๑ สิ่งเหล่าใดเกิดมาเพราะมีเหตุทำให้เกิด พระตถาคตเจ้าแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแสดงความดับสิ้นเชิงของสิ่งเหล่านั้นเพราะหมดเหตุ
๒ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
๓ อย่าทำชั่ว ให้ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
๔ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้ว หามีอะไรเกิดอะไรดับไม่
๕ ถ้าเราไม่พึงมี ของเราก็ไม่พึงมี , ตัวเราของเรา ก็คือ อุปาทานขันธ์๕
Group Blog
 
All blogs
 
คัมภีร์มรณะ - หลวงปู่พุทธอิสระ

คัมภีร์มรณะ - หลวงปู่พุทธอิสระ
บุคคลผู้ปรารถนาดีจะเจริญมรณสติ
พึงพิจารณาด้วยอาการ 8 อย่างดังนี้

1. สัตว์ทุกชนิด เมื่อมีชีวิตต้องรับทัณฑกรรมคือความตายในที่สุด พิจารณาให้รู้ชัด ลงไปว่า สรรพชีวิตทุกชนิดเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมพาเอาความเสื่อม เก่าแก่ และตายมาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ประดุจดังชีวิตที่เกิดอยู่ในแดนประหารมีเพชรฆาต ถือมีดและปืนจ่อรออยู่ เมื่อถึงเวลาก็ลงมือประหารชีวิตนั้นโดยมิรีรอ ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เหมือนดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออกแล้วกำลังเดินทางไปสู่ทิศตะวันตก ในที่สุดแสงนั้นก็ลับหายไปจากขอบฟ้า ไม่มีใครสามารถเรียกให้พระอาทิตย์นั้นเดินทางย้อนกลับมาได้ มีแต่ว่าต้องรอให้ถึงวันใหม่ (นั่นคือการเกิดของอีกชีวิตหนึ่ง)
ชีวิตนี้เหมือนดังก้อนหิน ใหญ่ตั้งอยู่บนยอดเขา แล้วกลิ้งลงมาสู่ ตีนเขาเบื้องล่าง ไม่สามารถจะหยุดยั้งให้หยุดระหว่างกลางเขาได้ จนท้ายก็ต้องตกลงมากระทบพื้นเบื้องล่างแตกกระจาย น้ำค้างบนยอดหญ้าเมื่อกระทบกับลมและแดด ย่อมเหือดแห้งไปฉันใด ชีวิตของสรรพสัตว์ เมื่ออุบัติขึ้นมาแล้ว ย่อมต้องตายไปฉันนั้น ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง สิ่งที่เที่ยงในชีวิตคือความตาย

2. พิจารณาถึงความวิบัติแห่งสมบัติทั้งปวง อันมี
ทรัพย์สิน เงินทอง ลาภสักการะ เกียรติยศ ศักดิ์ศรีชื่อเสียง อำนาจวาสนา เรือกสวนไร่นา ข้าทาสบริวารหญิงชาย แม้แต่องค์อินทร์ยังเสื่อมจากทิพยสมบัติที่มีเมื่อถึงกาลที่ต้องวิบัติ สาอะไรกับเราท่านทั้งหลาย จะรอดพ้นจากวิบัติ ได้กระนั้นหรือ

สมบัติทั้งหลายจักวิบัติได้ด้วยลักษณะดังนี้
วิบัติโดยความหมดไป สิ้นไป
วิบัติโดยเวรภัยต่างๆ
วิบัติโดยความเสื่อมเก่า คร่ำคร่า
วิบัติโดยความแตกร้าว บุบสลาย ทำลาย พินาศไป
วิบัติโดยความสูญหาย
วิบัติโดยหมดวาสนา บารมี

3. ระลึกถึงความตายของผู้อื่น แล้วน้อมเข้ามาเปรียบกันตน เช่น
เวลาไปงานศพ ในที่ต่างๆหรือฟังข่าวสารการมรณะของคนและสัตว์ ก็ให้น้อมมาระลึกว่า โอ้หนอ...แม้แต่ท่านผู้มียศ ใหญ่ วาสนาดี มีบุญมาก ซ้ำยังประกอบไปด้วยความแข็งแรง มีกำลังวังชาประดุจพญาช้างสาร มีปัญญารอบรู้ เฉลียวฉลาด มีฤทธิ์อำนาจมากมาย ยังต้องตาย สาอะไรกับเราเป็น ผู้ด้อยกว่าเขาด้วย ประการทั้งปวง จะล่วงพ้นความตายไปได้กระนั้นหรือ

4. พิจารณาถึงกายนี้ว่าเป็นรังของโรค
เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่มองไม่ เห็นด้วยตาเปล่า สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่เกาะกลุ่มกันจนกลายเป็นแผ่นหนังห่อหุ้มกายนี้ เมื่อเซลล์ผิว หนังเหล่านี้ตาย ก็จักบังเกิดเซลล์ตัวใหม่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนเซลล์เหล่านี้เกิดและมีชีวิตอยู่ด้วย น้ำเลือดที่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่กายนี้ดื่มกินเข้าไป แล้วยังต้องอาศัยอากาศที่หมุนวนอยู่รอบๆกาย น้ำที่ซึมซาบอยู่ในกายเป็นเครื่องอยู่ กายนี้นอกจากประกอบด้วยเซลล์ผิวหนัง เซลล์เนื้อ เซลล์ไขมัน เซลล์กระดูก เซลล์เยื่อกระดูก เซลล์ไขกระดูก แล้วยังมีเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ อันเป็นองค์ประกอบของอวัยวะทั้งหลายภายในกายนี้
สิ่งมีชีวิตที่เป็นเซลล์เล็กๆเหล่านี้ ต่างพากันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วตายไป สับเปลี่ยนหมุนเวียน กันอยู่เช่นนี้ จนกว่าเหตุปัจจัยของการเกิดแห่งเซลล์ชีวิตเหล่านี้ จักหมดสิ้นอายุและขาดตอนลง นอกจากกายนี้ประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆอื่นอีกหลายชนิด ที่เป็นเซลล์ของร่างกายแล้ว กายนี้ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆอื่นอีกหลายชนิด ที่อิงอาศัยเกาะกินส่วน ต่างๆของกายนี้ เช่น ถ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆนั้น อาศัยอยู่ที่ผิวหนังก็จักเกาะกินเซลล์ผิวหนัง
อาศัยอยู่ที่เนื้อก็เกาะกินเซลล์เนื้อ อาศัยอยู่ที่พังผืดและเอ็นก็เกาะกินพังผืดและเอ็น อาศัยที่กระดูกก็เกาะกินกระดูก อาศัยอยู่ที่เยื่อกระดูก ก็เจาะกินเยื่อในกระดูกนั้น นอกจากจะเกาะกินเซลล์ต่างๆภายในกายนี้แล้ว มันยังขับถ่าย ผสมพันธุ์ เกิด ตาย อยู่ในที่ที่มันอาศัยอยู่นั้นอีกด้วย
กายนี้จึงได้ชื่อว่า เป็นที่อาศัยสาธารณะของสิ่งมีชีวิต หรือ เชื้อโรคเล็กๆ ทั้งหลายเป็นจำนวน มาก กายนี้เป็นที่ผสมพันธุ์ เป็นที่เกิด เป็นที่ถ่ายของเสีย เป็นที่หมักหมดของโสโครก เป็นป่าช้า เป็นรังของโรคร้ายต่างๆ นอกจากกายนี้เป็นป่าช้า คือ เป็นทีตายของสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ทั้งหลายแล้ว เป็นเหตุให้เกิดโรคร้ายแก่กายนี้แล้ว กายนี้ยังมีเหตุให้ถึงแก่ความตายอย่างง่ายดาย จากภายนอก อีกนานัปการ เช่น โดนสัตว์มีพิษน้อยใหญ่ขบกัดตาย
โดนอาวุธซัดตาย หกล้มตาย ตกจากที่สูงตาย ได้รับอุบัติภัยต่างๆแล้วตาย เกิดลมกำเริบภายในแล้วตาย หิวตาย กระหายตาย อิ่มตาย ฯลฯ พิจารณาให้เห็นว่า เหตุของความตายแห่งกายนี้มีมากมาย ง่ายดายเหลือเกิน ตายโดยมิเลือก เวลา นาที วัน เดือน ปี และสถานที่

5. พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่าชีวิตนี้เป็นภาระยิ่งนัก
เป็นความรุงรังที่ต้อง คอยบริหาร ชีวิตนี้เมื่ออุบัติขึ้นมาแล้วไม่มีคุณสมบัติที่จักดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง กายนี้ต้องพึ่งพิงอิง อาศัยสรรพชีวิต สรรพสิ่งต่างๆมากมาย เช่น เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ยังต้องอาศัยบิดา มารดา หรือผู้ ปกครอง อุปการะเลี้ยงดู ต้องอาศัยอากาศหายใจ กายนี้ต้องอิงอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และปัจจัยต่างๆอีกมากมาย
ชีวิตนั้นนอกจากจะต้องพึ่งพิงอิงอาศัยปัจจัยต่างๆมากมายแล้ว ชีวิตและกายนี้ ยังต้องอาศัย ความพยายามที่จักมีบริหาร ให้อยู่ในอริยาบถ 4 อย่างสม่ำเสมอ ได้แก่ ยืน เดิน นั่ง นอน จักขาดอริยาบถใดอริยาบถหนึ่งไม่ได้และจักมีอริยาบถใดมากเกินไปก็เจ็บปวด เป็นทุกข์ทรมาณ จนบางครั้งบางท่านถึงขนาดล้มป่วยและตายลงในที่สุด
กายนี้นอกจากจะไม่มีเอกภาพ ในความดำรงอยู่ด้วยตัวเองแล้ว กายนี้ยังประกอบไปด้วย ธาต ุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ต้องอิงอาศัยการบริหารจัดการดูแลรักษาให้ธาตุทั้ง 4 ภายในกายนี้ ดำรงสมดุลต่อกันและกัน ต้องเพียรพยายามประคับประคองมิให้ธาตุใดกระเพื่อม พร่อง เกิน มิเช่นนั้นกายนี้ก็จักตั้งอยู่มิได้ จะต้องได้รับทุกข์ทรมาณเจ็บปวดจนตาย เพราะฉะนั้น ชีวิตและกายนี้จึงเป็นสิ่งที่ทุพพลภาพ พร่องอยู่ตลอดเวลา เราทั้งหลายจึงต้อง มีงานอันหนัก ตั้งแต่เกิดจนตาย

6. ชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีเครื่องหมายว่าจักตายในขณะใด
บางพวกอาจตายเสียก่อนตั้งแต่ยังเป็นดวงจิตวิญญาณที่ล่องลอยไปตามอำนาจกรรมก็มี บางพวกอาจจักตาย ในขณะที่เป็นเปรตเสียก็มี บางพวกก็ตายในขณะที่เป็น ก้อนเนื้ออยู่ในครรภ์มารดาได้ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน 5 เดือน 6 เดือน 7 เดือน 8 เดือน 9 เดือน 10 เดือน บางพวกก็ตายหลังจาก ออกมาจากครรภ์มารดาแล้วก็มี
ชีวิตและกายนี้ ไม่แน่ว่าจักตายในขณะใด จักตายในเวลาไหน จักตายด้วยโรคอะไร ตายด้วยอาการเช่นไร ตาย ณ สถานที่ไหน ความตายเป็นของไม่แน่ แต่ที่แน่ๆ ทุกคนต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ไม่แน่ว่า จักไปเกิดในที่ใด บางพวกตายจากอัตภาพเทวดา ก็มิใช่ว่าจักมาเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะไปเกิดเป็นเทวดาก็ได้ แล้วแต่ บุญทำ กรรมส่ง ชีวิตนี้ จึงดูมิได้มีเครื่องหมายบอกให้เรารู้เสียเลยจริงๆ


7. มองให้เห็นตามเป็นจริงว่า เวลาแห่งชีวิตนี้น้อยนัก
บางพวกก็มีอายุแค่หนึ่งร้อย ส่วนที่เกินร้อยนั้นมีน้อยนัก ส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อย ชีวิตนี้มักจะมีอายุขัยน้อยนัก อายุขัยของชีวิตนี้เปรียบดัง ฟองน้ำที่ปรากฏอยู่บนผิวน้ำ บัดเดี๋ยวก็แตกกระจาย ชีวิตและร่างกายนี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต่างมีเวลาและวาสนาในการดำรงชีวิตอยู่ไม่เท่ากัน เหมือนดังฟองน้ำบนผิวน้ำ ที่ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง และในที่สุดก็จักต้องแตกดับลงอย่างรวดเร็ว
อายุขัยของชีวิตนี้เปรียบเหมือน รอยไม้ที่ขีดลงบนพื้นผิวน้ำปรากฏประเดี๋ยวเดียวก็หายไป ดูว่าชีวิตช่างไม่มีอะไรเที่ยงแท้ เสียจริงๆ แม้แต่สรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เมื่อปรากฏขึ้นแล้ว ก็มิได้มีอะไรคงทนถาวรตลอดกาลตลอดสมัยเหมือนน้ำตกที่ไหลจากที่สูง มีแต่จักไหลลงไปสู่ เบื้องล่างแต่ถ่ายเดียว ชีวิตไม่ว่าจักเริ่มต้นจากสูง ต่ำ ปานกลาง ยาว สั้น เล็ก ใหญ่ ประการใด สุดท้ายก็ต้องตกลงไปสู่ความตายในที่สุด ไม่มีผู้ใดจะปฏิเสธได้ เหมือนดังน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ มิมีใครห้ามได้ เหมือนชิ้นเนื้อที่วางไว้บนกะทะเหล็กที่ร้อนแรง เนื้อนั้นก็มีแต่จักไหม้ไปโดยเร็ว
ความเป็นไปของชีวิตนี้ ไม่ว่าจักมั่งมีมากมายหรือจนยาก ลำบากทั้งหลาย เลวดี หรือมีสุข ทุกข์อย่างไร ถ้ามีชีวิตตั้งอยู่บนความประมาท ขาดปัญญา ที่สุดตนก็ต้องรับโทษ ทุกข์ภัย ทรมาณกายใจ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า เหมือนดังชิ้นเนื้อที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังระเริงอยู่บนกะทะตั้งไฟ หรือเหมือนกับ โคที่เขาเลี้ยงเอาไว้เพื่อฆ่า นับวันก็ยิ่งใกล้วันโดนฆ่าเข้าไปทุกที ความประมาท มัวเมาในกามคุณทั้งหลาย โดยไม่คำนึงถึงความตายคงไม่ต่างอะไรกับโคที่เห็นหญ้าอ่อนแล้วตรงรี่เข้าไปหาเพื่อแทะเล็ม เคี้ยวกินให้อิ่มและอ้วนพี โดยมิได้สำนึกเลยว่า ความอยากตะกรุม ตะกรามตะกละของตน ที่พยายามกินให้อ้วนนั้น คือการเร่งให้คนฆ่าโค นำตนไปฆ่าให้เร็วขึ้น ชีวิตนี้เหมือนกับหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้า พอต้องแสงอาทิตย์และแรงลม พลันก็เหือดหายไป ฉันกำลังจะบอกให้คุณได้รู้ว่า ชีวิตนี้ไม่ว่าจะสวยงามบริสุทธิ์เล็กน้อยนิดหน่อยขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี
มีคำกล่าวว่า อายุขัยของมนุษย์ทั้งหลายนั้นน้อยนัก คนมีปัญญาอย่างพึงดูหมิ่น พึงปฏิบัติดังคนที่มีไฟไหม้อยู่บนศีรษะเถิด อย่าคิดว่าความตายจะยังไม่มาถึงเรา


8. จงพิจารณาถึงมรณสติว่ามีอยู่ทุกขณะจิตที่เกิดดับ
จิตดวงหนึ่งเมื่อเกิด ชื่อว่าชีวิตหนึ่งก็เกิดตาม จิตดวงนั้นดับ ชื่อว่าชีวิตนั้นก็ดับตาม
แต่เพราะกายนี้ประกอบด้วยจิตที่เกิด ดับจนหาประมาณมิได้ บวกกับความเร็วของจิตที่เกิดดับ และความสืบเนื่องกันอย่างถี่ยิบ สัตว์ทั้งหลาย จึงมองไม่เห็นชีวิตที่เกิดตายอยู่ทุกขณะจิตที่เกิดดับ จิตที่ดับไปแล้วเรียกว่า อดีตจิต จิตและชีวิตสัตวนั้นจึงไม่ชื่อว่าดำรงอยู่ ไม่ชื่อว่ากำลังดำรงอยู่ ไม่ชื่อว่าจักดำรงต่อไป ส่วนจิตที่ยังมิได้เกิดเรียกว่า อนาคตจิต ชีวิตและจิตของสัตว์นั้นก็ไม่มีชีวิต ไม่ชื่อว่ามีจิต ไม่ชื่อว่าสัตว์ ไม่ชื่อว่าเป็นจิตและสัตว์แล้ว แต่ได้ชื่อว่ากำลังจะเป็นจิตและสัตว์ต่อไป
ชีวิต อัตภาพ สุขทุกข์ ทั้งมวลของสัตว์นี้ เป็นไปเพียงแค่ชั่วขณะจิตเดียว แต่ที่เห็นว่ายืนยาว เพราะสันสติ ระบบความสืบต่อ ความปรุงแต่งและยึดถือ จึงทำให้สัตว์นั้นมองเห็น ชีวิต อัตภาพสุข ทุกข์ที่มีอยู่ยืนยาวชีวิตนี้เมื่อขาดความปรุงแต่ง ความสืบต่อ ชีวิตนี้จึงดูสั้นนัก ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อจักเจริญมรณสติ อาจเจริญพิจารณาข้อใดข้อหนึ่งในแปดข้อ หรือเจริญทุกข้อก็ได้ แต่ขอให้หมั่นเจริญ พิจารณาอยู่ทุกขณะของลมหายใจ จนจิตสลดปลดจากกามคุณ เครื่องร้อยรัดทั้งหลาย สติก็จะมั่นอยู่ในการพิจารณาความตายเป็น อารมณ์ จิตก็จักปลอดจากนิวรณ์ เครื่องครอบจิต องค์คุณแห่งอุปจารฌานก็จักบังเกิดขึ้น
สัตว์ทั้งหลายที่มิได้เจริญมรณสติ ย่อมมีชีวิตอยู่อย่างประมาท มัวเมา เมาในภพ เมาในชาติ เมาในวัย เมาในชีวิตความเป็นอยู่ เมาในรูป รส กลิ่น เสียง เมาในสัมผัส เมาในอำนาจวาสนา เมาในทรัพย์สมบัติ เรือกสวนไร่นา เมาในราคะ โทสะ โมหะ เมื่อเป็นผู้เมา ก็คือขาดสติ เมื่อขาดสติก็เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว หรือ ทำผิด พูดผิด คิดผิด เมื่อชีวิตมีแต่เรื่องผิดและชั่ว ก็เป็นเหตุให้เศร้าหมอง เศร้าหมองทั้งหลับและตื่น กลางวันและกลางคืน ก็เป็นเหตุให้หวาดกลัว กลัวไปต่างๆนานาแล้วแต่จิตจะพาไปด้วยอำนาจของ ความเศร้าหมองพาให้วิตกกังวล ฟุ้งซ่านด้วยใจเศร้าหมองวิตก หวาดกลัว
ครั้นเมื่อถึงเวลาตาย ย่อมหวาดผวา ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความจริง แสดงกิริยาอาการ กระวนกระวาย เป็นทุกข์เดือดร้อน เศร้าโศก ร่ำไรรำพัน พอตายเข้าจริงๆจิตนี้ก็ไปบังเกิดในภพภูมิ ที่ไม่น่าปรารถนา ต้องได้รับทุกข์ยากเดือดร้อน สุดจะพรรณนา สำหรับท่านผู้เจริญมรณสติภาวนา ย่อมไม่ประมาทมัวเมาในภพชาติ และลาภสักการะ ทั้งหลาย มีชีวิตอยู่เพื่อจะสร้างสรรสาระให้โต อย่างรู้ตัว เจียมตัว และกล้าพร้อมที่จะเผชิญกับ ความตายอย่างมีสติ ไม่หวั่นหวาด ไม่ขลาดกลัว
เหตุเพราะได้เห็นความเป็นจริงของจิต ชีวิต โลกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดา มิมีใครจะพ้นจากกติการนี้ไปได้ จิตก็จะสงบสงัดจากเครื่องเศร้า หมองทั้งปวง พอตาย ภพ ชาติ ที่ตนปรารถนาก็จักบังเกิดขึ้นแก่ตน เรียกว่าผู้เจริญมรณสติภาวนา จักสามารถเลือกภพชาติของตนที่จักไปเกิดได้ ดังใจปรารถนา




Create Date : 24 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 24 พฤศจิกายน 2550 14:21:24 น. 1 comments
Counter : 334 Pageviews.

 
สาธุ


โดย: wildbirds วันที่: 24 พฤศจิกายน 2550 เวลา:17:11:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

crimson king
Location :
นนทบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ร่างกายนี้ ไม่มีฉัน
จิตดวงนี้ ก็ไม่มีฉัน
ความรู้สึกนี้ ก็ไม่มีฉัน
ความจำนี้ ก็ไม่มีฉัน
ความคิดนี้ ก็ไม่มีฉัน
ฉัน นั้นก็ไม่มี

นักศึกษาปฏิบัติธรรมมือใหม่
กิเลสหนา สมาธิ สติช้า ปัญญาด้อย
TIMEอย่าประมาทในชีวิต เวลาหมดลงทุกขณะ
ชีวิตนั้นสั้นนัก แต่วัฏสงสารยาวไร้สิ้นสุด
Friends' blogs
[Add crimson king's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.