นกละเมอ
Group Blog
 
All blogs
 

สิ้นโลก เหลือธรรม-คนเราไม่รู้จักศีล

คนเราไม่รู้จักศีล(คือตัวของเรา) และไม่เข้าใจถึงศีล(คือข้องดเว้น) ข้อห้ามไม่ให้ทำความชั่วจึงโทษพระองค์ว่า บัญญัติศีลไว้มากมายสมาทานไม่ไหว มีคนบางคนพูดว่า บวชนานเท่าไร ดูพระวินัยมาก ๆ มีแต่ข้อห้าม นั่นก็อาบัติ นี่ก็อาบัติ บาปมากเข้าทุกที สู้บวช ๓ วัน ๗ วันไม่ได้ ไม่ได้เป็นอาบัติดี คำพูดของผู้เห็นเช่นนั้นนับว่าน่าสลดสังเวชมาก พระพุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาในเมืองไทยของเรา นับตั้งสองพันกว่าปีแล้วแสงธรรมยังไม่ส่องถึงจิต ถึงใจของเขาเลย น่าสงสารจริงๆ เหมือนกับเต่านอนเฝ้ากอบัว ไม่รู้จักกลิ่นดอกยัวเลย
เมื่อศีลเข้าถึงจิต เข้าถึงใจแล้ว เราไม่ต้องรักษาศีล ศีลกลับรักษาตัวเราเอง ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่งนอน อิริยาบถใดๆ ศีลต้องระวังสังวรอยู่ทุกอิริยาบถ ไม่ให้ละเมิดทำความชั่ว แม้แต่จิตจะคิดวิตกว่าเราจะทำความชั่ว ก็รู้แล้ว แลจะละอายต่อความชั่วนั้นไ ทั้งที่คนทั้งหลายยังไม่ทันจะรู้ความวิตกของเรานั้นเลย ความเกลียด โกรธ พยาบาท อาฆาต ทั้งหลายมันจะมีมาจากไหน เพราะหัวใจมันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา กรุณา เข้ามาอยู่เต็มไปหมดแล้วในหัวใจ
ศีล คือ ความปกติของกาย วาจา และใจ ถ้าใจไม่ปกติเสียแล้ว กาย วาจา มันจะปกติไม่ได้ เพราะกาย วาจา มันอยู่ในบังคับของจิต ดังอธิบายมาแล้วแต่เบื้องต้น เพราะฉะนั้น ผู้ต้องการให้เข้าถึงศีลที่แท้จริงแลเข้าถึงพุทธศาสนาให้จริงจัง พึงฝึกหัดจิตของตนให้เป็นสมาธิต่อไป




 

Create Date : 23 กันยายน 2551    
Last Update : 23 กันยายน 2551 23:41:00 น.
Counter : 347 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม - ให้เข้าหาจิต(๐๒)

ดังผู้เขียนเคยได้ยินพระบางรูปพูดวา พระมีศีล ๒๒๗ ข้อ ฆราวาส มีศีล ๕ ข้อ ฆารวาสต้องรักษาศีลให้ดีน่ะ ถ้าไม่ดีมันขาดเอา ถ้าข้อหนึ่งก็คงยังเหลือ ๔ ข้อ ถ้ขาด ๒ ข้อ ก็คงยังเหลือ ๓ ข้อ ถ้าขาด ๓ ข้อก็คงยังเหลือ ๒ ข้อ ถ้าขาอ ๔ ข้อ ก็คงเหลือข้อเดียว ถ้าขาด ๕ ข้อ ก็หมดกันเลย ไม่เหมือนพระภิกษุท่านมีศีล ๒๒๗ ข้อถึงท่านขาด ๙ - ๑๐ ข้อ ท่านก็ยังเหลืออยู่แยะนี่แสดงว่าท่านองค์นั้นท่านรักษาศีลไม่ได้รักษาที่ใจ รักษาแต่กายว่าจา ๒ อย่างเท่านั้น ไม่ได้คิดว่า ใจผู้คิดล่วงละเมิดในสิกขาบทนั้นๆ เป้นบาป
แล้วจึงบังคับให้กาย วาจาทำ ก็สนุกดีเหมือนกัน เอาศีลสิกขาบทนั้นๆ มาอวดอ้างกันว่าใครจะมีศีลมากกว่ากัน
ความจริงแล้ว พระวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้นั้น ทรงบัญญัติเข้าถึงกาย วาจา แลใจ ที่แสดงออกมาทางกาย แลวาจานั้นส่อถึงจิต ผู้คิด ผู้นึกผู้ปรุง ผู้แต่ง แล้วจึงบังคับให้กาย
แลวาจากระทำตามต่างหากดังที่อธิบายมาแล้วในข้างต้น

พระพุทธองค์ท่านทรงบัญญัติพระวินัยไว้ เพื่อให้พระภิกษุสามเณร ผู้ไม่รู้พระวินัยให้ปฏิบัติตามนั้น นับว่าเป็นบุญแก่พวกเราอักโขแล้ว ประพฤติสิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม ไม่เหมาะสมแกาสมณสารูป พระองค์ห้ามไว้ไม่ให้กระทำ เพื่อความดีของตนเองนั้นแหละ มิใช่เพื่อประโยชน์แก่คนอื่น แลมิใช่เพื่อประ
ดยชน์แก่พระองค์ เราหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว พระองค์มาเป็นที่พึ่ง ชี้บอกทางให้นับว่าเป็นบุญเหลือล้นแก่พวกเราแล้ว

ผู้รักษาศีลไม่เข้าถึงใจ ถึงจิตแล้ว รักษาศีลยาก หรือ รักษาศีลเป็น "โคบาลกะ" ว่า เมื่อไรหนอจะถึงเวลามืดค่ำ จะไล่โคเข้าคอก แล้วเราจะได้พักผ่อนนอนสบาย ไม่เข้าใจว่า
เรารักษาศีลเพื่อความบริสุทธิ์สะอาดของ กาย วาจา แลใจ รักษาได้นานเท่าไร มากเท่าไร ยิ่งสะอาดมากเท่านั้น รักษาจนตลอดชีวิตได้ยิ่งดีใหญ่ เราจะได้ละความชั่วได้ในชาตินี้ไปเสียที




 

Create Date : 18 กันยายน 2551    
Last Update : 18 กันยายน 2551 11:18:38 น.
Counter : 227 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม - ให้เข้าหาจิต

ให้เข้าหาจิต จับจิตผู้คิด ผู้นึก ให้ได้เสียก่อน จิตมันคิดนึกอยากจะทำบาปทางกาย มันสั่งให้กายนี้ไปฆ่าสัตย์ ลักทรัพย์ของคนอื่น สั่งให้กายนี้ไปประพฤติผิดในกาม จิตมันคิดจึกอยากจะทำบาปด้วยวาจา มันก็สั่งวาจาให้ไปกระทำบาป ด้วยการพูดเท็จ พูดคำหยาบคาย ด่าคนนั้นคนนี้ พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล หาประโยชน์มิได้ จิตมันคิดนึกอยากจะทำความชั่วทางกาย ด้วยการกระทำกายอันนี้ให้เป็นคนบ้า มันก็ให้กายนี้เอาน้ำเมามากรอกใส่ปาก แล้วก็ดื่มลงไปในลำคอ กายก็จะแสดงฤทธิ์บ้าออกมา ต่างๆ นานา

ตรงกันข้าม ถ้าจิตมันละอายจากบาป กลัวบาปกรรม เห็นโทษที่จิตคิดไปทำเช่นนั้น แล้วจิตไมคิดนึกที่จะทำเช่นนั้นเสีย กายแลว่าจาอันนี้ก็จะเป็นศีลขึ้นมา

นี่แหละ ถ้าผู้ใดเห็นจิตอันมีอยู่ในกาย แลวาจาอันนี้แล้ว แลจับจิตอันนี้ได้แล้ว จะเห็นบาปกรรมแลศีลธรรม ซึ่งอยู่ในโลกทั้งหมด บาปกรรม ศีล ธรรม ย่อมเกิดจากจิตนี้อันเดียวเท่านั้น ถ้าจิตอันนี้ไม่มีเสียแล้ว บาปกรรม ศีล ธรรม เหล่านั้นก็ไม่มี รักษาศีลต้องถือจิต รักษาจิตก่อนจึงจะรักษาศีลถูกตัวศีลแท้




 

Create Date : 18 กันยายน 2551    
Last Update : 18 กันยายน 2551 9:06:04 น.
Counter : 241 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม - ผู้จะถึงไตรสรณาคมน์

ผู้จะถึงไตรสรณาคมน์ ต้องถือหลัก ๕ ประการนี้ให้มั่นคง คือไม่ประมาทพระพุทธเจ้า ๑ ไม่ประมาทพระธรรม ๑ ไม่ประมาทพระสงฆ์ ๑ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าเราทำดีต้องได้ดี เราทำชั่วต้องได้ชั่ว ไม่เชื่อว่าของภายนอกจะมาป้องกันภัยพิบัติเราได้ ๑ ไม่ทำบุญ ภายนอกพระพุทธศาสนา ๑
การเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ว่าเราทำดีย่อมได้ดี เราทำชั่วย่อมได้ความชั่ว ชัดเจนในใจของตนแล้ว ศีล ๕ ย่อมไหลมาเอง ๓ ข้อเบื้องต้น แลข้อหนึ่งเบื้องปลาย ไม่เป้นของสำคัญ
ฆราวาสต้องสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ ถึงศีล ๑๐ แลศีล ๒๒๗ ฆราวาสก็รักษาได้เป็นข้อๆ แต่อย่าสมาทานก็แล้วกัน เพราะ ศีล คือ ข้อห้ามไม่ให้ทำบาป ฆราวาสก็ไม่มีข้อบังคับว่าไม่ให้ทำบาปเท่านั้นข้อ เท่านี้ข้อถึงแม้พระภิกษุ แลสามเณรก็เหมือนกัน ที่พระองค์บัญญัติไว้ ฆราวาสต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๘ สามเณร ต้องรักษาศีล ๑๐ ภิกษุต้องรักษาศีล ๒๒๗นั้น พระองค์ทรงบัญญัติพอให้เป็นมาตรฐานเบื้องต้น ให้เป็นเครื่องหมายว่า ฆราวาส สามเณร ภิกษุ มีชั้นภูมิต่างกันอย่างนี้ๆ เท่านั้น ถ้าเห็นว่าบาปกรรมที่ตนทำลงแล้ว จะต้องตกมาเป็นของเราเอง แล้วงดเว้นจากบาปกรรมนั้นๆ จะมากเท่าไรยิ่งเป็นการดี ดังที่อธิบายมาแล้ว พระพุทธองค์ก็มิได้ห้าม ทรงห้ามแต่การกระทำความชั่วอย่างเดียว
เมื่อพูดถึงความชั่ว คือบาปแล้ว คนเกิดมาในโลกนี้เจอะเอามากเหลือเกิน แทบจะกระดิกตัวไม่ได้เลยทีเดียว กระดิกตัวไปที่ไหนก็เจอแต่บาปทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงสรุปให้พวกเราเห็นย่อๆ ไว้ดังนี้




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 23:37:43 น.
Counter : 203 Pageviews.  

สิ้นโลก เหลือธรรม - ฆราวาสผู้มีศรัทธา

ฆราวาสผู้มีศรัทธาแก่กล้า จะรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ก้ได้แต่ศีล๑๐ นั้น รักษาตลอดเวลาไม่ได้ ถ้าเรามีศรัทธา จะรักษาเป็นครั้งเป็นคราวนั้นได้ ส่วนศีล ๒๒๗ ก็เช่นเดียวกัน จะรักษาข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่ห้าม แต่อย่าไปสมาทานก็แล้วกัน
อย่างครั้งฆฏิการพรหมเสวยพระชาติเป็นฆฏิการบุรษ เลี้ยงบิดามารดาตาบอดทั้งสองข้าง ทั้งสองคนด้วยการตีหม้อเอาไปแลกอาหารมาเลี้ยงบิดา มารดา ตาบอด อยู่มาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าชื่อ กัสสปะ เสนาสนะของสงฆ์ไม่มีเครื่องมุง พระองค์ใช้ให้พระไปขอเครื่องมุงกับฆฏิการบุรุษ ฆฏิการบุรุษรื้อหลังคาบ้านถวายพระสงฆ์ทั้งหมด ในพรรษานั้น ฆฏิการบุรุษมุงด้วยอากาศตลอดพรรษา ฝนไม่รั่วเลย
วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินนิมนต์พระพุทธเจ้าชื่อกัสสปะ เข้าไปเสวยในพระราชวัง พอเสร็จแล้วจึงได้อาราธนาขอนิมนต์ให้จำพรรษาในสวนพระราชอุทยาน พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า "ขอถวายพระพร อาตมาภาพได้รับนิมนต์ของฆฏิการบุรุษก่อนแล้ว" พระเจ้าแผ่นดินจึงตรัสว่า "ข้าพระองค์เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลายในแว่นแคว้นอ้นนี้มิใช่หรือ เมื่อช้าพระองค์นิมนต์ทำไมจึงไม่รับ ฆฏิการบุรุษมีอีกอย่างไร"
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงเล่าพฤติการณ์ของฆฏิการบุรุษถวายพระเจ้าแผ่นดิน ตั้งแต่ต้นจนอวสาน เมื่อพระองค์ได้สดับแล้วก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสในฆฏิการบุรษเป็นอันมาก จึงให้ราชบุรุษเอาเกวียนบรรทุกสิ่งของต่างๆ มีข้าวสาร ถั่ว งา เนยใส เนยข้น เปลี่ยงมัน เป็นต้น ไปให้แก่ฆฏิการบุรุษ เมื่อฆฏิการบุรุษเห็นจึงถามว่า นั้นใครให้เอามา ราชบุรษจึงบอกว่า พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้เอามาให้ท่าน ฆฏิการบุรุษจึงบอกว่า ดีแล้วพระเจ้าแผ่นดินพระองค์มีภาระมาก เลี้ยงผู้คนเป็นจำนวนมาก เราหาเลี่ยงกันสามคนไม่ลำบากอะไร ช่วยกราบบังคมทูลว่าของทั้งหมด เราขอถวายคืนให้พระเจ้าแผ่นดินไว้ตามเดิมก็แล้วกัน
ฆฏิการบุรุษเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้า เพียงแค่ขุดดินมาปั้นหม้อก็ไม่ทำ อุตส่าห์ไปหาขวายหนู ขวายตู่น และตลิ่งที่มันพัง เอามาปั้นหม้อ ส่วยสิกขาบทที่หยาบกว่านั้น ทำไมผู้รักษาศีล จะละเว้นไม่ได้ ศีล ๕ เป็นเสมือนท่านบัญญัติตราไว้สำหรับโลกนี้ ผู้จะทำดีต้องเว้นข้อห้าม ๕ ประการนี้ ผู้จะประพฤติความชั่วก็ทำตาม ๕ ข้อนี้เป็นหลักฐาน จะพ้นจาก ๕ ข้อนี้แล้วไม่มี




 

Create Date : 02 กันยายน 2551    
Last Update : 2 กันยายน 2551 23:37:08 น.
Counter : 291 Pageviews.  

1  2  

นกละเมอหลงเวลา
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add นกละเมอหลงเวลา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.