Life goes on. เมื่อเราชนะ อย่าลืมมองหาผู้พ่ายแพ้ และอย่าได้เหยียบย่ำไปมากกว่านั้น และเมื่อเราแพ้ จงมองหาผู้ชนะ เคารพ และเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
Group Blog
 
All Blogs
 

ประเด็นเรื่องการ "สอบกันที่"

หลายคนออกมาแสดงความเห็นว่าพวกสอบกันที่น่ะ เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่สนใจคนอื่นที่เค้ายังไม่มีที่เรียน บลาๆๆ

จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวเลย แต่เป็นเพียงการ play safe เท่านั้น ใครๆ ก็อยากมีที่เรียนสำรองไว้แน่ๆ
- เกิดตอนสอบหมอเราป่วยล่ะ ?
- เกิดเราสอบหมอไม่ได้ล่ะ

จริงๆ แล้วสามารถอ้างทฤษฎีเกมได้ - ทฤษฎีที่ว่าด้วยกรณีที่มนุษย์ต้องการประโยชน์สูงสุดให้ตัวเองจะทำอะไรยังไง เรื่องนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่ง




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 15:13:05 น.
Counter : 679 Pageviews.  

โครงการพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์

โครงการพัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ หรือเรียกกันทั่วๆ ไปว่า Gifted วิทย์ (ขอใช้ "กิ๊ฟวิทย์" ละกัน)

ในวันนี้ ผมจะเล่าประสบการณ์เกือบสามปีของผมใน กิ๊ฟวิทย์ โรงเรียนชื่อดัง นั่นคือ เตรียมอุดมศึกษา

ผมเชื่อว่าเกิน 60% ของคนทั่วๆ ไปจะมองพวกเด็กกิ๊ฟวิทย์อย่างผมเนี่ย เป็นพวก เก่งกล้าสามารถ บ้าเรียน ขยัน แข่งขันกันเรียน เนิร์ด อ่านหนังสือเป็นตั้งๆ
คุณคงเดาต่อกันได้ ว่าผมจะบอกว่า "ผิด ไม่ใช่อย่างนั้น"
ใช่แล้วครับ มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ในสังคมกิ๊ฟวิทย์ที่ผมอยู่มาสามปี รวมถึงรุ่นพี่และรุ่นน้องในโครงการด้วย

โอเค ต้องยอมรับว่า อืม คนที่เก่งแบบ เก่งเทพ สอบมหาลัยต่อให้ไม่อ่านหนังสือก็ยังติดคณะอันดับต้นๆ ของประเทศเลย ก็มีครับ
พวกขยัน บ้าเรียน อ่านหนังสือเป็นตั้งก็มีครับ
แต่พวกเล่นๆ ขำๆ ชิวไปวันๆ ก็มีครับ

มีทุกประเภทแหละครับเหมือนสังคมในโรงเรียนโดยรวมๆ มีคนทุกประเภท

ปัญหายิ่งใหญ่สำหรับเด็กกิ๊ฟวิทย์อย่างผมเนี่ยคืออะไร?
ปัญหาก็คือ ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกจะไม่เข้าใจน่ะสิครับ เอะอะก็ "เฮ้ยเด็กกิ๊ฟวิทย์ๆ" แล้วก็ตั้งความคาดหวังต่างๆ นานา
สำหรับเพื่อนกันเอง ไม่เท่าไหร่หรอกครับ โดยทั่วไปก็แค่ "โหย แกอยู่กิ๊ฟวิทย์ เก่งว่ะ" อะไรแบบนี้

แต่ที่เป็นปัญหายิ่งใหญ่ก็คือ บรรดาครูอาจารย์ผู้สอนครับ

"เนี่ย ทำไมเด็กกิ๊ฟวิทย์ ถึงได้คุยกันมากขนาดนี้นะ คิดว่าตัวเองเก่ง จะหยิ่งยโสกันไปถึงไหนฮะ ! ไม่ฟังครูบาอาจารย์เค้าสอนกันมั่งเลย เอาแต่คุยกันเอง" และแล้วก็มีหลายครั้งที่ (ขอใช้คำนี้นะครับ) งอน แล้วไม่ยอมสอน
"มีชื่อว่ากิ๊ฟวิทย์ ทำไมไม่ได้เก่งกว่าห้องอื่นเล้ย"
ให้โจทย์ยากๆ มาเพราะคิดว่าเป็นกิ๊ฟ
"เนี่ยนะ ทำไมคะแนนเฉลี่ยห้องออกมาได้แค่นี้เองล่ะ"
"งบประมาณ โรงเรียนก็จัดไปให้ตั้งเยอะแยะ ไม่เห็นจะได้เรื่องเล้ยกิ๊ฟวิทย์เนี่ย ยุบไปดีกว่ามั้ง"
"ทำไมเนี่ย ไม่เห็นได้ทุนเหมือนกิ๊ฟเลขเค้าเลย"

ผมอยากบอกคำเหล่านี้ต่อหน้าอาจารย์ท่านจริงๆ เลย
"ยุบเลยสิครับ ถ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์"
"อาจารย์เคยลองมองดูวิธีการคัดเลือกเด็กเข้ามาในห้องกิ๊ฟวิทย์รึเปล่าครับ?"
"เคยลองดูจริงๆ จังๆ มั้ยครับว่า งบฯ ที่ได้ไปไปอยู่ตรงไหนบ้าง?"

เหอๆ ยิ่งๆ หลังๆ มานี่ Lab ก็ไม่ได้ทำ บรรยายพิเศษก็ไม่มี ที่พวกเราๆ ต่างจากห้องธรรมดาไม่กี่อย่างคือ เราต้องทำโครงงาน อยู่ห้องเดิมสามปี และก็เรียนจบวิทย์สามตัวใน 5 เทอม ซึ่งก็ ทำให้เรากลับบ้านกันเย็นๆ ตอน ม.5 เทอมสองอีก

เรื่องโครงงาน ผมเชื่อว่าไม่ควรบังคับการทำโครงงาน แต่น่าจะเปิดกว้างมากกว่า เพราะโครงงานจะเกิดขึ้นได้ต้องมีปัญหา และมีผู้ที่ "สนใจ" ในปัญหานั้นๆ ไม่ใช่ว่าเออ จับใครมาทำก็ได้ เหมือนงานงานนึง ถ้าคนทำไม่มีใจจะทำ ให้ตายมันก็ออกมาไม่ดีหรอก
แล้วก็ปัญหามันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ ทั่วๆ ไปนะครับ ยังต้องคำนึงถึงขอบเขตของปัญหาว่า ถ้าต้องใช้วิชาระดับสูงเกินไปก็ทำไม่ได้อีก แล้วก็บังคับให้มีความคืบหน้าเป็นระยะๆ แล้วเด็กก็ต้องพยายามไปหาอะไรมาให้ดูว่าคืบหน้า พอตรวจครั้งถัดไป แต่พบว่าโครงงานเดิมทำต่อไม่ได้(อาจจะด้วยว่าอุปกรณ์ขาด หรือไม่มีความรู้ความเข้าใจในด้านนั้น และต้องการเวลามากในการศึกษาหรือเหตุใดก็ตาม) ก็เปลี่ยนโครงงาน พอเปลี่ยนก็โดนว่าอีกว่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจะเสร็จหรือเปล่า
ปัญหายังรวมถึงอาจารย์บางท่าน ไม่มีประสบการณ์ด้านการทำโครงงานเลย (ผมเคยประกวดโครงงานมาสองครั้ง อ่านงานวิจัยมาบ้าง ผมเชื่อว่าผมพอจะรู้ว่าโครงงานเค้าทำและเค้าประเมินกันยังไง) แต่ได้เป็นผู้ประเมินตอนนำเสนอโครงงาน (อาจจะเพราะอาจารย์มีจำนวนน้อยก็เลยถูกบังคับเข้ามาในคณะกรรมการก็อาจเป็นได้)
แต่จะว่ายังไงได้ เพราะจุดประสงค์หลักของกิ๊ฟวิทย์ก็คือให้เด็กรู้จักทำโครงงานซะมากกว่า

การเรียนจบวิทย์ใน 5 เทอมก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย คือเราต้องกลับบ้านเย็น แต่ก็มีเวลาว่าตอน ม.6 เทอมสองเป็นการชดเชย

ส่วนที่สำคัญและมันขาดหายไปคือ การบรรยายพิเศษ และการทำกิจกรรมพิเศษ สมัยผมอยู่ ม.4 ผมได้ฟังบรรยายพิเศษ หลายหัวข้อด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางด้านการผลิตนู่นนี่ แคลคูลัส นาโนเทคโนโลยี forensic science ฯลฯ แต่ว่ารุ่นน้องของผม ซึ่งอยู่ ม.4 ปีนี้ แทบจะไม่ได้ฟังบรรยายพิเศษอะไรเลย ทำ Lab แปลกๆ ที่ในห้องเรียนไม่มีให้ทำก็ไม่มี

ส่วนเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับชื่อเสียงของโครงการ
วิธีการคัดเลือกไม่ได้คัดจากคะแนนสอบวิชาวิทยาศาสตร์ซะทั้งหมด (ไม่รู้ว่าคัดยังไง แต่ข้อสอบที่คัดเป็นข้อสอบประเภทประเมินความคิดความอ่านมากกว่า) แล้วที่โดนอาจารย์ว่าก็ว่าด้วยเรื่องคะแนนสอบวิทยาศาสตร์ในห้องได้ไม่ดีกว่าห้องอื่นๆ ทำไมล่ะ? อ้าวก็ไม่ได้คัดด้วยข้อสอบวิทยาศาสตร์แบบที่สอบในห้องนี่ แล้วมันจะได้คะแนนดีกว่าห้องอื่นได้ยังไงเล่า ?

และเรื่องที่ถูกว่าว่าคุยเก่ง ไม่ฟังอาจารย์สอน หยิ่งยโสเนี่ย
โอเคยอมรับว่าห้องผมคุยเก่ง แต่เพราะอะไร?
ผมเชื่อว่าส่วนหลักๆ คือ ห้องผมอยู่ด้วยกันสามปี เพราะงั้นจึงสนิทกันมากกว่าห้องอื่น แต่ใช่ว่าคุยกันแล้วจะหมายถึงความหยิ่งยโสไม่ฟังอาจารย์กัน นั่นเป็นการสรุปที่ไม่ถูกต้องเลย

. . . ไว้มาต่อครับ ดึกแล้ว




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2552    
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2552 0:47:54 น.
Counter : 359 Pageviews.  

การไปทำใบ สด.9

ต้องอายุ 17 (ดูแค่ปีเกิด เอาเลขปีมาลบ อย่างปีนี้ 2552 คนเกิด 2535 ก็ไปทำได้ ไม่ต้องรอผ่านวันเกิด)
ต้องเตรียม
- ทะเบียนบ้าน -> เอาหน้าที่มีชื่อเราและชื่อพ่อ พ่ออยู่เขตไหนไปทำเขตนั้น
- บัตรประชาชน
- ใบเกิด(สูติบัตร)
เอาตัวจริงไปให้หมดสามอย่าง
ไปหาสัสดีเขต เค้าจะดูนู่นดูนี่ เช็คความถูกต้องของ ID มั้ง
แล้วก็จะให้กรอกฟอร์มสองสามแผ่น ก็กรอกไป ระวังกรอกผิด บางที่กรอกยาก ต้องดูเลขตรงนี้ตรงนั้น ไม่ชัวร์ก็ถามเค้าเอา
แล้วก็นั่งรอ เค้าไปพิมพ์ลงคอม แล้วก็ปั๊มลายนิ้วมือ แล้วก็เอาไปให้ฝ่ายปกครองเซ็น ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ กลับบ้านได้
ได้ภายในวันเดียวเลยครับ เอาของไปให้ครบ ไม่ต้องมีสำเนา




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2552    
Last Update : 7 ตุลาคม 2552 8:26:44 น.
Counter : 916 Pageviews.  

บทความคัดลอกจาก GAT ครั้งที่ 1 สะท้อนห้องเรียนในประเทศไทย

*สะท้อนห้องเรียนในประเทศไทยจริงๆ นะครับลองมาดูกัน

In a social studies class, the teacher and her students are discussing and exchanging their ideas and opinions about the study of decentralization.

A : Well, I'd like somebody in this class to read this question for me, please?
B : I'll do it. 'Why do you think people should decentralize from Bangkok?'
A : Right, 'Why do you think people should decentralize from Bangkok?' The word 'decentralize' : What do you think the word 'decentralize' means? Walai, have you a go at that? It's a tough one.
B : Um, when people move out of Bangkok to live somewhere else.
A : That's right. Move out of Bangkok. Good girl.
C : Move out of Bangkok to live in different provinces.
A : And when people have to decentralize, they've got to think about their businesses, or even their specific purposes. Do you agree with that?
B : Yes. We may have to focus on their family members like their children.
C : Right, I'm also thinking about their social economic status as well as their children's education. It's so important, isn't it?
D : Yeah.
A : Now, who could just quickly put up their hands and tell me one reason why they think people might decentralize from Bangkok? I can think of lots.
B : Well, because of higher rental payment and inflation.
C : Exactly. As a matter of fact, decentralization is a serious situation for most lay people when making this decision.
A : So, this question here needs to be carefully answered. There are a lot more answers besides social economic status, education, family needs, and I'd like all of you to complete this discussion within this period.

- ผมคิดว่า A เป็นครู แล้วที่เหลือเป็น นักเรียนหมดนะครับ
คือผมคิดว่ามันดูเหมือนห้องเรียนในประเทศไทยห้องหนึ่ง ที่มีแนวคิดจะปฏิรูปให้กลายเป็นแบบฝรั่ง แบบที่ให้ นร. discuss แลกเปลี่ยน ideas นี่แหละครับ (ผมอยากใช้คำว่า ห้องเรียนไทยที่ดิ้นรนจะปฏิรูปเป็น inter (ใช้ struggle to develop, but not succeed)) แต่ดูจากบทสนทนามันมีข้อที่ไม่เหมือนฝรั่ง และทำให้ออกมาดูเห่ยๆ หรือแปลกๆ อยู่ดังนี้
1. ครูจงใจสั่งให้นักเรียนอ่านคำถามดังๆ -> เป็นรูปแบบของประเทศไทยเลยครับ ไม่ได้เตรียมการเรียนมากันก่อน (ไม่ก็ครูไม่ได้บอกให้เตรียม) คือมันไม่มีจุดประสงค์ที่จะให้อ่านดังๆ อะครับ ทุกคนก็ควรจะมีหนังสืออยู่กับมือ แล้วยังไงครูก็ทวนซ้ำอีก (แต่ถ้าจะว่าฝึก accent ก็อาจจะได้)
2. นักเรียน C พูดแทรกอย่างไม่มีมารยาท คำว่า excuse me หรือ may I interrupt อะไรยังงี้ก็ไม่มี แล้วดูเหมือนครูจะไม่สนใจนักเรียนคนนี้ด้วย เหมือนเป็นนักเรียนที่ครูไม่พอใจอยู่แล้วก็เลยปล่อยให้พูดอะไรก็พูดไป
3. เหมือนนักเรียน C พูดกับนักเรียน D กันสองคน แล้วครูไปพูดกับนักเรียน B แบ่งการสนทนาเป็นสองครึ่ง
4. จากข้อ 2. และ 3. สรุปได้ว่า ถ้าเราตัดนักเรียน C และ D ออก บทสนทนานี้ก็จะยังคงถูกอยู่ แต่เป็นห้องเรียนที่มีการ discuss ระหว่าง ครู 1 นักเรียน 1 แค่นั้น แล้วที่เหลือไปไหนล่ะ ?
5. ดูเหมือนว่าครูทำเหมือนว่าจะ guide ให้เด็กคิด แต่ครูมีคำตอบอยู่ในหัวอยู่หมดแล้ว แล้วก็แจงคำตอบพวกนั้นออกมาครึ่งนึงเป็นที่เรียบร้อย มันเหมือนให้เด็กคิด แต่มีอะไรปิดกั้นไว้ว่าคิดได้แค่เท่าที่ครูมีข้อมูลอยู่ รึเปล่า ?




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2552    
Last Update : 3 ตุลาคม 2552 10:30:06 น.
Counter : 397 Pageviews.  

ข้อสอบ Analogy

A:B :: X:Y อ่านว่า A is to B as X is to Y

มีทั้งหมด 10 รูปแบบ
1. part : whole
finger:hand :: spoke:wheel
2. object : purpose
car:transportation :: lamp:light
3. action : object
dribble:ball :: fly:kite
4. word : synonym
nice:pleasant :: glad:happy
5. word : antonym
good:bad :: slow:fast
6. object : its material
shoe:leather :: tire:rubber
7. product : source
apple:tree :: milk:cow
8. worker : tool
musician:horn :: carpenter:hammer
9. time sequence
sunrise:sunset :: winter:spring
10. word : derivative
act:action :: image:imagination




 

Create Date : 30 กันยายน 2552    
Last Update : 30 กันยายน 2552 23:51:48 น.
Counter : 1156 Pageviews.  

1  2  

Dr-Zeratul
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีผู้เยี่ยมชมทุกท่าน
หวังว่าในนี้จะให้ประโยชน์/ความเพลิดเพลิน/ อะไรก็ได้ กับท่านผู้เยี่ยมชม

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นดีๆ นะครับ
Friends' blogs
[Add Dr-Zeratul's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.