ผมชอบทำอาหาร ผมชอบท่องเที่ยว ผมชอบซักผ้า และผมรักแม่ที่สุดในโลก
ไอ้เรามันก็แค่คนบ้า ๆ บอ ๆ คนหนึ่ง
แต่เป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ที่ชอบทำกับข้าว ไม่ได้แค่ชอบทำ แต่ทำเก่งด้วย แต่เน้นหนักอาหารไทยและอีสาน อาหารฝรั่งไม่ไหว เกลียดการชั่ง ตวง วัด เป็นที่สุด
นอกจากเป็นคนบ้า ๆ บอ ๆ ยังไม่พอ ฟ้ากลั่นสวรรค์แกล้งให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายอีก ไม่รู้จะเคราห์ซ้ำกรรมซัดไปไหน ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายแบบธรรมดา แต่เป็นการมองโลกในแง่ร้ายแบบสุด ๆ คนอื่นอาจจะวัดการมองโลกด้วยน้ำในแก้ว คนไหนมองโลกในแง่ดีก็คงมองน้ำที่เหลืออยู่ แต่คนไหนที่มองโลกในแง่ร้ายก็คงมองน้ำที่พร่องไป แต่คนมองโลกในแง่ร้ายที่บ้า ๆ บอ ๆจะทะลึ่งกลางปล้องขึ้นมาว่า เฮ้ย แก้วสะอาดหรือเปล่าวะ แล้วนั่นน้ำดื่มหรือน้ำก๊อก เห็นภาพมะ เห็นภาพมะ เห็นภาพมะ ? อย่าให้ต้องฉายซ้ำนะ เกลียดการต้องพูดอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ
แต่โชคดีที่นรกยังไม่ร่วมลงทัณฑ์ พอจะเหลือข้อดีไว้ก็ตรงที่เป็นคนคิดบวก เลยกลายเป็นว่าต้องเป็นลูกเสี้ยวหลายอารมณ์ ทั้งมองโลกในแง่ร้าย ทั้งบ้า ๆ บอ ๆ ทั้งคิดบวก กรณีข้างต้น หลังจากที่เพ่งพินิจแล้วว่าแก้วสะอาด แล้วน้ำเป็นน้ำดื่ม ก็แค่หิวก็ดื่ม ไม่หิวก็ดื่ม จะเม็ดเยอะทำไม แค่ถามก่อน กลัวเอาชามตักข้าวหมามาตักน้ำก๊อกให้กิน เดี๋ยวจะพาลขี้ไหล ต้องหามดหาหมอ เสียเงินเสียทองอีก
ดื่มน้ำเยอะ ๆ นอกจากจะทำให้ปวดฉี่บ่อยยังช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งปรับสมดุลย์ในร่างกาย ปากไม่แห้ง ไม่ร้อนใน แต่ดื่มน้ำเยอะเกินไประวังน้ำเป็นพิษนะจะบอกให้ (ยังอุตส่าห์จะมาจับผิด มองโลกในแง่ร้าย) อาการน้ำเป็นพิษ คือ การดื่มน้ำมากเกินไป จนทำให้เกลือในร่างกายไม่สมดุลย์ เลือดแดงก็จะเอ๋อ ๆ (อธิบายแบบง่าย ๆ นะ อยากรู้ถามหมอก็แล้วกัน)
หลายคนที่รู้จักกันแบบผิวเผินคงรำคาญว่าอีนี่แม่งจะติอยู่ตลอดเวลาไปทำไม ขอเม้าส์หน่อยเหอะว่านางเหล่านี้คงเจอพวกลูกอีช่างติบ่อยเลยคิดว่าใคร ๆ ก็เป็นแค่ลูกอีช่างติคนหนึ่ง แต่บอกแล้วไงว่าเป็น "คนมองโลกในแง่ร้ายที่บ้า ๆ บอ ๆ แต่คิดบวก " ติอย่างเดียวซะเมื่อไหร่ เราคิดเผื่อไว้ด้วยเสร็จสรรพ วางแผนทั้งทีจะต้องมีแผน A แผน B แผน C สำรองไว้ตลอดเวลา และมักจะมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปมองข้าม ข้อดีข้อนี้แหละที่เจ้านายสุดเท่ห์ปลื้มมาก เพราะไม่ว่างานไหนรอยรั่วต่าง ๆ หรือสถานการณ์ฉุกละหุกจะโดนปราบซะเหี้ยน หลายครั้งปราบเหี้ยนไปหน่อยจนกระทบกระทั่งหลายคน แต่ท้ายที่สุดเมื่อแผน B แผน C ของแผลงฤทธิ์อีพวกเหี้ยนทั้งหลายก็เลิกหมั่นไส้ แล้วตรัสรู้หมู่ร่วมกันว่า เออ อีนี่มันเป็น "คนมองโลกในแง่ร้ายที่บ้า ๆ บอ ๆ แต่คิดบวก" ไม่ได้เป็นลูกอีช่างติอย่างที่พวกนางจิ้นไว้ตอนแรก
ข้อเสียทั้งหมดทั้งมวล ไม่รู้มันสุมมาจากทิศไหน เยอะแยะไปหมด แต่เรื่องคิดบวกและอารมณ์ดีนี่มาจากแม่ล้วน ๆ ถ้าลองให้เล่าถึงแม่ให้เห็นภาพ ... ยากแฮะ เหมือนโอปอล์มั๊ง แต่เป็นเวอร์ชั่นอีสาน และชอบหมอลำ แม่แค่เกิดมาเร็วเกินไป สมัยนั้นสังคมคงไม่ขำกับความแรงของแม่ ถ้าแม่มาโตเป็นสาวเอายุคนี้นะ โอปอล์ ก็โอปอล์เหอะ ไมได้แอ้มแม่ฉ้านหรอก
"แม่ ณ วันนี้ ซื้อมงกุฎมาให้หลานสาว แต่แม่แฮ๊บมาใส่เองซะงั้น ชีแรงโอปอลล์ยังต้องหลบ"
เกริ่นมาซะเยิ่นเย้อ ยืดยาว ก็แค่อยากจะบอกว่าสามสิบห้าวันที่ผ่านมา เพิ่งรู้สึกตัวว่าเราก็รักแม่ไม่แพ้ใคร เรื่องของเรื่องแม่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ไปเดินจ่ายตลาดแล้วลื่นหกล้ม อารมณ์ห่วงของกินที่ถือไว้เลยไม่ทิ้งข้าวของ ก้นเลยกระแทกกับพื้น (ชอบเดินจ่ายตลาด นิสัยนี้ก็ได้จากแม่มาเหมือนกัน) โชคดีคลินิคหมอกระดูกเจ้าประจำอยู่แถวนั้น แม่เลยเดินแวะไปเช็คซะหน่อย แต่ถุงกับข้าวกับปลา และสินค้าราคาถูกยังอยู่ดีครบ ไม่กระทบพื้นซักถุง ตอนแรกก็ยังไม่เจ็บ (สงสัยมันจะเจ็บจนชา) เลยไม่เป็นอะไร แต่พอเดินถึงคลินิค (ราว 500 เมตร) เท่านั้นแหละเริ่มปวดหละ พอหมอจับ x-ray เท่านั้นแหละ ชีถึงขั้นโอดโอย จะโทรหาเตี่ยก็ไม่ได้ กลัวเตี่ยดุว่างกของกินไม่ห่วงชีวิต ( นิสัยนี้ก็ได้จากแม่มา 555+) เลยนอนโอดโอยอยู่นั่นแหละตั้งนานสองนาน จนสุดท้ายเตี่ยคงกลัวจะเหมาตลาดเลยโทรตาม ชีเลยสารภาพเสียงอ่อย พร้อมทูลความจริงทั้งหมดให้รู้ เตี่ยไม่ดุ ไม่โกรธ แต่รีบมาหาแม่ที่คลินิค แล้วพาแม่ไปโรงพยาบาล พอถึงโรงพยาบาลปุ๊บ หมอสั่งให้เข้า ICU ทันที นอนในนั้นตั้ง 1 คืน (ตอนนี้แหละที่เตี่ยโทรมาบอกว่าแม่ไม่สบาย แต่ไม่ได้บอกว่าเข้า ICU) ไอ้เราก็นึกว่าเข้าโรงพยาบาลเพื่องัดดั้ง เลยบอกเตี่ยว่า ก็ดีแล้ว เฝ้ากันสองตายาย คิดซะว่าฮันนีมูนรอบสอง พอตอนเช้าแม่ออกจาก ICU แต่หมอสั่งให้นอนพักที่โรงพยาบาลหนึ่งเดือน โดยที่ต้องนอนนิ่ง ๆ อย่างเดียว ขยับได้ แต่ต้องขยับแบบท่อนซุง จินตนาการออกมะ ? ที่ต้องทำตัวแข็ง ๆ พลิกได้แต่ซ้ายขวา กิจวัตรประจำวันทุกอย่างที่มนุษย์พึงกระทำในแต่ละวันต้องทำบนเตียงคนไข้ในสภาพท่อนซุงทั้งหมด ลุกจากเตียงก็ไม่ได้
ตอนนี้แหละที่เตี่ยเพิ่งโทรมาบอกว่าแม่อาการหนักเอาเรื่อง ที่ไม่บอกตอนแรกเพราะกลัวเราจะเสียการเสียงาน ได้ยินเตี่ยพูดน้ำตาอาบแก้มเลย สงสารแม่จับใจ ณ อารมณ์นั้นไม่ห่วงแล้วงานหรือเงิน หาตั๋วกลับบ้านอย่างด่วน (เหตุการณ์เกิดที่สกลนคร แต่อีตัวลูกทำงานที่กรุงเทพ) ตั๋วเครื่องบินทุกสาย และทุกปลายทางที่ใกล้ ๆ แถวนั้นเต็ม ตั๋วรถทัวร์ก็เต็ม เตี่ยโทรมาตอนบ่ายสาม หกโมงแล้วยังหาตั๋วไม่ได้ นั่งซึมคิดถึงแม่อย่างแรง โอ๊ย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ร้อนรน สุดท้ายเช็ค บขส. อีกรอบ มีคนยกเลิกตั๋ว VIP รอยทุ่มครึ่ง โอ๊ยยยยยย พระสัมมาทรงโปรด บึ่งไป บขส. แบบไม่คิดชีวิต ตลอดทางนั่งกระวนกระวาย นอนไม่หลับ ตีห้าถึงที่หมาย เราลงจากรถทัวร์แบบตัวสั่น ๆ เพราะไม่คิดว่ามันจะหนาว อารมณ์ห่วงแม่เลยรีบ ๆ ไม่ได้เผื่อเสื้อกันหนาวมาด้วย เตี่ยมารอรับที่ท่ารถ เตี่ยไม่พูดอะไร เราก็ไม่มีอารมณ์ถาม สองคนพ่อลูกเงียบ... อากาศที่สกลนครวันนั้นหนาวมาก ( 5 ธันวาคม 2551) หนาวจนมือชา หน้าชา ปากสั่น ตาแดง อาการทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะความหนาว ยกเว้นอาการสุดท้าย เตี่ยมองหน้าเราแล้วก็คงไม่กล้าพูดอะไร เพราะตั้งแต่จบประถมบ่อน้ำตาก็แห้งแบบกึ่งถาวร ไม่เคยร้องไห้ให้เตี่ยเห็นเลย แกล้งแสดงเป็นคนเข็มแข็งตลอด เพราะตั้งแต่ ม.1 ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว ชีวิตระเห็จระเห โดนเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ตลอด เพราะช่วงนั้นที่บ้านจน ทำมาหากินอะไรก็เจ๊งหมด ชาวบ้านแถวนี้ชอบคิดว่าบ้านเรารวยมาก เพราะนามสกุลเดียวกับเจ้าสัวใหญ่เมืองสกล ที่จริงก็ลุง ป้า น้า อา กันทั้งนั้นแหละ ไม่รวย ก็รวยมาก ไม่งั้นก็รวยมาก ๆ ทุกคนค้าขายรวยหมด มีเตี่ยนี่แหละอยากรับราชการ ไปเราเลยต้องพึ่งบ้านญาติ ไปขออาศัยเค้าอยู่เหมือนเป็นบ้านตัว ญาติแต่ละคนรักเรามาก ก็แหมลูกชายคนโต แถมบ้านคนจีนตระกูลใหญ่อีกต่างหาก ใครจะไม่โอ๋ ยิ่งลุง ป้า น้า อา โอ๋ราทำไหร่ เรายิ่งเจียมตัว บางทีเค้าเลี้ยงเราดีกว่าลูกสาวบ้านเค้าซะอีก ให้ใช้แต่ของดี ๆ ให้กินแต่ของดี ๆ
จนตอนเรียนมหาลัยก็เสร่อเอ็นท์ติดที่เชียงใหม่ ไกลบ้านซะอีก เลยต้องทำเป็นมั่น พึ่งพาตัวเองได้ กลัวเตี่ยกับแม่จะเป็นห่วง ลำพังเครียดเรื่องธุรกิจ สองคนตายายก็แอบกอดคอกันร้องไห้ประจำ แต่ไอ้เราดันทะลึ่งแอบเห็น เลยไม่อยากทำตัวเป็นภาระเพิ่มเข้าไปอีก จะร่อนเร่พเนจรยังไงก็ไม่เคยปริปากบ่น วัลลีสู้คนตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
สิบนาทีจากท่ารถถึงโรงพยาบาล เตี่ยเดินนำ เราเดินตาม ตอนนั้นตัวสั่นหละ น้ำตาเริ่มเอ่อ ถึงหน้าห้องเตี่ยเดินเข้าไปก่อน เราบอกแป๊บนะ เดี๋ยวตามเข้าไป เตี่ยคงเข้าใจว่าโมเม้นท์นั้นเราจี๊ดขนาดไหน เลยพยักหน้าไม่ถามอะไรเพิ่มเติม ยืนจูนอารมณ์หน้าห้องอยู่พักใหญ่ จนได้ยินเสียงแม่ถามเตี่ยว่าลูกไปไหน ไปรับลูกแล้วทำไมกลับมาคนเดียว สูดหายใจเฮือกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกใหญ่ แล้วเปิดประตูเข้าไป ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำหน้ายิ้ม ๆ แต่พอเห็นแม่อยู่บนเตียง กับอุปกรณ์ระโยงระยางเต็มไปหมดเลยแสร้งยิ้มไม่ไหว ไม่ได้ปล่อยโฮออกมา แต่น้ำตามันร่วงกรูเหมือนมีใครมาไขท่อน้ำดับเพลิง ภาพนั้นคงช๊อคทั้งเตี่ยทั้งแม่ เพราะคงไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้ แม่ทำหน้าตกใจ ในขณะที่เตี่ยทำหน้าเข้าใจ สามคนพ่อ แม่ ลูก นิ่งเงียบนานมาก พ่อยืนอยู่หน้าห้องน้ำหันหลังไปด้านระเบียง ไม่รู้ว่าไม่อยากมองคนขี้แยหรือตัวเองหันไปร้องไห้บ้าง ไอ้เรารึก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตู กระเป๋ายังไม่ได้วาง แต่แอบเห็นว่าเตี่ยหูแดงมาก แล้วยกมือปาดตา อืม ร้องไห้เหมือนกันแฮะ ไม่รู้ว่ายืนประจัญหน้ากับเตี่ยเหมือนดีว่ากำลัง battle กันด้วยเสียง vocal นานเท่าไหร่ (อันนี้ไมได้แหกปากแข่งกัน แต่น้ำตาไหลแข่งกัน)
สุดท้ายแม่คงทนไม่ไหว ตะโกนออกมาว่า "ยัง ยัง ฉันยังไม่ตายยยยยยยยยยยยยยย"
"คนป่วย แต่ยังมองโลกในแง่ดี"
ดีว่าสองฝั่งเลยเลิกร้องไห้ หัวเราะก๊ากออกมาทั้งน้ำตา จังหวะนี้แหละที่เราแอบเห็นเตี่ยน้ำตาอาบแก้มเหมือนกัน ณ โมเม้นท์นั้นเหมือนลอยเขว้งขว้างอยู่ในห้วงจักวาลแล้วหล่นตุ๊บมากลางพระราม 9 คาเฟ่ยุครุ่งเรือง (บอกแล้วแม่คือต้นแบบชองโอปอล์ตัวจริง) สองพ่อลูกรีบปาดน้ำตา เรารีบวางกระเป๋า ปาดน้ำตา พุ่งเข้าไปกอดแม่ เตี่ยทำเนียน บอกว่าปวดฉี่ ๆ เดินเข้าห้องน้ำซะงั้น (สงสัยจะไปล้างคราบน้ำตา)
ห้านาทีเต่อมาตี่ยออกมาจากห้องน้ำ เลยขอชักภาพแห่งความประทับใจ
"แม่หน้าเบลอเพราะมอร์ฟีนของเก่ายังไม่หมดฤทธิ์ ลูกตาเบลอเพราะน้ำตาท่วม"
สงสารแม่จับใจ ต้องนอนเป็นขอนไม้ ขยับทีก็โอย โอ๊ย โอย ทุกครั้งที่แม่โอย แม่งเจ็บแปร๊บเข้าหัวใจเราทุกที อยากจะเจ็บแทนแม่จริง ตอนนั้นหกโมงกว่า ๆ ได้ยินแม่ร้องเจ็บ เราก็ร้องไห้ เลยต้องไปนอนตะแคงหันหลังให้แม่บนเตียงญาติคนไข้ที่อยู่ติดกัน แกล้งทำเป็นหลับ แต่หูได้ยินตลอดเวลา แม่ร้องให้เตี่ยไปตามหมอมาฉีดมอร์ฟีนให้ทุก 10 นาที แต่เตี่ยเสียงแข็ง บอกว่า "ไม่" ตอนแรกเราก็เอ๊ะ เตี่ยจะใจร้ายไปมั๊ยเนี่ย เป็นเราคงใจอ่อนไปแล้ว กะว่าจะลุกขึ้นมาจากการแกล้งหลับแล้วไปตามพยาบาลมาฉีดมอร์ฟีนให้แม่ แต่ต้องเปลี่ยนใจแกล้งหลับต่อ ตอนได้ยินเตี่ยบอกว่า "ฉีดมอร์ฟีนก็ไม่เจ็บซิ เดี๋ยวก็เผลอขยับตัว เดี๋ยวเป็นอัมพาฒตลอดชีวิตทำยังไง" ฟังเหตุผลของเตี่ยแทนที่จะสบายใจ ร้องไห้หนักกว่าเดิมทั้ง ๆ ที่แกล้งหลับ ตอนแรกสงสารที่แม่เจ็บ แต่ตอนนี้สงสารเตี่ยที่ต้องทนใจแข็ง เตี่ยก็คงสงสารแม่จับใจไม่แพ้เรา เผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ มาตื่นอีทีตอนได้ยินเสียงเตี่ยกับแม่หัวเราเสียงดังลั่น
งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมา โอ้ววววว ภาพนี้ไม่ได้เห็นมานาน
ขอแช๊ะภาพเก็บไว้หน่อยก็แล้วกัน !
Create Date : 20 มกราคม 2553 | | |
Last Update : 24 มกราคม 2553 15:43:38 น. |
Counter : 611 Pageviews. |
| |
|
|
|