นกละเมอ
Group Blog
 
All blogs
 

สิ้นโลก เหลือธรรม - ศีล

ศีล บางคนที่ว่าต้องรักษาที่กาย ที่วาจา ไม่ต้องไปรักษาที่ใจ ใจเป็นเรื่องของสมาธิต่างหาก กาย วาจา มันจะเป็นอะไร มันจะทำอะไร มันก็ไม่กระเทือนถึงสมาธิ ตกลงว่า กาย กับ ใจ แยกกันเป็นคนละอัน ตรงนี้ผู้เขียนไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องเหล่านี้พิจารณาเท่าไร ๆ ก็ ไม่เข้าใจจริงๆ ขอแสดงความโง่ออกมาสักนิดเถอะ สมมุติว่าคนจะไปฆ่าเขา หรือขโมยของเขาจำเป็นจิตจะต้องเกิดอกุศลบาปกรรมขึ้นมา แล้วจะต้องไปซุ่มแอบ เพื่อไม่ให้เขาเห็น เมื่อได้โอกาศแล้ว จะต้องลงมือฆ่า หรือขโมยของเขาตามเจตนาของตนแต่เบื้องต้น การที่จิตคิดจะฆ่า หรือขโมยของเขา แล้วไปซุ่มอยู่นั้นมิใช่หรือ ถ้าจิตนั้นเป็นอกุศลพร้อมแล้วทุกประการที่จะทำบาปมิใช่หรือ ถ้าจิตอันนั้นมีสติรักษา สำรวมได้ไม่ให้กระทำ เลิกซุ่มเสีย ศีลก็จะไม่ขาด ตกลงวาใจเป็นตัวการ ใจเป็นต้นเหตุที่จะให้ศีลขาดแลไม่ขาด จะว่ารักษาศีลไม่ต้องรักษาใจได้อย่างไร
ท่านว่า รักษาศีล คือ รักษาที่กาย วาจา ใจ ๓ อย่างนี้ มิใช่หรือ
ในทางธรรม พระพุทธเจ้าก็เทศนาว่า "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจถึงก่อน สำเร็จแล้วด้วยใจ" จะพูด จะคุย ก็เกิดจากใจทั้งนั้น พูดถึงธรรมแล้ว ที่จะไม่พูดถึงเรื่องใจแล้วไม่มี คำว่า "ธรรมทั้งหลายมีใจก่อน" นั้นชัดเจนเลยทีเดียว ที่ว่า "ธรรมทั้งหลาย" นั้น หมายถึงการกระทำทุกอย่าง ทำดีเรียกว่า กุศลธรรม ทำชั่วเรียกว่า อกุศลธรรม ทำไม่ดี ไม่ชั่ว เรียกว่า อพยากฤตธรรม เรียกย่อๆ เรียกว่าทำบุญ ทำบาป หรือไม่ทเป็นบุญไม่เป็นบาป (ข้อสุดท้ายนี้ ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะไม่ทำบาป ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง)
เมื่อผู้เขียนพิจารณาถึงเรื่องเหตุ ผล ในธรรมทั้งหลายแล้ว ที่ว่า ศีลให้รักษาที่กายแลวาจา สมาธิ ให้รักษาที่ใจ ไม่ปรากฎเห็นมี ณ ที่ใด หากผู้เขียนจำตำราที่เขียนไว้ไม่เข้าใจ หรือตีความหมายของท่านไม่ถูก เพราะความโฉดเขลาเบาปัญญาของตนเอง ก็สุดวิสัย พระพุทธองค์ยังทรงเทศนาให้พระผู้กระสันอยากสึกว่า พระวินัยในพระศาสนานี้มีมากนัก ข้าพระองค์ไม่สามารถที่จะรักษาให้บริบูรณ์ได้ ข้าพระองค์จะสึกละ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า " อย่างสึกเลย ถ้าพระวินัยมันมากนัก เธอจงรักษาเอาแต่ใจอันเดียวเถิด" นี่แหละ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้เอาแต่ใจอันเดียวซ้ำเห็นไร นี่เรารักษาศีล จะทิ้งใจเสีย แล้วจะรักษาศีลได้อย่างไร ผู้เขียนมืดแปดด้านเลยจริงๆ




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 23:35:46 น.
Counter : 295 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม - ขั้นที่ ๒

ขั้นที่ ๒ จะต้องมีศีล ๕ ประจำอยู่ในตัวเป็นนิจ ศีล ๕ นี้ เมื่อเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมแล้ว รักษาง่ายนิดเดียว เพราะศีล ๕ พระพุทธเจ้าพระองค์ห้ามไม่ให้ทำความชั่ว เมื่องดเว้นจากการกระทำความชั่วแล้ว ก็เป้นอันว่ารักษาศีลเท่านั้นเอง บาปกรรม ความชั่วทั้งหมดที่คนเรา หรือสัตว์ทั้งหลายที่กระทำกันอยู่ในโลก ท่านประมวลไว้รวมกันอยู่ มี ๕ ข้อเท่านั้นเอง ใครจะทำอะไร หรือที่ไหน ก้มารวมลง ๕ ข้อนี้ทั้งนั้น
จิต เป็นตัวการของสิ่งทั้งปวงหมด ท่านจึงให้สำรวมจิต
จิต คิดงดเว้นที่จะฆ่าสัตว์ตัวเป็นให้ตาย ๑
จิตคิดงดเว้นที่จะลักขโมยของเขาที่เจ้าของหวงแหนมาเป้นกรรมสิทธิ์ของตน ๑
จิตคิดงดเว้นที่จะไม่ล่วงละเมิดผิดลูกเมียของคนอื่น ๑
จิตคิดงดเว้นที่จะไม่กล่าวคำเท็จ คำไม่จริงคำหยาบคาย หรือวาจาส่อเสียดผู้อื่น ๑
จิตคิดที่จะไม่ดื่มสุราเมรัย น้ำดองของมึนเมา ๑
ทั้ง ๕ ข้อนี้ ถ้าคนใดรักษาได้ ก็ได้ชื่อว่ารักษาศีล ๕ ได้อันเป้นเหตุนำความสุขมาให้แก่หมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ถ้างดเว้นไม่ได้ ก็ได้ชื่อว่าคนนั้นไม่มีศีล อันจะเป้นเหตุให้นำความทุกข์เดือดร้อนมาให้แก่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ปราชญ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ท่านจึงงดเว้นบาปกรรม ความชั่วทั้งปวงเหล่านี้ แล้วแนะนำสั่งสอนมวลมนุษย์ทั้งปวงให้งดเว้นทำตามด้วย
ผู้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ดังได้อธิบายมาแล้ว แลมีศีล ๕ เป็นเครื่องรักษา กาย วาจา แลใจ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เข้าถึงพระพุทธศาสนาเป็นที่สอง แล้วจึงตั้งใจชำระจิตชำระใจของตนด้วยการทำสมาธิต่อไป ถ้าไม่เข้าถึงหลักพระพุทธศาสนาแล้ว จะทำสมาธิชำระจิตของตนได้อย่างไร แม้แต่ความเห็นของตนก็ยังไม่ตรงต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา เช่น เห็นว่ากรรมที่ตนกระทำแล้ว คนอื่น แลสิ่งอื่น เอาไปถ่ายทอดให้คนอื่นแลสิ่งอื่นได้ หรือกรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ให้คนอื่นเอาไปใช้ให้หมดสิ้นไปได้ อย่างนี้เป็นต้น




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 23:34:15 น.
Counter : 265 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม03

สิ้นโลก เหลือธรรม
โดย
พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์
(เทสก์ เทสรังสี)
พระพุทธเจ้าได้อุบัติเกิดขึ้นมาในโลก เป็นศาสดาเอกด้วยการตรัสรู้ชอบเอง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สอน แล้วก็นำเอาธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มาสอนแก่มนุษย์ทั้งปวง ด้วยธรรมที่สอนนั้น สอนมีเหตุมีผล มิใช่ไม่มีเหตุมีผล เป็นของอัศจรรย์ สมควรที่ผู้ฟังทั้งหลายตรึกตรองแล้วจะเข้าใจได้ แลไม่ได้บังคับให้ผู้ใดมานับถือ แต่เมื่อผู้ฟังทั้งหลายมาฟังตรึกตรองตามเหตุผลแล้ว เห็นดี เห็นชอบ มีเหตุมีผล แล้วเลื่อมใสศรัทธาจึงเข้ามานับถือด้วยตนเอง ซึ่งผิดจากศาสนาอื่นแลลัทธิอื่น บางลัทธิบางศาสนาอื่น อื่น ซึ่งเขาห้ามไม่ให้วิจารณ์ศาสนาของเรา ส่วนพุทธศาสนา ท้าให้วิจารณ์ได้เต็มที่เลย วิจารณ์เห็นเหตุ เห็นผล แน่ชัดด้วยตนเองแล้ว จึงนับถือด้วยความเป็นอิสระ และมื่อยอมรับนับถือแล้ว ความคิดความเห็นและการปฏิบัติ ก็จะเป็นไปในแนวเดียวกันทั้งหมด โดยที่มิได้บังคับ หรือนัดแนะกันไว้ก่อนเลย หากแต่เป็นไปตามเหตุผล ดังนี้คือ
ขั้นที่ ๑ เชื่อกรรม เขื่อผลของกรรม "กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฏิสรณา ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วาตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ" ทัง๖ อย่างนี้ เชื่อมั่นแน่วแน่อยู่ในใจของตนทุกๆคนตลอดชีวิต
กมฺมสฺสกา คนเราเกิดขึ้นมา พอรู้ภาวะเดียงสาแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตากระทำแต่กรรมเรื่อยไป ไม่ด้วยกาย ก็ด้วยวาจา หรือด้วยใจ จะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ เรียกว่า กมฺมสฺสกา ๑
การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีผลทั้งนั้น ไม่ดีก็ชั่ว ไม่เป็นบาปก็เป็นบุญ จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น กาย วาจา และใจ เกิดมาได้กระทำกรรมนั้นๆไว้ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้นๆ สืบไป เรียกว่า กมฺมทายาทา ๑
ผลของกรรมดีย่อมนำเอากาย วาจา และจิตอันนี้ ให้ไปเกิดเป็นสุขในโลกนี้ และโบกหน้า ผลจองกรรมชั่ว ย่อมนำเอากาย วาจา และจิตอันนี้ให้ไปเกิดเป็นทุกข์ในโลกนี้ และโลกหน้า เรียกว่า กมฺมโยนี ๑
กรรมที่กาย วาจา แลใจ ได้กระทำไว้ในภพก่อน บันดาลให้ในภพที่ตนเกิดแล้วให้เป้นไปต่างๆ นานา เรียกว่า กมฺมพนฺธู ๑
คนเราเกิดมาเพราะกรรม ดังที่อธิบายมาแล้ว แล้วจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ต้องมีการกระทำทั้งนั้น ไม่ทำดี ก็ทำชั่ว เพื่อการเลั้ยงชีพของตน เราต้องอาศัยกรรมนั้นๆ เป็นเครื่องอยู่อาศัย ฉะนั้น กรรมนั้นจึงเรียกว่า กมฺมปฏิสรณา ๑
ฉะนั้น บุคคคเกิดมา จึงควรตัดสินใจของตนเองว่า เราจะทำกรรมดี หรือกรรมชั่ว กรรมดีแลกรรมชั่วนั้น ไม่ใช่เป็นของคนอื่น เป็นของเราเอง กรรมนี้เท่านั้นจะจำแนกแจกมนุษย์แลสัตว์ให้เป็นต่างๆ นานาได้ นอกจากกรรมแล้ว ใคร แลสิ่งใดในโลกนี้ จะมาจำแนกไม่ได้เลย จึงเรียกว่า กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺติ ๑ทั้ง ๖ อย่างนี้ ย่อมเชื่อแนบแน่นอยู่ในใจของผู้นับถือพระพุทธศาสนา จนตลอดชีวิต
มนุษย์เราเกิดมาเพราะกรรมยังไม่สิ้นสุด กรรมเก่าที่นำให้มาเกิดนั้นแหละ พาให้กระทำกรรมใหม่อีก กรรมใหม่นั้นแหละ เป็นเหตุให้นำไปเกิดชาติหน้า เป็นกรรมเก่าอีก อธิบายว่า กรรมใหม่ในชาตินี้ เป็นเหตุให้นำไปเกิด เป็นกรรมในชาติหน้าต่อไป
อนึ่ง กรรมทั้งหมดเกิดจาก กาย วาจา และใจ สายเดียวกันทั้งสิ้นจึงได้ชื่อว่า กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของกรรมด้วยกันแลกัน จึงเรียกว่า กมฺมพนฺธู
ผู้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ดังที่อธิบายมาแล้ว ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนา หรือเข้าถึงพระไตรสรณาคมน์เป็นขั้นแรก




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 11:19:15 น.
Counter : 272 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม02

สิ้นโลก เหลือธรรม
โดย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์
(เทศก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

"
โลก คือ จิตของคนเรา มาหลอกลวงจิต
ให้หลงในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นจริงเป็นจัง
แต่แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นแต่เพียงมายาเท่านั้น
เกิดมาแล้วก็สลาย แตกดับไปเป็นธรรมดาของมัน




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 9:12:57 น.
Counter : 225 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม

สิ้นโลก เหลือธรรม
โดย
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฎ์
(เทศก์ เทสรังสี)

ปณามพจน์
นมตฺถุ รตนตฺตยสฺส

ข้าพระพุทธเจ้าจอนมัสการกราบไหว้แทบบาทพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบไว้ในที่สูงเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของข้าพระพุทธเจ้า
พระธรรมคำสอนที่พระองค์ตรัสรู้แล้วนั้นเป็นนิยยานิกธรรม นำมนุษย์สัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ได้จริง พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนแก่หมู่พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็ดี ธรรมที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์จนรู้แจ้งชัดด้วยใจของตนเองก็ดี ธรรมเหล่าใดที่ข้าพระพุทธเจ้าปฏิบัติจนเห็นจริงในสิ่งนั้นๆ แล้วมั่นใจว่าเป็นของจริงของแท้ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ประมาทดูถูก ล้วนแต่เป็นที่เคารพนับถืออย่างยิ่งของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอเทิดทูนไว้ในที่สูงที่ควรเคารพ
หมู่พระสงฆ์สาวกที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนเห็นแจ้งประจักษ์ชัดในธรรมนั้นๆ แล้วนำเอาธรรมนั้นมาเผยแผ่แก่มนุษย์สาธุชนทั้งหลาย ข้าพระพุทธเจ้าขอแสดงความเคารพนับถือหมู่พระสงฆ์เหล่านั้น




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 11:10:25 น.
Counter : 250 Pageviews.  

1  2  

นกละเมอหลงเวลา
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add นกละเมอหลงเวลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.