วิธีจัดการ การทำให้ความจำดีขึ้น


1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน


แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า       พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์


2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ


ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น



3. "จดไว้ให้จำ"


เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม


4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..


แต่แค่ถ้วยเดียวพอ หรือจิบแบบเรื่อย ๆ เว้นช่วงระยะ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม



5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม 


ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย


6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ


ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดู
ว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก


7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ


หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน


8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์


มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย


9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ..


การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ


10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี


มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด



11. เอาใจใส่


เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ
ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น


12. ฟังเพลงโมสาร์ท


ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้


13. ออกกำลังกาย


เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับ
ออกซิเจนมากขึ้นด้วย


14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ


จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ


15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด


เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์
ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า


ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

ที่มา นางสาวอังคณา สีกล่ำ






Free TextEditor




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2553   
Last Update : 25 ตุลาคม 2553 18:08:38 น.   
Counter : 688 Pageviews.  


รู้จริงเรื่องวิตามิน : วิตามินบี (Vitamin B)

วิตามินบี
พูดถึงวิตามินบีที่เรารับประทานเข้าไปนั้นจะเป็น Vitamin B Complex
ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ แต่ไม่สามารถเก็บไว้ในร่างกายของเราได้
โดยมันจะถูกขับออกทางปัสสาวะ
แต่ก่อนมันจะถูกขับออกมันได้สร้างประโยชน์ให้เราอย่างมหาศาล โดยเจ้าตัว
Vitamin B Complex
นั้นจะทำหน้าที่เปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตในร่างกายเป็นน้ำตาลกลูโคสซึ่งร่างกาย
สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานไปใช้ได้
และช่วยในกระบวนการเมตาโบลิซึมของไขมันและโปรตีน
รวมถึงการทำงานของระบบประสาท และกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร
เราลองมาดูรายละเอียดของแต่ละตัวกันนะครับว่าเป็นอย่างไร


วิตามินบี 1 ช่วยเสริมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไปใช้เป็นพลังงาน
มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหาร อาการที่ปรากฏเมื่อขาด
เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย ชาตามมือและเท้าแขนขาไม่มีแรง วิตามินบี 1 พบมาใน
ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่างๆ งา ตับ


วิตามินบี 2 เกี่ยวข้องในการหายใจของเซลล์ กระบวนการมองเห็น
หน้าที่ของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ เพิ่มระดับพลังงาน บำรุงผิว ผมและเล็บ
อาการที่ปรากฏเมื่อขาด ผิวหนังอักเสบแผลที่มุมปาก หรือปากนกกระจอก
วิตามินบี 2 พบมากในนม ไข่ เนื้อสัตว์ ตับ ผักใบเขียว คอร์นเฟล็ก โยเกิร์ต
นม


วิตามินบี 3 บรรเทาคอเลสเตอรอลสูง ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
บรรเทาสิวชนิดผื่นแดงอักเสบ ลดความอยากดื่มสุรา พบมากใน เนื้อสัตว์ ไข่ไก่
จมูกข้าว ขนมปังโฮลมีล


วิตามินบี 5 เร่งแผลหายเร็ว บรรเทาอาการข้ออักเสบ ลดอาการนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า

พบมากใน ถั่วลิสงไม่ปรุงรส งา อะโวกาโด แอปเปิ้ล แอพริคอตแห้ง


วิตามินบี 6 การทำงานของระบบประสาท การสร้างเม็ดเลือด
ช่วยรักษาสภาพผิวหนังให้เป็นปกติ อาการที่ปรากฏเมื่อขาด อ่อนเพลีย โลหิตจาง
ชาปลายมือปลายเท้า วิตามินบี 6 พบมากใน เนื้อสัตว์ ผักต่างๆ ปลา และยีสต์


วิตามินบี 12 จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือด การทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง
และการดูดซึมของทางเดินอาหาร อาการที่ปรากฏเมื่อขาด โลหิตจาง อ่อนเพลีย
ความบกพร่องของระบบประสาทส่วนกลาง วิตามินบี 12 พบมากใน เนื้อสัตว์นม เนย


หวังว่าจะเป็นประโยชร์ไม่มากก็น้อย






Free TextEditor




 

Create Date : 25 ตุลาคม 2553   
Last Update : 25 ตุลาคม 2553 17:29:14 น.   
Counter : 303 Pageviews.  


ฮอร์โมนเพิ่มความสูงมีจริงหรือ

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มีค่านิยมเรื่องความสูง คือ สูงดีกว่าเตี้ย ส่วนมากต้องการให้ลูกชายสูงประมาณ 6 ฟุต หรือ 180 เซนติเมตร โดยเปรียบเทียบกับพระเอกในภาพยนต์ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าสูงแล้วดูสง่างามมีอำนาจ และมีลักษณะผู้นำส่วนลูกสาวควรสูงประมาณ 170 เซนติเมตรขึ้นไป โดยเปรียบเทียบกับนางแบบหรือนางงามจักรวาลซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าผู้หญิงสูงดูสวยและมีเสน่ห์

เราทราบมานานแล้วว่าร่างกายมนุษย์มีฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตหรือช่วยเพิ่มความสูงที่สำคัญมากชนิดหนึ่งคือ ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตที่เรียกว่า โกรทฮอร์โมน หรือ ฮอร์โมนจีเอช (growth hormone, GH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างและหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมอง

ฮอร์โมนจีเอชจะกระตุ้นให้มีการยืดของกระดูกในแนวยาวทำให้ร่างกายของคนเราสูงขึ้น

เด็กที่เป็นโรคขาดฮอร์โมนจีเอชมักมีการเจริญเติบโตช้าและเป็นผู้ใหญ่ที่มีส่วนสูงประมาณ 120-140 เซนติเมตร การรักษาด้วยฮอร์โมนนี้ช่วยให้เด็กกลุ่มนี้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสูงปกติ

ในทางตรงกันข้ามเด็กที่เป็นโรคเนื้องอกของต่อมใต้สมองชนิดที่มีการสร้างฮอร์โมน จีเอชมากผิดปกติมักจะเจริญเติบโตเร็วและเป็นผู้ใหญ่ที่มีส่วนสูงประมาณ 200-250 เซนติเมตร

ทำไมแต่ละคนสูงต่างกัน

ปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสูงของแต่ละคนคือ พันธุกรรม ภาวะโภชนาการสิ่งแวดล้อม และความเจ็บป่วยในคนๆ นั้น

ปัจจัยทางพันธุกรรม เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ความสูงของพ่อแม่เป็นดัชนีกำหนดศักยภาพความสูงของลูก

ตัวอย่างเช่น
พ่อสูง 165 เซนติเมตร แม่สูง 155 เซนติเมตร ในกรณีที่ลูกแข็งแรงปกติดี สามารถคำนวณความสูงของลูกได้ดังนี้

ลูกชายจะสูง = (165+155)/2 + 5.5 = 165.5 เซนติเมตร + 10

ลูกสาวจะสูง = (165+155)/2 - 5.5 = 145.5 เซนติเมตร + 10

ดังนั้นพี่น้องจากพ่อแม่เดียวกันจึงมีความสูงที่แตกต่างกันได้มากพอสมควร ทั้งนี้เนื่องจากแต่ละคนได้รับหน่วยพันธุกรรมที่ควบคุมความสูงแตกต่างกัน

ปัจจัยทางโภชนาการและการออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยสำคัญมากเช่นกันกล่าวคือ เด็กที่ขาดอาหารก็จะมีการเจริญเติบโตช้า และโตเป็นผู้ใหญ่ที่เตี้ยกว่าที่ควรจะเป็นตามศักยภาพทางพันธกรรม

ในขณะที่เด็กที่ได้อาหารครบส่วนก็จะมีการเจริญเติบโตได้เต็มที่ตามศักยภาพความสูงในครอบครัวนั้นๆ

ตัวอย่างเช่น คนญี่ปุ่นหลังสงครามโลกมีการเจริญเติบโตสูงขึ้นเนื่องจากมีภาวะโภชนาการดีขึ้น แต่ความสูงเฉลี่ยของคนญี่ปุ่นก็ยังน้อยกว่าชาวอเมริกันหรือยุโรป ทั้งนี้สืบเนื่องจากศักยภาพทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกันขณะนี้ความสูงเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เซนติเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยเมื่อ 20-30 ปีก่อน ดังนั้นเด็กหนุ่มสาวในปัจจุบันจึงมักจะสูงกว่ารุ่นพ่อแม่ แต่มักจะไม่สูงเกินกว่าศักยภาพความสูงในครอบครัวนั้นๆ

สิ่งแวดล้อม เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอีกเช่นเดียวกัน ประเทศที่มี 4 ฤดู จะพบว่าฤดูร้อนมีแสงแดดจัด เด็กจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าฤดูหนาวซึ่งใส่เสื้อผ้าหนาไม่ถูกแสงแดด ทั้งนี้เนื่องจากแสงแดดมีความสำคัญต่อการสร้างวิตามินดีของร่างกาย และวิตามินดีมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของกระดูกโดยตรง

นอกจากนี้โรคหรือความเจ็บป่วยก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ โรคขาดฮอร์โมนบางชนิด โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ โรคกระดูก เป็นต้น โรคเหล่านี้มีส่วนสำคัญทำให้เจริญเติบโตช้า

ปัจจุบันมนุษย์สามารถสังเคราะห์ฮอร์โมนจีเอชได้จำนวนมากๆ ในห้องทดลองโดยไม่จำเป็นต้องไปสกัดจากต่อมใต้สมองของคนที่เสียชีวิตเหมือนในสมัยก่อน

ฮอร์โมนจีเอชจะช่วยเพิ่มความสูงของเด็กปกติให้สูงกว่าศักยภาพทางพันธุกรรมได้หรือไม่

ขณะนี้ทั่วโลกมีเด็กปกติซึ่งไม่ขาดฮอร์โมนจีเอชและได้รับการฉีดฮอร์โมนนี้หลายหมื่นราย โดยให้ขนาดยาประมาณ 2-3 เท่าของขนาดที่ร่างกายคนปกติสร้างขึ้น (GH secretory rate) พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีการเจริญเติบโตเร็วขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีแรกและปีที่สองของการรักษา ปีถัดๆ ไปอัตราการเจริญเติบโตจะค่อยๆ ลดลง

ความสูงเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอที่จะบอกได้ เนื่องจากส่วนใหญ่ของเด็กกลุ่มนี้ยังไม่หยุดการเจริญเติบโต ข้อเท็จจริงที่พบได้ในเด็กกลุ่มนี้คือ เมื่อฮอร์โมนจีเอชเร่งการเจริญเติบโตให้เร็วขึ้นก็จะเร่งการปิดของกระดูกให้เร็วขึ้นด้วย เมื่อกระดูกปิดแล้วก็จะไม่มีการยืดของกระดูกอีกต่อไป ดังนั้นฮอร์โมนจีเอชอาจทำให้โตเร็วขึ้นในระยะที่สั้นลง ความสูงเมื่อเป็นผู้ใหญ่อาจจะไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเด็กปกติที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนนี้

การศึกษาจากประเทศอิตาลีที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ (Journal of Pediatrics) เมื่อปลายปี 2537 ได้รายงานการรักษาเด็กเตี้ยที่ไม่ได้ขาดฮอร์โมนจีเอชจำนวน 15 ราย นานติดต่อกันเป็นเวลา 4-10 ปี พบว่าเด็กกลุ่มนี้มีการเจริญเติบโตเร็วขึ้นใน 4 ปีแรกของการรักษา แต่ความสูงเมื่อเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้แตกต่างกับความสูงตามศักยภาพทางพันธุกรรม และก็ไม่แตกต่างกับความสูงที่คำนวณได้ก่อนให้การรักษา แสดงว่าฮอร์โมนจีเอชเร่งการเจริญเติบโต และก็เร่งให้กระดูกปิดเร็วขึ้นด้วย เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับความสูงตอนเป็นผู้ใหญ่ในเด็กกลุ่มที่ได้รับการรักษาด้วยฮอร์โมนจีเอชยังมีน้อยมากฉะนั้นคงต้องติดตามผลในระยะ 5-10 ปี จึงจะมีข้อมูลที่เด่นชัดว่าฮอร์โมนนี้ช่วยเพิ่มความสูงในเด็กปกติได้มากน้อยแค่ไหน

การได้รับฮอร์โมนจีเอชสูงจะมีผลอย่างไร

มีการพบว่า เด็กที่มีเนื้องอกของต่อมใต้สมองชนิดที่มีการสร้างฮอร์โมนจีเอชมากผิดปกติมีความสูงได้กว่า 200 เซนติเมตร เนื่องจากฮอร์โมนจีเอชที่เนื้องอกสร้างขึ้นมีปริมาณมากขึ้นหลายสิบเท่า ดังนั้นหากฉีดฮอร์โมนจีเอชขนาดสูงหลายสิบเท่าให้เด็กปกติ ก็น่าจะช่วยให้เด็กปกติสูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ก็คงจะเกิดโรคแทรกซ้อนจากการที่มีระดับฮอร์โมนจีเอชในร่างกายมากเกินไป เช่น โรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคกระดูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น โรคเหล่านี้พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีเนื้องอกดังกล่าว จึงไม่คุ้มที่จะมีความสูงเพิ่มขึ้นแต่มีโรคแทรกซ้อนหลายอย่างตามมา

มีฮอร์โมนอื่นช่วยในการเจริญเติบโตหรือไม่

ฮอร์โมนเพศ (sex teroids) ซึ่งมีทั้งฮอร์โมนเพศหญิง-เอสโตรเจน (estrogen) และฮอร์โมนเพศชาย-เทสโตสเตอโรน (testosterone) ฮอร์โมนเพศนี้ช่วยในการเจริญเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว

ทั้งฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงกระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนจีเอชเพิ่มขึ้น และกระตุ้นให้กระดูกยืดยาวออก จึงทำให้เด็กวัยรุ่นโตเร็วขึ้นมาก

สาเหตุของเด็กเตี้ยในช่วงอายุ 9-15 ปี ที่พบบ่อยคือ ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า เด็กมักจะมีประวัติครอบครัวคือ พ่อหรือแม่เป็นหนุ่มเป็นสาวช้ากว่าปกติ ตัวอย่างเช่น แม่มีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี หรือพ่อเริ่มเป็นหนุ่มและโตเร็วเมื่ออายุ 18 ปี ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวช้านี้ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติ เพราะในที่สุดเด็กจะเจริญเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสูงปกติ

เด็กบางรายที่มีปัญหาทางจิตใจมาก ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า แพทย์จะพิจารณาให้ฮอร์โมนเพศปริมาณน้อยๆ นาน 3-6 เดือน มักให้เมื่อเด็กอายุมากกว่า 13-14 ปี เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเริ่มเข้าสู่ความเป็นหนุ่มสาว

การให้ฮอร์โมนในลักษณะนี้เป็นการให้เลียนแบบธรรมชาติซึ่งไม่มีผลต่อการทำให้กระดูกปิดเร็วขึ้น และไม่มีผลต่อความสูงเมื่อเป็นผู้ใหญ่กล่าวคือ ไม่ทำให้ความสูงตอนเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นหรือลดลง การให้ฮอร์โมนจีเอชในเด็กที่มีภาวะนี้ก็จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตได้ แต่ไม่มีข้อมูลว่าจะทำให้เด็กกลุ่มนี้มีความสูงสุดท้ายเพิ่มขึ้นจากปกติ

การใช้ฮอร์โมนเพศมีผลดี ผลเสียอย่างไร

การใช้ฮอร์โมนเพศที่ไม่มีข้อบ่งชี้ตามหลักวิชาการจะให้โทษมากกว่าเป็นประโยชน์ต่อเด็ก เช่น ผสมฮอร์โมนเพศในอาหาร หรือใช้เป็นยากระตุ้นให้อยากอาหาร ถ้าใช้ในเด็กจะทำให้เด็กกินอาหารได้มาก และเจริญเติบโตเร็วขึ้นอย่างชัดเจน คล้ายๆ กับเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งเป็นหนุ่มสาว ซึ่งมีฮอร์โมนเพศในร่างกายมาก แต่ข้อเสียที่ตามมาคือ เด็กจะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ตัวอย่างเช่น บางรายมีเต้านมโตตั้งแต่อายุ 3 ขวบ เด็กชายบางรายมีขนที่หัวเหน่าตั้งแต่อายุ 4 ขวบ นอกจากนั้นการเจริญเติบโตของกระดูกที่เร็วผิดปกติจะทำให้กระดูกปิดเร็วก่อนกำหนด ทำให้หยุดการเจริญเติบโตทางด้านความสูงก่อนวัย จึงกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เตี้ยกว่าปกติ

อยากสูงโดยไม่ใช้ฮอร์โมนควรทำอย่างไร

ขณะที่เราพยายามหาสารจากภายนอกมาใช้เพิ่มความสูงของมนุษยชาติ เราควรมองปัจจัยธรรมชาติที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เพื่อที่จะให้เด็กมีการเจริญเติบโตได้สูงสุดตามศักยภาพที่มีอยู่

ปัจจัยที่สำคัญคือ ภาวะโภชนาการ อาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตอย่างมาก คือต้องได้ปริมาณหรือแคลอรีเพียงพอ และได้คุณภาพหรืออาหารครบส่วน เด็กที่กินอาหารโปรตีนพอเหมาะจะเจริญเติบโตดีกว่าเด็กที่กินอาหารโปรตีนต่ำ

เด็กที่ดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของแคลเซียม จะทำให้กระดูกมีการเจริญเติบโตและหนาตัวมากกว่าเด็กที่กินอาหารแคลเซียมต่ำ

ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนจีเอชเพิ่มขึ้น

ปัจจัยสุดท้ายคือการนอนหลับ โดยปกติฮอร์โมนจีเอชจะหลั่งออกมากในขณะที่หลับสนิท ขณะตื่นหรือหลับๆ ตื่นๆ ฮอร์โมนจีเอชจะหลั่งออกมาน้อยมาก ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้เด็กปรับพฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย และการนอนหลับเพื่อให้เด็กเจริญเติบโตได้เต็มศักยภาพความสูงโดยไม่ต้องอาศัยสาร กระตุ้นจากภายนอกร่างกาย

ปัญหาการใช้ฮอร์โมนจีเอช

การบริหารยาฮอร์โมนจีเอชในปัจจุบันมีเพียงวิธีเดียวคือการฉีดเข้าใต้ผิวหนังวันละครั้งก่อนนอน โดยทั่วไปจะฉีดจนกระทั่งเด็กหยุดการเจริญเติบโตหรือกระดูกปิด ดังนั้นการรักษาจึงต้องฉีดยาติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ปี ปัญหาที่สำคัญคือการฉีดยาทุกวันอาจมีผลเสียทางด้านจิตใจในเด็กหลายๆ คน นอกจากนี้ราคายาสูงมากคือ ประมาณ 2 - 5 แสนบาทต่อคนต่อปี และสุดท้ายปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบก็คือ ผลเสียระยะยาวจะมีหรือไม่ยังไมีมีข้อมูลเพียงพอที่จะบอกได้ เนื่องจากยาที่สังเคราะห์ขึ้นนี้ใช้มานานไม่ถึง 10 ปี

สรุปฮอร์โมนเพิ่มความสูงมีจริง และช่วยให้เด็กที่ขาดมีความสูงปกติได้ ส่วนเด็กปกติที่ไม่ได้ขาดฮอร์โมน คงต้องติดตามผลการศึกษาวิจัยต่อไปว่าฮอร์โมนจีเอชขนาดที่ปลอดภัยจะช่วยเพิ่มความสูงได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งมีผลเสียระยะยาวที่จะติดตามมาหรือไม่

การเจริญเติบโตของร่างกาย

พืชและสัตว์มีการเจริญเติบโต ตัวเราก็มีการเจริญเติบโตเช่นเดียวกับต้นพืช เมื่อก่อนเราตัวเล็ก เดี๋ยวนี้เราตัวโตขึ้น ที่เราตัวโตขึ้น เพราะเราได้กินอาหารทุกวัน อาหารที่เหมาะสม และช่วยให้เด็กๆ อย่างพวกเราเจริญเติบโตได้ดีชนิดหนึ่ง คือ นม

การรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ จะช่วยให้ร่างกายของเราเจริญเติบโตและแข็งแรง สิ่งที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของเรามีการเจริญเติบโต คือ การมีน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มขึ้น ความสูงของร่างกายคนเรา จะเพิ่มขึ้นอย่างพอเหมาะกับน้ำหนักตัวเรา เด็กผู้หญิงจะมีส่วนสูงเต็มที่เมื่อมีอายุระหว่าง 14-15 ปี หลังจากนั้นก็จะสูงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วยเด็กผู้ชายส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นที่เมื่ออายุระหว่าง 17-18 ปี หลังจากนั้นส่วนสูงจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

1.การเจริญเติบโตของร่างกายในวัยต่างๆ
ร่างกายคนเรา มีการเจริญเติบโตจากวัยทารกสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในแต่ละวัยขนาดของร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไป
การเจริญเติบโตทางร่างกายของคนเรา สังเกตได้จากสิ่งต่อไปนี้

*น้ำหนัก
*ส่วนสูง
*ความยาวของลำตัว
*ความยาวของช่วงแขนเมื่อกางเต็มที่
*ความยาวของเส้นรอบวงศีรษะ
*ความยาวของเส้นรอบอก
* การขึ้นของฟันแท้

เด็กวัยทารกหรือเด็กวัยแรกเกิด

เด็กวัยแรกเกิดจะมีอายุอยู่ในช่วงตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสามปี จะมีการเจริญเติบโตโดยมีสัดส่วนของศีรษะต่อลำตัวเป็น 1 ต่อ 4

เด็กก่อนวัยเรียน

ในวัยนี้จะมีอายุอยู่ในช่วง 3-6 ปี รูปร่างและสัดส่วนของเด็กจะเปลี่ยนไปจากวัยแรกเกิด ดังนี้

*รูปร่างค่อยๆ ยืดตัวออกใบหน้าและศีรษะเล็กลงเมื่อเทียบกับลำตัว มือและเท้าใหญ่และแข็งแรง อกและไหล่ขยายกว้างขึ้น แต่หน้าท้องแฟบลง

เด็กวัยเรียน

เด็กในวัยเรียนอายุระหว่าง 6-12 ปี จะมีการเจริญเติบโต ดังนี้

*น้ำหนักโดยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อปี ส่วนสูงเพิ่มประมาณ 4-5 เซนติเมตรต่อปี ฟันน้ำนมจะเริ่มหักเมื่ออายุประมาณ 6 ปี และจะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่





 

Create Date : 21 ตุลาคม 2553   
Last Update : 21 ตุลาคม 2553 10:03:23 น.   
Counter : 382 Pageviews.  


ดื่มกาแฟอย่างไร ไม่เสียสุขภาพ









ดื่มกาแฟอย่างไร ไม่เสียสุขภาพ

    เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา
กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต
เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย
เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน
แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2
ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น


    
รายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า
คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม
ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม
และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า
ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ
แต่นักวิจัยก็เตือนว่าอย่าเพิ่งมั่นใจจนหันไปโหมกาแฟ
เพราะนักวิจัยยังต้องติดตามการวิจัยอีกมาก












    
นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่
โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ
ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ
และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

  สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง
นักวิจัยแนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น
แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล .) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ
2-3 ออนซ์ (60-90 มล ) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15
นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6
ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย


ของดีในกาแฟ

   
นักวิจัยของศูนย์วิจัยใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีบริษัทขายกาแฟรายใหญ่ของ
โลกพบว่า เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า
และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก
ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ
แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้น
กับชนิดของกาแฟ


    กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)
มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า
ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย  
รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย


ข้อควรระวังในกาแฟ

   คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ
เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น
จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง
งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า  
การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอี
นช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น
แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล  


    ถึงอย่างไรนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเพียง
1-2 ถ้วยจะไม่มีผลต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันไม่ว่ามียีนอย่างไร
แต่การดื่มวันละ 4 แก้วขึ้นไปไม่ให้ผลดีขึ้น ดังนั้น ควรดื่มแต่พอควร
เพราะปัจจุบันการตรวจยีนยังไม่ได้มีใช้กันเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป
และยีนที่แตกต่างกันทำให้ผลการวิจัยทางโภชนาการที่สัมพันธ์กับโรคต่างๆ
ที่ออกมามีข้อมูลขัดแย้งกันจนเกิดความสับสน


   
ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน
ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่
การเดินสายกลางจึงดีที่สุด   ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย
แต่นักวิจัยเตือนว่า
กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล
ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้
เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูล
อิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย
นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย


ข้อควรปฎิบัติ



  • เลี่ยงกาแฟที่ใช้หม้อต้มแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย
    เพราะจะมีสารไดเทอร์พีนสูง เพิ่มระดับคอเลสเทอรอลในเลือด
    ควรเลือกกาแฟสำเร็จรูปที่ละลายน้ำ หรือชนิดกรองหยด และเอสเพรสโซ
    ซึ่งจะมีผลน้อยกว่า

  • ถ้าต้องเลือกกาแฟสกัดคาเฟอีน ควรเลือกชนิดที่ใช้กระบวนการสกัดธรรมชาติ (Swiss Water Process) ตรวจสอบยี่ห้อได้จาก SwissWater.com

  • สำหรับผู้ที่เลี่ยงกาแฟอยู่แล้ว
    ไม่ควรหันมาดื่มเพียงเพื่อต้องการผลดีจากคาเฟอีน
    โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อกาแฟ การดื่มอาจยิ่งเพิ่มผลเสีย เช่น
    หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ
    กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเกินควร ทำให้ปวดท้อง
    และเป็นสารขับปัสสาวะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น
    ดังนั้นทุกครั้งที่ดื่มกาแฟควรดื่มน้ำตามไปชดเชยด้วย

  • ระวังสิ่งที่เติมลงในกาแฟ เช่น ครีม นมไขมันเต็ม น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะเท่ากับเติมพลังงานส่วนเกิน  

  • กาแฟมาตรฐาน 1 ถ้วย มีขนาด 5-6 ออนซ์หรือ 150-180 มล .
    แต่ที่ขายโดยทั่วไปนั้นมีขนาด 12 ออนซ์หรือ 360 มล . ซึ่งมากกว่าถึง 2 เท่า
    ดังนั้น ควรจำกัดการดื่มให้ไม่เกิน 5 ถ้วย
    ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ในการศึกษาวิจัย  

  • สารคาเฟอีนเป็นสารธรรมชาติที่พบในอาหารอื่นด้วย เช่นใบชา
    เมล็ดโคลา โกโก้   ช็อคโกแลต น้ำอัดลมสีดำ และยาบางชนิด
    ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนเกินควร
    จึงต้องตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเองเสมอ



ที่มา : //www.healthandcuisine.com/hc2004/you.asp







Free TextEditor




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553   
Last Update : 20 ตุลาคม 2553 16:30:06 น.   
Counter : 296 Pageviews.  


ไทรอยด์เป็นพิษ





























ไทรอยด์เป็นพิษ


โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือ โรคคอพอกเป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่ที่ลำคอด้านหน้าต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย ทำหน้าที่สร้างและหลั่งฮอร์โมนไธรอยด์ออกสู่กระแสเลือด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะหัวใจและประสาท 

          โรคคอพอกเป็นพิษ เป็นการเสียสมดุลของฮอร์โมนไธรอยด์ โดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเลแต่มีปัจจัยบางอย่างที่เกี่ยวข้องดังนี้ 
          1.เพศหญิง โรคนี้เกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 4-8 เท่า
          2.กรรมพันธุ์ บางครอบครัวเป็นกันทั้งมารดา และลูกสาว
          3.ความเครียดทางจิตใจ พบว่าทำให้เกิดอาการคอพอกเป็นพิษได้


          ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ อาจสร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ต่อมจะมีขนาดโตขึ้นจนมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าคลำดูจะมีลักษณะหยุ่นไม่แข็ง อาจฟังได้ยินเสียงฟู่ ๆ เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงต่อมมากกว่าปกติ


วิธีการตรวจหาระดับฮอร์โมนในร่างกายทำได้ 2 วิธี


          1.เจาะเลือดตรวจหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ว่าสูงกว่าปกติหรือไม่
          2.การตรวจโดยกัมมันตรังสีไอโอดีน เพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ควรบอกแพทย์เพราะอาจมีผลเสียต่อเด็กในครรภ์ได้


คอพอกเป็นพิษอย่างไร อาการแสดงเป็นพิษเกิดจากฮอร์โมนไทรอยด์ไปกระตุ้นการทำงานของร่างกายมากขึ้นดังนี้


          1.หัวใจจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมากจึงมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นได้ขณะที่นั่งสบาย ๆ ได้แก่ ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว จับชีพจรจะเต้นไม่สม่ำเสมอในบางครั้ง เหนื่อยง่าย


          2.เนื้อเยื่อของร่างกายเผาผลาญสร้างพลังงานออกมามาก และเปลี่ยนเป็นความร้อนออกจากร่างกายได้มากเช่นกัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไปและที่เก็บสำรองไว้เป็นไขมันและกล้ามเนื้อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้มีอาการเหล่านี้ ร้อนและเหงื่อออกมาก มือมักจะอุ่นและชื้น กินจุ แต่ผอมลง


          3.ระบบประสาทถูกฮอร์โมนไทรอยด์กระตุ้นมากขึ้นทำให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายถูกกระตุ้นให้ทำงานผิดปกติได้เช่นเดียวกัน มือสั่น ตกใจง่าย ลำไส้ถูกกระตุ้นทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยวันละหลาย ๆ ครั้ง กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและขามักอ่อนแรง บางครั้งเมื่อนั่งยอง ๆ ก็ลุกไม่ไหว ประจำเดือน อาจมาน้อย หรือห่างออกไป นัยน์ตาอาจโตโปนถลนหรือหนังตาบนหดรั้งขึ้นไป ทำให้เห็นตาขาวข้างบนชัด ดูคล้ายคนดุ


การรักษาคอพอกเป็นพิษมี 3 วิธี


วิธีแรก ยาเม็ดรับประทาน เพื่อควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์ทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้น เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ชีพจรเต้นช้าลง ใจสั่นลดลง ฯลฯ ต้องใช้ยาติดต่อกันตั้งแต่ปีครึ่งถึงสองสามปี บางรายต้องรับประทานยาเป็นประจำ ถ้าหยุดยาทำให้มีอาการเป็นพิษได้อีก

          ข้อควรสังเกตอาการที่ควรรายงานให้แพทย์ทราบจากการใช้ยาเม็ด
          1.มีโรคติดเชื้อบ่อยเนื่องจากฤทธิ์ยาทำให้มีเม็ดเลือดขาวต่ำในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไข้สูง เจ็บคอ แต่พบได้น้อยมาก
          2.มีผื่นคันตามผิวหนัง มักเป็นไม่รุนแรง
          3.มีผมร่วงจากที่ไม่เคยร่วง
          4.คอพอกโตขึ้นกว่าเดิม
          5.ตะคิวจับบ่อย
          6.ท้องผูกบ่อย


วิธีที่สอง การผ่าตัดเพื่อเอาต่อมไทรอยด์บางส่วนออกซึ่งจะให้ผลการรักษาเร็วกว่าวิธีกินยาเม็ด การผ่าตัดเหมาะที่จะใช้ในรายที่คอโตมาก ๆ หรือเมื่อรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล ข้อเสีย การผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกมากไป ทำให้ต่อมส่วนที่เหลือสร้างฮอร์โมนไม่พอใช้ ต้องกินยาฮอร์โมนไธรอยด์ทดแทนตลอดชีวิตและอาจมีเสียงแหบได้


วิธีที่สาม การกินน้ำแร่สารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 จะไปสะสมที่ต่อมไทรอยด์แล้วปล่อยรังสีทำลายต่อมให้หายเป็นพิษ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผลหรือผู้ป่วยที่มีอายุมาก แต่ห้ามใช้ในหญิงกำลังตั้งครรภ์ ข้อเสีย ถ้าได้รับน้ำแร่จำนวนน้อยก็ไม่หายขาด ต้องกินซ้ำอีก หรือมากเกินไปอาจเกิดภาวะขาดฮอร์โมนได้เช่นกัน


การดูแลสุขภาพ


          1.รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมมิให้อาการคอพอกเป็นพิษรุนแรงขึ้น
          2.สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นของผลข้างเคียงของยาหรือการรักษา เพื่อรายงานอาการได้ถูกต้อง
          3.ติดตามการรักษา เพื่อเป็นผลดีต่อการรักษา
          4.รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะได้ทุกประเภท


จาก หนังสือรู้เรื่องโรค








Free TextEditor




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2553   
Last Update : 19 ตุลาคม 2553 10:02:13 น.   
Counter : 440 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  

dinshay
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ออกกำลัยกันเถอะ
[Add dinshay's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com