บทที่ 4 "บ้าน วัด โรงเรียน"
มาถึงบ้านใหม่และได้ทำความรู้จักกันบ้างแล้ว ได้เวลาไปโรงเรียนเสียที
เปิดเทอมแล้วจ้า
ตื่นเช้าหน่อยนะ โรงเรียนใหม่ค่อนข้างจะไกลบ้านอยู่สักนิด ไม่มากหรอก
ประมาณแค่สามกิโลเมตรเอง ไปกลับรวมเป็นหก
ที่นี่ไม่มีรถสามล้อถีบ ไม่มีรถตุ๊กๆเหมือนในเมือง รถจักรยานก็ไม่มี
ถึงมีก็ถีบไม่เป็น เรือโดยสารนานๆมา เพราะฉะนั้นไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าเดิน
จะสงสารหนูอ้นดีไหมนี่
เช้าๆจะเห็นเด็กนักเรียนออกเดินไปบนถนน บ้างเดินดุ่มๆคนเดียว
บ้างก็จับกลุ่มเดินไปคุยเล่นกันไป วันแรกๆยายเดินไปส่ง
แต่รู้สึกจะมีปัญหาเพราะชอบร้องไห้ตามยายกลับบ้าน
หลังๆยายเลยตัดใจฝากให้ไปพร้อมกับเด็กอื่นๆในละแวกนั้น เมื่อไม่มีใครไปส่ง
ฉันก็ไปกับพวกนั้นได้สบายมาก และบางวันฉันก็ไปคนเดียว
เปิดเทอมใหม่ๆยังแต่งชุดนักเรียนถูกต้องตามระเบียบ
ใส่ถุงเท้าขาวสะอาดรองเท้าหนังสีดำขัดมันวับ แหม...ก็เด็กจากในเมือง
แต่พอไม่นานฝนตกแทบทุกวัน ถนนบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อเป็นเลน
ดินเหนียวติดรองเท้าหนึบหนับเดินลำบาก คุณครูจึงบอกว่าจะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้
ประกอบกับรองเท้าเริ่มจะคับเพราะใส่มาตั้งแต่ประถมหนึ่ง
ฉันเลยฉวยโอกาสไม่ใส่รองเท้าไปโรงเรียนเสียเลย
ได้เดินเท้าเปล่าเป็นมนุษย์ตีนไก่สมใจอยาก
ได้เดินไปบนเลนหนาๆนุ่มๆ ปล่อยให้มันเล็ดทะลักขึ้นมาตามง่ามนิ้ว
อู้ฮู...มันเป็นความรู้สึกสุดแสนวิเศษจริงๆ
พอเบื่อก็ลงไปล้างเท้าที่แอ่งน้ำหรือนาข้าวสองข้างทาง
ได้แวะทักทายกับลูกปลาตัวน้อยที่ว่ายอยู่ริมคันนา สนุกดี
ตอนอยู่ในเมืองไม่เคยได้ทำ
คงไม่ต้องสงสารหนูอ้นคนชอบเดิน (เล่น) แล้วละ
ถึงแล้วจ้ะ
โรงเรียนใหม่ของฉันก็ยังเป็นโรงเรียนวัด มีชื่อน่ารักว่าโรงเรียนวัดคูเต่า
แต่ไม่เห็นมีคูสักหน่อย และไม่เห็นมีเต่าสักตัว มีแต่สระบัวขนาดใหญ่
แรกๆฉันตื่นตาตื่นใจกับดอกบัวหลวงสีชมพูหลายสิบดอกที่ชูช่อบานสะพรั่งบนก้านยาวสีเขียวแข็งแรง
คุณครูไม่อนุญาตให้เด็กๆเข้าใกล้สระ เลยได้แต่มองดูอยู่ห่างๆ
ไม่เหมือนดอกพุดซ้อนสีขาวข้างอาคารที่ฉันชอบไปสูดกลิ่นหอมเย็นระรื่นก่อนเข้าชั้นเรียน
โรงเรียนตั้งอยู่ข้างวัดคูเต่าซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวหนึ่งหลัง
และห้องโล่งๆกว้างๆหลังคามุงจากอีกหนึ่งหลัง
ข้างโรงเรียนคือคลองอู่ตะเภาที่ไหลผ่านตัวอำเภอ บ้านพ่อแม่ และตายายนั่นเอง
หลังจากที่ไหลคดเดี้ยวเป็นสายเดียวมาไกลลิบ ถึงตรงนี้ลำน้ำแยกเป็นสองสาย
แต่ไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบเหมือนกัน
ตรงนี้จึงเป็นทางสามแพร่ง
ฝั่งตรงข้ามกับวัดเป็นสถานีตำรวจซึ่งมีอยู่สถานีเดียวบนเส้นทางนี้นับจากตัวอำเภอเป็นต้นมา
มีสะพานให้ชาวบ้านใช้ข้ามสัญจรไปมา ซึ่งน่าหวาดเสียวสำหรับฉันยิ่งนัก
เพราะเป็นสะพานแขวนที่เวลาเดินมันจะโยนตัวแกว่งไปแกว่งมา
ฉันเคยข้ามสะพานนี้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนประมาณ 2-3 ครั้ง
ด้วยการเดินที่ช้าพอๆกับเต่าคลาน
ตอนหลังรำคาญตัวเองที่ไม่หายกลัวสักทีก็เลยเลิกไปซะเลย
ทุกวันพฤหัสบดีเป็นวันที่ชาวบ้านละแวกนั้นกำหนดให้เป็นวันนัดสำหรับนำสินค้ามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน
ตลาดนัดแบบนี้มีอยู่ทั่วไปตามตำบลต่างๆ จะเป็นวันอะไรก็แล้วแต่จะตกลงกัน
สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์โดยสารระหว่างตำบลที่อยู่รอบนอกของอำเภอ
แม้แต่รถมอเตอร์ไซค์และจักรยานก็แทบจะนับคันได้
รถจักรยานเป็นรถคันสูงใหญ่ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ชาย
ที่นั่งซ้อนท้ายใหญ่มากเหมาะสำหรับเป็นที่วางของ
คนไม่มีรถก็หาบหรือเทินของไว้บนศีรษะ
คนที่มีสินค้ามากก็ใช้รถเข็นที่ต่อไว้เตี้ยๆเข็นของมาขาย
พาหนะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้กันคือเรือเครื่องหางยาว
ซึ่งมักจะทำหลังคาสังกะสีคลุมช่วงกลางลำเรือ
เพราะภูมิภาคนี้ฝนตกค่อนข้างชุกและนานหลายเดือน
ตลาดนัดวัดคูเต่าเป็นตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนั้น เพราะเป็นชุมทาง
วันนัดจึงกลายเป็นที่ชุมนุมของเรือหางยาวที่มารับส่งคนและสินค้าจากตำบลไกลๆ
ชาวบ้านจากหมู่บ้านริมทะเลสาบนำอาหารทะเลมาขาย
ชาวบ้านแถวบ้านฉันก็นำสินค้าจากเรือกสวนไร่นา ผลไม้ต่างๆ ข้าวสาร
น้ำตาลโตนดที่ทำมาจากต้นตาล รสชาติหวานหอม
มีพ่อค้าล่องเรือมาจากอำเภอนำสินค้าจำพวกผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน
มีคนเล่นกล
นอนหงายเอาก้อนหินทุกอกแล้วลุกขึ้นมาเดินปร๋อไม่เป็นอะไรท่ามกลางความสนใจของคนที่มุงดู
จากนั้นก็โฆษณาขายยาสรรพคุณวิเศษต่างๆนานา ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาเรียกว่า
“ปาหี่”
มีอาหารขายหลายอย่าง เช่น ข้าวยำปักษ์ใต้ ขนมจีนน้ำยา
แต่อยากจะขอแนะนำอาหารพื้นเมืองอย่างหนึ่งเรียกว่า เต้าคั่ว
เครื่องปรุงก็มีเส้นหมี่ลวก ถั่วงอกลวก ผักบุ้งลวก แตงกวาซอยบางๆ
กุ้งชุบแป้งทอด เต้าหู้ทอด ไขต้มยางมะตูม ราดด้วยน้ำปรุงรสเปรี้ยวๆหวานๆ
รสชาติดีคล้ายๆสลัดชนิดหนึ่ง เรียกชื่ออาหารชนิดนี้อีกอย่างว่า เปรี้ยวหวาน
ต่อมามีบางคนตั้งชื่อเสียเก๋ไก๋ว่า สลัดทะเลสาบ
ขนมก็มีมากมายหลายชนิด ขนมสุดโปรดของฉันคือ ขนมปั๋มและขนมหัวล้าน
อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้น ขนมชื่อนี้มีจริง
ขนมปั๋มคล้ายๆขนมถ้วยฟูทางภาคกลาง
แต่ตัวขนมเป็นสีน้ำตาลอ่อนที่หอมหวานด้วยรส กลิ่น และสีของน้ำตาลโตนด
เวลากินก็คลุกมะพร้าวขูดโรยเกลือเล็กน้อยพอเค็มปะแล่มๆ อร่อยค่ะ
ขนมหัวล้าน ฟังชื่อแล้วจะกินลงไหมนี่ ท่าทางจะเหม็นเขียวมาเชียว
ใครนะช่างตั้งชื่อขนมอร่อยๆให้ขี้เหร่ แต่มันก็สมชื่อ
ขนมหัวล้านทำมาจากแป้งข้าวเหนียวห่อใส้ถั่วเขียวกวน ปั้นขนาดพอคำ
นึ่งสุกแล้วหน้าตาคล้ายๆลูกปิงปอง
ถ้านำไปคลุกมะพร้าวขูดก็จะมีเส้นฝอยๆมาประดับประดามิให้ล้านเลี่ยนเตียนโล่ง
แต่นี่เขาเอาหัวกะทิข้นๆเค็มๆมาราดจนชุ่มฉ่ำ
เพราะฉะนั้นมันก็กลมๆเกลี้ยงๆหัวล้านสมชื่อ แต่ก็หอม หวาน มัน เค็ม
อร่อยยิ่งนักแล
ที่รู้ดีและจำได้ เพราะบ้านที่ทำขนมเป็นน้องสะใภ้ของตา บ้านก็อยู่ใกล้กัน
วันพฤหัสบดีเป็นวันที่ฉันลงทุนตื่นตั้งแต่เช้ามืด
เพื่อจะได้มานั่งขูดถั่วกวนที่ติดก้นกระทะกรอบๆหอมๆกินเล่น
มาถึงโรงเรียนแล้วแต่ยังไม่ได้เข้าชั้นเรียนเลย
มัวแต่สำรวจบริเวณและชวนกินขนมโบราณ แต่ในชั้นเรียนก็งั้นๆแหละ
เรียนวิชาต่างๆ ยกเว้นภาษาอังกฤษ
พักกลางวัน กินข้าวเสร็จก็เอาแต่เล่น วิ่งเปี้ยว ตี่จับ ตั้งเต กระโดดหนังยาง
ซ่อนหา ถ้าฝนตกก็จับกลุ่มกันตรงระเบียง ล้อมวงเล่นอีตัก เป่ากบ หมากเก็บ
ก่อนเลิกเรียน คุณครูให้ท่องอาขยาน
“เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เรายังด้อยเร่งศึกษา
เมื่อเติบใหญ่เจ้าจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน
ได้ประโยชน์หลายสถานนะการเรียน จงพากเพียรไปเถิดจะเกิดผล
ถึงลำบากตรากตรำก็จำทน เกิดเป็นคนควรหมั่นขยันเอย”
แล้วก็ท่องสูตรคูณ
“ซ้อง หนึ่ง ซ้อง
ซ้อง ซ้อง สี่
ซ้อง ซ้าม หก.....” ฯลฯ
ตลาดนัดวายชาวบ้านแยกย้ายกันกลับเมื่อตอนสาย
โรงเรียนเงียบเสียงเล็กๆไปเมื่อตอนเย็น
เหลือเพียงพระภิกษุที่ปฏิบัติกิจของสงฆ์อยู่ในวัด
บ้าน วัด โรงเรียน วิถีชาวบ้าน วิถีชุมชน
Create Date : 12 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 12 มกราคม 2551 17:43:42 น. |
Counter : 337 Pageviews. |
| |
|
|
|