ยหมาง ในเมืองลั่วหยาง

แต่ไม่คิดว่าโบตั๋นจะปลูกได้ดีที่นี่ ลั่วหยางก็เลยกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกโบตั๋นที่สำคัญไป และจากสาเหตุที่โดนเผา จึงกลายเป็นที่มาว่าทำไมต้นโบตั๋นจึงแห้งและมีสีเข้มเหมืองถูกไฟเผา





พันธุ์ดอกโบตั๋น ซึ่งมีหลักๆ 9 สี เช่น ดำ แดง เหลือง เขียว ขาว ม่วง ฯลฯ มีจำนวนมากถึงกว่า 1,100 พันธุ์ คิดเป็นจำนวนกว่า 40 ล้านต้น ในจำนวนนี้ที่สามารถเข้าชมได้คิดเป็นพื้นที่กว่า 4,000 โหม่ว มีจำนวนกว่า 10 ล้านต้น





โบตั๋นที่เขียวที่สุดคือ พันธุ์ “เขียวเมล็ดถั่ว” (สีใกล้เคียงกับเขียวใบไม้)




โบตั๋นที่ดำที่สุดคือพันธุ์ “หยกดำมงกุฎ” (สีม่วงเข้มจนออกดำ)

โบตั๋นที่มีกลีบดอกมากที่สุดคือพันธุ์ “ม่วงสกุลเว่ย” (ราว 600-700 กลีบ)






โบตั๋นที่แดงที่สุดคือพันธุ์ “ลูกกลอนทองหลอมอัคคี” (สีแดงเหมือนธงชาติจีน)





โบตั๋นที่ขาวที่สุดคือพันธุ์ “ขาวแสงรัตติกาล”









โบตั๋นที่สีออกฟ้าที่สุดคือพันธุ์“หยกหลานเถียน” (สีขาวอมฟ้า)

โบตั๋นพันธุ์สีสลับที่ดีสุดคือพันธุ์ “สองสาวพี่น้อง” (ในหนึ่งดอกมีสองสี)



(ข้อมูลจาก โลกแห่งการท่องเที่ยว)

ชมดอกโบตั๋น งามกันไปแล้ว แต่จริงๆ ในสวนยังมีดอกไม้อื่นๆ ให้ชมกันอีกมากด้วยคะ

ติดตามชมตอนหน้า เที่ยวเจิ้งโจว ตอน ไปศาลไคฟง คาราวะท่านเปาบุ้นจิ้น (ท่านเปาฯ หน้าดำจริงหรือ)

ความเดิมตอนที่แล้ว 
เที่ยวลั่วหยาง 1 ใน 7 อดีตราชธานีของแผ่นดินจีน ตอนมรดกโลก "ถ้ำผาหลงเหมิน"




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 8 พฤษภาคม 2555 11:56:39 น.
Counter : 12650 Pageviews.  

เที่ยวลั่วหยาง 1 ใน 7 อดีตราชธานีของแผ่นดินจีน ตอนมรดกโลก "ถ้ำผาหลงเหมิน"



สวัสดีคะ ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปนานเลย คราวนี้ก็เก็บตกอีกที ค้างมานานตั้งแต่สงกรานต์คะ

ไปลั่วหยางมาคะ

ลั่วหยาง อดีตราชธานีแห่งมณฑลเหอหนาน เคยเป็น 1 ใน 7 ราชธานีของแผ่นดินจีน

ลั่วหยาง มีประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี จาก 13 ราชวงศ์ มีกษัตริย์หรือฮ่องเต้เคยประทับอยู่ที่เมืองนี้กว่า 105 พระองค์ ด้วยชัยภูมิที่ตั้งของเมือง เป็นศูนย์กลางคมนาคม เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหาร

ลั่วหยาง ตั้งอยู่ริมฝั่งทางทิศใต้ของแม่น้ำฮวงโห ล้อมรอบด้วยภูเขา กึ่งกลางเป็นที่ราบ มีแม่น้ำถึง 4 สายไหลผ่าน จึงจัดเป็นที่ตั้งที่มีภูมิประเทศอันตราย แต่มีทิวทัศน์สวยงาม ผืนดินอุดมสมบูรณ์

ที่มีนี่ จะพาไปเที่ยวถ้ำผาหลงเหมิน หรือ หลงเหมินสือกู่ คะ

มรดกโลกทางวัฒนธรรม ปี ค.ศ.2000



ถ้ำผาหลงเหมิน เปรียบเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ ระหว่างรอยต่อยุคราชวงศ์เหนือสู่ราชวงศ์ถังอันรุ่งเรือง เป็นสัญลักษณ์แห่งความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนาพุทธ และเป็นแหล่งรวมงานศิลปะการแกะสลักหินชั้นสูงอีกแห่งหนึ่งของชาติ เทียบเคียงกับถ้ำผาม่อเกาคู ที่ตุนหวงในมณฑลกันซู่ และถ้ำผาหยุนกัง ที่ต้าถงในมณฑลซันซี



แต่กำเนิดของถ้ำผาหลงเหมินต่างจากถ้ำผาหยุนกังตรงที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริของจักรพรรดิ และยังได้รับการทะนุบำรุงจากจักรพรรดิเรื่อยมา มีส่วนที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยราชวงศ์ถัง ระหว่างรัชสมัยของฮ่องเต้ถังไท่จง หลี่ ซื่อหมิน และในสมัยพระนางอู่เจ๋อเทียน (บูเช็คเทียน)



ถ้ำผาหลงเหมิน มีอายุราว 1,500 ปี ใกล้เคียงกับถ้ำผาหยุนกังที่ต้าถง เริ่มก่อสร้างในรัชสมัยฮ่องเต้เสี้ยวเหวินตี้ (ค.ศ.471-477) ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง บูรณะ และต่อเติมยาวนานถึง 400 กว่าปี มีความยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ประมาณ 1 กิโลเมตร ปัจจุบันยังคงหลงเหลือถ้ำผาแกะสลักอยู่จำนวน 1,300 กว่าคูหา โพรงแท่นบูชา 2,345 ช่อง ศิลาจารึกสลักอักษรจีนและหมายเหตุบันทึกต่างๆอีก 3,600 กว่าหลัก รวมถึงเจดีย์พุทธ 50 กว่าแห่ง พระพุทธรูปสลัก 97,000 กว่าองค์

เรามาดูกันที่ไฮไลท์ของที่กันคะ ที่ "วัดเฟิ่งเซียน” คุ้มกับการปีนบันไดขึ้นมาคะ



"วัดเฟิ่งเซียน” เป็นช่องเขาขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนโบราณสถานทั้งหมดบริเวณถ้ำผาหลงเหมิน เป็นตัวแทนของศิลปะการแกะสลักหินแห่งราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-904) ตัวถ้ำกว้างยาวราว 30 กว่าเมตร รูปลักษณ์โดยรวมของกลุ่มงานแกะสลักที่วัดถ้ำเฟิ่งเซียนนี้นับว่าสมบูรณ์งดงามมาก



จุดเด่นคือ งานแกะสลัก พระพุทธรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูง 17.14 เมตร พระเศียรสูง 4 เมตร พระกรรณยาว 1.9 เมตร พระพักตร์อิ่มเอิบสมบูรณ์ นับเป็นเสน่ห์ของศิลปะสมัยราชวงศ์ถังที่หาชมได้ยาก



เขาว่ากันว่า พระพักตร์ของพระพุทธรูป คือหน้าของพระนางอู่เจ๋อเทียน (บูเช็คเทียน)



นอกจากนี้ยังมีศิลปะที่ผสมผสานจากศิลปะอินเดีย และยังรับอิทธิพลจากรูปแบบเฉพาะตัวของ ‘ศิลปะถ้ำหยุนกัง’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดศิลปะถ้ำของจีนขนานแท้ ยังสะท้อนให้เห็นถึง เสี้ยวหนึ่งของการเจริญเติบโตทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของจีนในยุคสมัยนั้นด้วย







ขอจบกันแค่นี้ก่อนนะคะ ไว้เจอกันใหม่ ตอน 2 ลั่วหยาง นครแห่งดอกโบตั๋น ตอน เทศกาลดอกโบตั๋น ครั้งที่ 30 ปี 2012

ขอบคุณข้อมูลจากผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2555 23:40:59 น.
Counter : 2543 Pageviews.  

สารพัดสัตว์ ที่อินเดีย



สวัสดีค่ะ มีรูปน้องหมา และตัวอื่นๆ ที่อินเดียมาให้ชมกันค่ะ

น้องหมาที่อินเดีย คงร้อนมาก ต้องขุดหลุมนอนกันค่ะ อุณหภูมิเกิน 36 องศาค่ะ อย่าว่าแต่น้องหมาเลย คนยังร้อน




2 ตัวนี้ เป็นน้องมาประจำสนามบินอินทิรา คานธี แห่งกรุงเดลลีค่ะ

ตัวต่อไปเป็นหมาบ้านนอกค่ะ แต่อยู่ในพระราชวังเลย ฮิๆ



ต่อไปเป็นกระรอกน้อย แห่งป้อมอัครา ค่ะ
ที่อินเดีย จะเห็นกระรอกอยู่มากมาย ตามพระราชวัง เพราะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ค่ะ






ส่วนนี่ มีให้เห็นทั่วไป ตามท้องถนนค่ะ


อีกอย่างคือ งู กะ แขก (จะตีแขกก่อน หรือตีงูก่อนดีน๊า)


คุณอูฐ ลากรถค่ะ เพราะใกล้ทะเลทราย


คุณ กา ก็มากะเค้าด้วย


คุณ จ๋อ ก็มีคะ


น้องช้าง โดนใช้งานหนักเลย แบกนักท่องเที่ยว เดินกันทั้งวัน ร้อนก็ร้อน


นกพิราบ มาเล่นน้ำพุค่ะ


จริงๆ ก็มีสัตว์อื่น อีกแหละ แต่ถ่ายไม่ทัน อยู่อย่างอิสระจริงๆ ค่ะ

งวดหน้าไว้ รอดูอีกนะค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาชมค่ะ

ขอบคุณ BG จาก window vista
logo น่ารัก จากคุณอ้อ ห้องต้นไม้ sisidea.com




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2554    
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 11:02:28 น.
Counter : 1311 Pageviews.  

อินเดีย...เยือนอนุสรณ์สถานแห่งรัก...ทัช มาฮาล



อนุสรณ์สถานแห่งรัก ...ทัชมาฮาล... ตั้งอยู่ใน เมืองอัครา (Agra) ซึ่งอยู่ห่างจากนิวเดลี เมืองหลวง ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 223 กม. เป็นเมืองสำคัญในสมัยของ Mughal ในช่วงศตวรรษที่ 16-17

ทัชมาฮาล" 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก แห่งประเทศอินเดีย


คนทั่วๆไปต่างรู้กันว่า เป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ความรักที่ไม่ลืมหูลืมตา และความเศร้าที่สุดแสนจะพรรณาของจักรพรรดิชาห์ ชหาน กษัตริย์องค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์โมกุล (Mughal Empire India) ที่ปกครองอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 16 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 19

พระเจ้าชาห์ ชหาน ได้พบกับ อรชุมันท์ พานุ เพคุม บุตรสาวของรัฐมนตรี เมื่ออายุ 14 พรรษา และหลงรักนางตั้งแต่แรกเจอ ต่อมาในอีก 5 ปี ทั้งสองก็ได้อภิเษกสมรสกันในปี พ.ศ.2155 ตั้งแต่นั้นมา ทั้ง 2 ก็ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย แม้กระทั่งพระองค์ออกไปรบ

พระเจ้าชาห์ ชหาน ตั้งชื่อพระมเหสีว่า "มุมตัช มาฮาล" อันแปลว่า อัญมณีแห่งราชวัง

ทั้งสองครองคู่กันมาเป็นเวลา 18 ปี มุมตัช มาฮาล ก็ได้ให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 แต่หลังจากให้กำเนิดพระธิดาพระนางตกเลือดมาก อยู่ได้เพียงไม่นาน พระนางก็สิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของพระเจ้าชาห์ ชหาน

เป็นที่มาของความเศร้าโศกเสียใจมากมายมหาศาลของพระเจ้าชาห์ ชหาน
อย่างมากมายมหาศาล พระองค์ไม่ทรงอยากทำอะไรเลย ทรงเศร้าโศกเสียใจอยู่ข้างหลุมศพอย่างกับคนเสียสติ

แล้วพระองค์ จึงทรงสร้างอนุสรณ์แห่งความรักของพระองค์กับพระมเหสี โดยทรงเลือกทำเลที่ดีที่สุดบริเวณริมโค้งแม่น้ำยมุนาเป็นที่ตั้งของอนุสรณ์แห่งรักนี้


พระองค์ ทรงทุ่มเทเวลา และทุนทรัพย์ทั้งหมด ในการสร้างสถานที่แห่งนี้ สร้างความไม่พอใจแก่หลายๆ ท่าน แม้กระทั่งพระโอรสของพระองค์

เพราะการสร้าง ต้องใช้แรงงานคนกว่า 20,000 คน กว่าจะสร้างเสร็จ ก็กินเวลานานถึง 22 ปี และพระองค์ก็ทรงให้ชื่อว่า "ทัชมาฮาล" (Taj Mahal)

ตัวอาคารล้อมรอบด้วยหออะซานทั้ง 4 ด้าน ทางเข้าด้านหน้าของอาคารตรงกลางเป็นหลังคาโค้งขนาดใหญ่ขนาบด้วยหลังคาโค้งขนาดเล็กทั้งสองด้าน และส่วนที่เด่นที่สุดของทัชมาฮาล ก็คืออาคารหินอ่อนสีขาวนวลตั้งอยู่บนฐานยกพื้นสี่เหลี่ยมจตุรัส


ด้านบนของอาคารประดับด้วยโดมขนาดมหึมา เส้นผ่านศูนย์กลาง 58 ฟุต ยอดโดมสูง 213 ฟุต ภายในห้องโถงกลางที่ใหญ่ที่สุดใต้โดมยักษ์แห่งนี้ มีแท่นวางพระศพที่ทำด้วยหินอ่อนของทั้ง 2 พระองค์วางเคียงคู่กัน แต่พระศพจริงๆ นั้นหาได้อยู่ในหีบไม่ แต่ถูกฝังอยู่ภายในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั่นเอง (ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ)

กลับมาต่อกันค่ะ พระโอรสที่ว่าไม่พอใจก็คือ เจ้าชายโอรังเซบ (Aurangzeb) ท่านก็ได้จับพระเจ้าชาห์ ชหาน ไปกักขังอยู่ที่ป้อมเมืองอัครา ซึ่งอยูฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับทัชมาฮาล ด้วยข้อกล่าวหาว่าพระองค์เสียสติ และขึ้นครองบัลลังก์แทน

ระหว่างที่ถูกกักขังพระองค์ทรงมองทัชมาฮาล และรำพึงรำพันถึงพระมเหสีตลอด 8 ปี

จนกระทั่งในปี ค.ศ.1666 พระเจ้าชาห์ ชหาน ก็สิ้นพระชนม์ โดยยังใช้เวลาทั้งวัน ในการจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล

จากนั้น พระโอรสของพระองค์ ก็ได้นำพระศพมาฝั่งไว้เคียงข้างพระมเหสีที่พระองค์รักใคร่มิเคยลืมเลือน

(ขอบคุณรูปจากกูเกิล ค่ะ)

นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่า หลังจากที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จสิ้นแล้ว พระเจ้าชาห์ ชหานทรงหลงใหลในความงามของทัชมาฮาล และเกรงว่าเหล่าสถาปิกผู้ร่วมออกแบบและผู้สร้างทั้งหลายจะไปออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงามเช่นนี้อีก จึงได้ทรงสั่งประหาร หรือตัดมือ ตัดขา ควักลูกตา ช่างทุกคนไม่ให้มีโอกาสได้สร้างผลงานที่สวยเท่านี้อีก


นี่คือ อนุสรณ์แห่งความรักอันยิ่งใหญ่ หรืออนุสรณ์แห่งความตายของประชาชนมากมายที่ต้องล้มตายเพื่อบูชาความรักของตนเองเพียงคนเดียว

ตามหลักศาสนาแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าพระองค์ไม่สร้างทัช มาฮาล ขึ้นมา เราก็คงไม่ได้มาชมของสวยๆ งามๆ แบบนี้นะค่ะ แล้วทุกวันนี้ทัช มาฮาล ก็มีคนจากทั่วโลกมาชมกัน ปีๆ นึงไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน

เรามาชมกันเลยดีกว่าค่ะ

จากปากทางที่ขายตั๋วเลยแล้วกันค่ะ หลังจากซื้อตั๋วแล้ว เราจะได้รับถุงกระดาษมาค่ะ ข้างในถุงก็จะมี น้ำ 1 ขวด และ หมวกอาบน้ำ (อะไม่ใช่ค่ะ) เป็นถุงสวมทับรองเท้าเวลาเข้าไปชมทัชมาฮาลค่ะ ก็เขากลัวหินอ่อนมันจะสึกอะค่ะ




จากนั้นเราต้องนั่งรถเข้าไปที่ประตูทางเข้าค่ะ ทางเข้าแยกชาย หญิง เพื่อตรวจหาวัสดุไม่พึ่งประสงค์ เพราะงั้นเวลาเข้าไป ห้ามเป๋าใหญ่ๆ เข้า ห้ามมือถือ เข้า และอื่นๆ


ผ่านเครื่องสแกนมาแล้ว เราก็เดินตรงมาเรื่อยๆ จะเจอประตูทางเข้าที่ทำด้วยอิฐสีแดง ส้ม


เข้าไปก็จะเห็นอาคารหินอ่อนสีขาวสะอาด อยู่ตรงหน้าค่ะ ราวกับประตูที่ผ่านมานั้น กั้นเขตแดนสวรรค์เชียวค่ะ


ไม่ใช่ว่าสวยที่สุดอย่างเดียวค่ะ แต่พระองค์ยังเลือกใช้วัสดุอย่างพิถีพิถันทุกขั้นตอน

ตั้งแต่ทางเดินนำสู่ตัวอาคารจะเริ่มต้นด้วยสวนขนาดใหญ่ซึ่งแบ่งเป็น 4 ส่วนที่สมมาตรโดยใช้ธารน้ำ 2 สายที่ก่อสร้างด้วยหินอ่อนเป็นตัวแบ่ง ในธารน้ำมีน้ำพุเป็นระยะ ตลอดแนวธารน้ำยังมีต้นสนปลูกเป็นแนวเรียงรายสวยงามนำสายตาไปสู่ตัวอาคาร


ตัวอาคารถูกตกแต่ง ลวดลายจะเป็นการตกแต่งแบบอิสลาม หลักๆแล้วจะมีลายเส้นอักษร ซึ่งสลักเป็นโองการต่างๆ จากคำภีร์อัลกุรอาน 22 ซูรอฮและยังมีรูปทรงเลขาคณิตและลวดลายดอกไม้ ทั้งยังมีการฝังพลอยที่มีค่าบนผนังด้วย เวลาใช้ไฟฉายส่อง แสงจะส่องทะลุหินอ่อนเข้าไปเห็น สีของพลอยอย่างชัดเจนเลยค่ะ








สวยๆ งามๆ ทั้งน๊านเลยค่ะ

ชมเสร็จ ขากลับก็อย่าลืมแวะช้อปปิ้งหินอ่อนกลับบ้านด้วยนะค๊า งานฝีมือ ดีๆ หินยิ่งแท้ ยิ่งแพง นะค่ะ ขอบอก แล้วยิ่งหลายละเอียด ก็ยิ่งแพงเข้าไปอีก ไอเราก็ชอบ เตะตา แต่ก็แบบว่าละค่ะ


ชมอนุสรณ์แห่งรัก กันไปแล้ว จุดต่อไป ก็ต้องไม่พลาดชมที่ "ป้อมอัครา" (Agrs Fort) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังพระเจ้าชาห์ ชหาน จนสิ้นพระชนม์ ป้อมอัคราแห่งนี้ ก็มีความสวยงามยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และก็ได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งด้วย


ป้อมอัครา หรือพระราชวังอัครา ซึ่งมีป้อมล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน ได้ถูกบันทึกว่ามีมาตั้งแต่ ค.ศ.1080 แล้ว ต่อมากษัตริย์อักบาร์ ได้ทำการปฏิสังขรณ์ และตกแต่งใหม่ด้วยหินทราย และศิลาสีแดงในปี ค.ศ.1565 ลักษณะของป้อมเป็นรูปโค้งครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ตั้งอยู่โค้งแม่น้ำยมุนา ซึ่งถือเป็นมุมที่มองเห็นทัชมาฮาลได้สวยที่สุดก็ว่าได้



ป้อมอยู่ภายในกำแพงสูงใหญ่ราว 70 ฟุต แบ่งพระราชวัง และตำหนักอันงดงาม ในอดีตเคยเป็นที่ทำการของทหาร พระราชฐานชั้นนอก สำหรับออกว่าราชการ และพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของกษัตริย์และเหล่าสนม




อาคารขาวๆ ที่เห็นนั่นคือ มัสยิด ประจำวังค่ะ

อาคารส่วนใหญที่ถูกสร้างในสมัยกษัตริย์อักบาร์ ผู้ซึ่งสถาปนาเมืองอัคราเป็นราชธานี

ศิลปะของป้อมอัคราก็สวยงามละเอียดประณีตผสมกันทั้งแบบพุทธแบบฮินดูแบบเปอร์เซีย


ส่วนพระตำหนักของพระเจ้าชาห์ ชหานนั้น สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลังอยู่ด้านหน้าของแม่น้ำยมุนา เพื่อที่จะได้สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ตลอดเวลา




ที่เห็นเป็นรั้วกั้นอยู่นั่นละค่ะ แต่อย่าเข้าใจผิดว่าเขาให้พระองค์อยู่แค่นั้น นะค่ะ อันนี้ทำขึ้นใหม่ เพื่อไม่ให้คนเข้าไปในพระตำหนักค่ะ ส่วนห้องข้างๆ กันนั้น เป็นห้องกระจกสี เขาก็ไม่ให้เข้าเหมือนกันค่ะ ก็ต้องส่องเอา


เพื่อนๆ คงได้ซึ้ง กับตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าชาห์ ชหาน ไปแล้วนะคะ เฮ้อ แล้วจะมีใครรักเราแบบนี้บ้างน๊า


ขอบคุณ ข้อมูลจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์




 

Create Date : 06 ตุลาคม 2554    
Last Update : 7 ตุลาคม 2554 9:55:49 น.
Counter : 2209 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  

Hi Aoy
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]






ยินดีต้อนรับจ้าSmiley
และขอบคุณเพื่อนๆ ที่หลวมตัวเข้ามาบ้านเรา



สวัสดีปีใหม่ ขอให้เบิกบานดั่งดอกไม้แรกผลิ
ขอบคุณ
ป้ามด BG เท้าสีฟ้า
tlcthai.com emo Ms.Bสาวขาโหด
และเพื่อนๆ ใจดีทุกคน








Got My Cursor @ 123Cursors.com
hits
Friends' blogs
[Add Hi Aoy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.