บทที่ 9 "การเดินทางของเมล็ดข้าว"
ปลายปีเป็นช่วงที่ฝนตกหนักของภาคใต้
งานในนาในสวนก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนัก
ปล่อยให้ธรรมชาติทำหน้าที่แทนไปก่อน
ผู้ใหญ่ออกหาปลาตามทุ่ง
ตัดหญ้าที่ขึ้นเขียวชอุ่มงอกงามจากในสวนมาให้วัวได้กินกันอย่างปรีเปรม
หน้าฝนพวกวัวเนื้อตัวอวบอ้วนกันเป็นแถว
ส่วนเด็กนักเรียนอย่างฉันก็เดินลุยเลนบ้างตอนเดินไปและกลับจากโรงเรียน
แต่ก็ไม่เดือดร้อนอะไร
ฉันว่าดีกว่าและสนุกกว่าเด็กนักเรียนในเมืองใหญ่ที่ต้องยืนรอรถเมล์ตั้งแต่เช้าตรู่
ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นๆพร้อมกับแบกเป้หรือกระเป๋าใส่หนังสือจนตัวเอียง
ซ้ำเติมด้วยควันพิษจากท่อไอเสีย
ที่บ้านหัวควายซึ่งอยู่อีกฝั่งคลองตรงข้ามกับบ้านเรา
มีโรงสีข้าวขนาดใหญ่อยู่หนึ่งโรง
เจ้าของหัวใสเกิดความคิดเปลี่ยนกิจการจากโรงสีมาเป็นโรงภาพยนตร์ เอ้า...
จริงๆนะไม่ได้โม้ เขาทำมาหลายเดือนแล้วโดยเอาเครื่องสีข้าวออก
ขยายพื้นที่ตีฝามุงหลังคาสังกะสีให้กว้างขวางขึ้น
เก้าอี้นั่งชมเป็นเก้าอี้ไม้แถวยาวหลายสิบแถว
อากาศในโรงเย็นสบายเพราะโรงหนังอยู่ริมน้ำและมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มหลายต้นอยู่รอบบริเวณ
มีเครื่องปั่นไฟอยู่ข้างๆ หนังจะฉายรอบค่ำเพียงรอบเดียว
ตอนเย็นจะมีเสียงเพลงมาร์ชต่างๆเปิดผ่านเครื่องขยายเสียงดังสนั่นไปทั่วคุ้งน้ำและทะลุทะลวงไปตามหมู่บ้านต่างๆในรัศมีทำการสลับกับเสียงโฆษณาบอกชื่อเรื่อง
ชื่อดารานำแสดงยอดนิยม
พร้อมกับชักชวนอย่างเร้าใจให้พ่อแม่พี่น้องรีบอาบน้ำอาบท่ากินข้าวกินปลาแล้วมาจับจองเป็นเจ้าของที่นั่งชมภาพยนตร์กันเถอะ
แต่ค่าตั๋วดูหนังราคาเท่าไรฉันก็จำไม่ได้เสียแล้ว
คนทางฝั่งคลองบ้านฉันไปดูกันเป็นที่ครึกครึ้น
ทางโรงหนังมีเรือลำใหญ่ไว้คอยบริการรับส่งข้ามฟากด้วย
ยายเคยพาฉันไปดูอยู่เหมือนกัน
ส่วนตาอาสาเฝ้าบ้านเพราะตาไม่ชอบไปที่ที่มีคนเยอะๆ
วันนั้นมีหนังไทยบู๊สนั่นลั่นจอ จำไม่ได้แล้วว่าชื่อเรื่องอะไร
จำได้แค่ว่านางเอกแต่งหน้าทาปากใส่ขนตาปลอมงอนเช้ง
ยีผมตีโป่งซะหัวโตเท่ากระบุง สวยงามมากแม้แต่เวลานอนหลับ
ส่วนพระเอกของเราก็เก่งกล้าสามารถชกต่อยต่อสู้กับผู้ร้ายได้นับสิบคนโดยเสื้อไม่ยับ
ผมไม่กระดิก เก่งจริงๆ
ครั้งหนึ่งมีผู้ร้ายถือไม้หน้าสามย่องเข้ามาทางด้านหลังคงกะจะฟาดหัวพระเอก
พอเห็นเท่านั้นแหละเสียงกองเชียร์คือท่านผู้ชมที่นั่งลุ้นกันหน้าสลอนก็ส่งเสียงเตือนพระเอกดังลั่นโรงว่า
“เฮ้ยๆ ข้างหลังๆ”
แต่พระเอกซะอย่าง
ไม่ต้องบอกก็หันมาเตะเจ้าผู้ร้ายจนหมอบกระแตกองอยู่ตรงนั้น
สุดท้ายพวกผู้ร้ายก็แพ้พระเอกตามธรรมเนียม
พอใกล้จบตำรวจก็มาเพื่อเปิดเผยว่าพระเอกคือร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา
สุดท้ายพระเอกกับนางเอกก็แต่งงานกัน เรียกว่าจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
สมใจท่านผู้ชมทั้งหลาย
แต่ท่านผู้ชมที่ต้องนั่งเรือข้ามฟากกลับฝั่งของตัวเองนี่นะซิไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไร
โดยเฉพาะฉันที่เมื่อตะกี้ยังตาโตอยู่
แต่พอหนังเลิกและจะต้องเดินกลับบ้านก็เกิดอาการตาตี่และหรี่จวนจะปิดเพราะความง่วง
กว่าจะรอคิวข้ามฟากสำเร็จก็สุดแสนจะทรมานสังขาร
ตอนกลับเลยไม่เริงร่าหน้าบานเหมือนตอนมา
กว่าจะได้ดูหนังแต่ละเรื่องช่างลำบากลำบนเสียจริง
ตอนหลังๆฉันเลยไม่ค่อยอยากดูสักเท่าไร
ตอนยังอยู่บ้านหลังแรกกับพ่อแม่ แม่เล่าว่าแม่เคยพาไปดูหนังไทยเรื่องหนึ่ง
นางเอกเป็นสาวสวยแสนซนจอมแก่น เธอซอยผมสั้นน่ารัก
พอกลับมาบ้านฉันก็คว้ากรรไกรเล็กสำหรับตัดกระดาษไปแอบตัดผมตัวเองอยู่ที่หลังบ้าน
พอแม่ไปเจอฉันก็รีบบอกว่า “หนูอ้นอยากสวยเหมือนนางเอก”
ซึ่งคงจะสวยมากเลย วิ่นๆแหว่งๆ เสียขนาดนั้น แม่ต้องพาไปซอยผมใหม่ที่ร้าน
ดวงอาทิตย์ยังทำงานของท่านอย่างสม่ำเสมอ เมื่อฝนเริ่มซาเม็ดในเดือนอ้าย
ย้ายมาเดือนยี่ ถึงเดือนสามเดือนสี่
ไออุ่นจากแสงแดดก็อบร่ำให้รวงข้าวสีเขียวสดสุกเหลืองอร่ามเป็นทุ่งรวงทอง
ได้เวลาเก็บเกี่ยวกับแล้วสิ
แต่แถวบ้านฉันใช้คำว่า เก็บ ไม่ใช่เกี่ยว
เพราะเราเก็บข้าวทีละรวงโดยใช้เครื่องมือชนิดหนึ่งเรียกว่า ‘แกะ’
ทำจากใบมีดคมกริบกว้างยาวประมาณ ½ x 3 นิ้ว
ประกบติดแน่นกับแผ่นไม้บางๆรูปสี่เหลี่ยมคางหมูที่เสียบตั้งฉากกับแกนไม้ไผ่
เวลาจะเก็บข้าวก็สอดแผ่นไม้ให้อยู่ระหว่างนิ้วนางกับนิ้วกลาง
ใช้นิ้วกลางเกี่ยวรวงข้าวเข้าหาตัว
คมมีดจะตัดรวงข้าวให้ขาดจากลำต้นมาอยู่ในอุ้งมือเรา
พอได้หลายๆรวงก็เปลี่ยนมาถือรวมไว้อีกมือหนึ่ง
พอเต็มอุ้งมือก็ตัดต้นข้าวที่เก็บรวงไปแล้วเอามาใช้แทนเชือกมัดให้แน่น
รวงข้าวที่มัดรวมแล้วเรียกว่า เลียง
ชาวนาวางเลียงข้าวไว้บนคันนาเป็นแถวๆก่อนขนกลับไปเก็บไว้ในเรือนข้าว
ช่วงที่เก็บข้าวเป็นเวลาปิดเทอมใหญ่พอดี
เด็กๆได้ออกไปช่วยผู้ใหญ่ทำงานได้เต็มที่
ยายก็ไม่ห้ามถ้าเป็นนาดอนเพราะไม่มีปลิงเหมือนนาดำน้ำลึก
แต่ถ้าแดดแรงๆยายขอให้ฉันใส่เปี้ยว
เปี้ยวคือหมวกขอบกว้างทำจากใบไผ่บุซ้อนกันหลายๆชั้นในโครงไม้ไผ่
ตรงกลางเป็นทรงกลมคล้ายหมวกกันน็อค
เราออกไปนากันตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
พร้อมกับอาหารกลางวันซึ่งมีข้าวสุกห่อด้วยยอดตอง น้ำพริก ผักจิ้ม ปลาทอด
และแกงคั่วกะทิในปิ่นโตสังกะสีเคลือบเถาเล็กๆ
ข้าวร้อนๆที่ห่อไว้ เวลาเปิดออกจะได้กลิ่นหอมของใบตอง
กินเสร็จก็ทิ้งไปได้เลยโดยไม่มีปัญหาการย่อยสลายเหมือนถุงพลาสติกหรือกล่องโฟม
วันนั้นเรากินข้าวกลางวันใต้ต้นกันเกรา หรือที่แถวบ้านฉันเรียกว่าต้นตำเสา
สักพักพอข้าวเรียงเม็ด พวกผู้ใหญ่ก็ออกไปเก็บข้าวกันต่อ ส่วนฉันขออู้
ขอนอนเล่นต่ออีกสักเล็กน้อย
โดยไม่ลืมที่จะให้ยายตัดซังข้าวเป็นท่อนสั้นๆมาทำเป็นปี่ไว้เป่าเล่น
คุณรู้มั้ยว่าการทำปี่ ถ้าจะให้เสียงดังเสียงดีต้องมีคาถากำกับ คาถามีว่า “ยนแยง
มูสังหางแดงขึ้นต้นดีปลี ยอยทองสีเป่าปี่ไม่ดัง ยายทองสังเป่าดัง ตู่ แลน..แลน
, ตู่ แลน..แลน” ไง.... คาถาดูขลังดีไหม อ้อ
มูสังคืออีเห็นซึ่งเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับชะมดและพังพอน
เสียดายที่ตอนนี้กันเกรายังไม่ออกดอก
เลยไม่ได้กลิ่นหอมๆของดอกเล็กๆสีเหลืองที่ออกเป็นช่อและหอมมาก
ดอกกันเกราหรือตำเสาหอมฟุ้งเวลาเดินผ่านใต้ต้น
ดอกที่ร่วงหล่นเหลืองอร่ามอย่างกับใครเอาละอองทองไปโปรยปราย
ไม่เป็นไร
รอตอนเย็นๆค่อยไปเดินหาดอกนมแมวสีเหลืองนวลที่จะหอมมากในตอนโพล้เพล้ใกล้ค่ำ
แม้ผู้ใหญ่จะชอบหลอกว่าระวังผีจะมาบังตาทำให้หลงทางกลับบ้านไม่ถูก
แต่พวกเราก็ไม่กลัว
เด็กๆชอบเก็บดอกนมแมวใส่ในกรวยใบตองเพื่อเก็บกลิ่นไว้ดมเล่น
บางทีบางต้นก็มีลูกเล็กๆเท่าปลายก้อยออกเป็นช่อสุกเหลือง
รสหวานอมเปรี้ยวเป็นของแถมให้กินเล่น
เคยมีคนภาคอื่นมาเห็นคนทางนี้เก็บข้าวทีละรวง
ถึงกับออกปากว่าทำกันอย่างนี้แล้วจะพอกินหรือ ?
นั่นนะซิ เก็บข้าวที่ละรวงแล้วจะพอกินอะไร
โห... พี่ ไม่รู้อะไรซะแล้ว ลองใช้ชีวิตกับพวกเราสักพักก่อนจะพูด
แล้วจะรู้ว่าที่เราเก็บข้าวทีละรวงน่ะไม่พอกินจริงๆด้วย แต่.. เหลือกินเลยละ
อ้าว.. ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ แม่คุณ?
เพราะเราปลูกข้าวไว้กินไง ปลูกข้าวไว้กิน ไม่ได้ปลูกไว้ขาย
เก็บได้กี่ร้อยกี่พันเลียงก็ขนมาเก็บไว้ในเรือนข้าว เก็บไว้ได้เป็นปีๆ
เวลาข้าวสารจวนจะหมดก็แบ่งเอามานวด นวดด้วยฝ่าเท้าคน
ย่ำไปเหยียบมาสักพัก
พอได้เมล็ดข้าวกองโตก็กอบใส่กระด้งเพื่อฝัดเอาข้าวเมล็ดลีบออก
ตากแดดจัดๆเพื่อไล่ความชื้นก่อนไปโรงสี
แล้วก็ได้ข้าวสารกลับมาหุงกินโดยไม่ต้องซื้อ
ยายเล่าว่าสมัยที่ยังไม่มีโรงสี
ชาวบ้านต้องเอาข้าวเปลือกใส่ครกตำข้าวตำกันเข้าไป
ตำให้เปลือกกระเทาะออกแล้วจะได้ข้าวซ้อมมือ
กว่าจะได้กินแต่ละครั้งก็ตำกันจนเมื่อย
มิน่าล่ะ ตากับยายถึงได้กินข้าวเกลี้ยงจานโดยไม่ให้เหลือทิ้งสักเมล็ดเดียว
และฉันก็ติดนิสัยนี้มาด้วย
เพราะเห็นแล้วว่าการเดินทางของเมล็ดข้าวกว่าจะมาเป็นอาหารของคนเราช่างยาวนาน
นี่เป็นเรื่องของวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น
จะปลูกข้าวไว้กินหรือปลูกข้าวไว้ขาย ก็สุดแล้วแต่ความต้องการของชาวบ้าน
เก็บข้าวเสร็จก็ได้เวลาหาปลาในหน้าแล้ง โดยการวิดบ่อที่ขุดไว้ตามมุมคันนา
วิดไม่นานน้ำก็แห้งจนมองเห็นปลาที่ตกคลั่กอยู่ในบ่อโคลน
คนที่ยืนรออยู่ก็ได้เวลาลงไปจับ มีปลาหลายชนิด หลายขนาด ปลากระดี่ตัวเล็ก
ปลาหมอเกล็ดแข็ง ใครได้ปลาช่อนตัวใหญ่ๆสักตัวก็ดีใจกันลั่นทุ่ง
ส่วนฉันนานๆจะได้ปลาตัวเล็กๆสักตัว มิหนำซ้ำยังจับเจอเอาเงี่ยงปลาดุกเสียอีก
ปวดนิ้วมากจนต้องเลิกแล้วมายืนดูแทน
บางคนจับได้ปลาไหลตัวยาวเหมือนงู ดูแล้วน่ากลัวมากกว่าน่ากิน
ฉันเคยเห็นเวลาเขาทำปลาไหลเพื่อเอาไปแกง
เขาใช้ฟางข้าวหรือใบข่อยสากๆมารูดเอาเมือกตามลำตัวมันออก
หั่นเป็นชิ้นบางๆเอาไปแกงคั่วกะทิใส่ใบชะพลูหั่นฝอยหอมอร่อยมาก
ฉันชอบตักน้ำแกงข้นๆมาคลุกข้าวกินเข้าทำนองเกลียดตัวกินไข่
เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงเปี๊ยบเลย
เล่าถึงใบข่อย
เลยนึกขึ้นมาได้ว่าที่สวนฝรั่งหลังมีจอมปลวกสูงใหญ่และมีต้นข่อยขึ้นปกคลุมอยู่
เป็นที่เล่นของพวกเด็กๆผู้ชายที่ตัวโตกว่าฉันเล็กน้อย
พวกเขาจะดัดกิ่งข่อยให้เป็นซุ้มแล้วก็เล่นสมมุติเป็นบ้านเป็นเมืองของเขา
ขอขึ้นไปเล่นบ้างเขาก็ไม่ให้ขึ้น กลับไล่ให้ไปเล่นขายของกับพวกเด็กผู้หญิง
จะปีนขึ้นไปเองก็ไม่มีปัญญา ได้แต่เดินวนเวียนไปมารอบๆจอมปลวก
ทำได้เพียงเหนี่ยวกิ่งเตี้ยๆลงมาปลิดลูกข่อยสุกสีเหลืองลูกเล็กๆหวานๆกินเล่นดับโมโห
เบื่อๆขึ้นมาก็ไปเดินหาลูกหว้าสุกๆที่หล่นใต้โคนต้น
ลูกหว้าเป็นผลไม้ประจำฤดูร้อนชนิดหนึ่ง ผลสุกมีสีม่วงอมดำ รสหวานอมฝาด
กินแล้วตลกดีเพราะลิ้นกับฟันจะกลายเป็นสีม่วง
ผู้ใหญ่พูดกันว่าได้ปลาช่อนใหญ่หลายตัว เขาจะทำขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้
ฉันฟังแล้วก็หูผึ่ง จะได้มีเรื่องสนุกๆเล่นอีกแล้ว
ที่ว่ามีเรื่องสนุกๆ เพราะสมัยนั้นการจะได้กินขนมจีนน้ำยากันสักครั้ง
ไม่ใช่การเดินไปซื้อเส้นขนมจีนที่ตลาดสด ซื้อพริกแกงสำเร็จรูป กะทิกล่อง
และปลาช่อนเอามาปรุงได้เลย
หรือถ้าจะให้สะดวกยิ่งกว่านั้นคือการไปนั่งรับประทานที่ร้านขายขนมจีนน้ำยา
ซึ่งมีอยู่เกลื่อนเมืองในสมัยนี้
สมัยนั้นเขาจะเริ่มกันตั้งแต่เอาข้าวเจ้าไปแช่น้ำ
โม่ให้ละเอียดเป็นแป้งเหมือนเวลาจะทำขนมต่างๆ
ตรงนี้ฉันชอบมากและมักอาสาโม่แป้งให้ใครต่อใครอยู่เสมอ ก็มันสนุก
เวลาตักข้าวกรอกลงในช่องโม่แป้ง ต้องใส่น้ำให้พอดีๆ
ถ้าน้ำน้อยแป้งจะละเอียดนวลเนียนดี แต่ต้องออกแรงโม่มาก
ถ้าน้ำมากไปแป้งจะหยาบแต่โม่สบาย เพราะน้ำจะทำให้ไม่ค่อยฝืด
พอโม่เสร็จเอาน้ำแป้งใส่ถุงผ้า ทับด้วยของหนักๆจนกว่าแป้งจะสะเด็ดน้ำ
ปั้นแป้งเป็นก้อนแล้วนำไปต้ม
แล้วเอาไปโขลกในครกตำข้าวแล้วใส่ในกระบอกทองเหลืองที่มีรูเล็กๆด้านล่าง
มีอุปกรณ์ช่วยบีบให้แป้งไหลเป็นเส้นๆลงในกระทะที่มีน้ำเดือดพล่านรออยู่
พอสุกก็ช้อนไปใส่ในกะละมังน้ำเย็น จับเส้นขนมจีนวนให้เป็นหัวๆ เรียกว่าจับ
ใส่ในกระจาดเป็นอันว่าเสร็จ เฮ้อ....เหนื่อย
เด็กๆนั่งล้อมรอบคนปอกมะพร้าวเพื่อรอกินน้ำกับจาวมะพร้าว
ฉันเลือกมะพร้าวซีกเล็กๆที่พอจะขูดกับกระต่ายขูดมะพร้าวได้หมดโดยไม่เมื่อยมือมากเกินไป
พวกผู้ใหญ่ชอบล้อเด็กเล่นว่า ถ้าใครขูดมะพร้าวได้โดยไม่ผงกหัวจะมีรางวัลให้
พวกเราลองดูแต่ทำไม่ได้ ก็ใครจะทนนั่งเกร็งทำคอแข็งอยู่ได้
สักพักพอเริ่มปวดเมื่อยก็เราไปที่วงเครื่องแกง
เครื่องแกงบางอย่างก็หาได้ตามสวนครัว เด็ดพริกขี้หนู ขูดขมิ้น ขูดตะไคร้
ต้องหั่นตะใคร้ให้บางที่สุดเพื่อจะได้โขลกให้ละเอียดได้เร็วขึ้น
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับน้ำยาปักษ์ใต้คือขมิ้นชัน
ขมิ้นชันหรือที่คนใต้เรียกว่า ขี้มิ่น เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าสีเหลืองอยู่ใต้ดิน
เอามาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง ทั้งปรุงอาหาร ย้อมผ้า ทำยา
นอกจากขมิ้นชันจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์แล้ว
สารในขมิ้นยังช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
นักวิจัยหลายคนก็บอกว่าขมิ้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง
ช่วยชะลอความชรา
สมัยนี้มีการสกัดสารเคอร์คูมินจากขมิ้นชันมาทำเครื่องสำอาง
ว่ากันว่าทาแล้วลบรอยตีนกาทำให้ใบหน้าสดใสอ่อนเยาว์เพราะขมิ้นมีวิตามินอีสูงมาก
ตอนเด็กๆเวลามีเม็ดผดผื่นคัน ยายจะเอาเหง้าขมิ้นชันแก่ๆมาฝนกับฝาละมี
คือฝาของหม้อดินเผา ทาให้บางๆเพราะขมิ้นมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้
เดี๋ยวนี้เขาก็เอามาทำเป็นขี้ผึ้งทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อย ทำสบู่
แล้วเขาก็เอาเครื่องแกงโขลกรวมกับเนื้อปลาช่อนต้มสุกผสมกับน้ำกะทิ
ปรุงรสแล้วก็พร้อมจะรับประทานกับเส้นขนมจีนและผักสดนานาชนิด
กว่าจะได้กินขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ ฉันก็พาคุณเถลไถลไปเรื่อย
การเดินทางของเมล็ดข้าวแต่ละครั้งช่างยาวนานนับปี.... ปีแล้วปีเล่า
จากเมล็ดพันธุ์ข้าวกลายเป็นต้นกล้า เติบใหญ่ในท้องนา ผ่านการตั้งท้องออกรวง
จนกระทั่งถูกเก็บเกี่ยวเป็นเมล็ดข้าวเปลือกกลับมาสู่ยุ้งฉางหรือเรือนข้าวอีกครั้ง
พักสักครู่เพื่อรอเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีวิตทั้งของคนปลูกและไม่ได้ปลูก
พักสักครู่เพื่อรอเป็นเมล็ดพันธุ์ออกไปทำงานในไร่นาในฤดูกาลถัดไป
ที่ฉันเล่ามานี้ก็เป็นการเล่าแบบคนที่เฝ้าดูไม่ใช่คนลงมือทำเอง
แค่เฝ้าดูยังเห็นถึงความเหนื่อยยากของชาวนา
ข้าวสุกแต่ละช้อนแต่ละจานที่เราบริโภคเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไม่รู้ว่ามาจากข้าวเปลือกกี่สิบกี่ร้อยรวง
จากต้นข้าวกี่สิบกี่ร้อยต้น
ข้าวผัดใบกะเพราหนึ่งจานมีที่มาต่างกันโดยสิ้นเชิง
เด็ดกะเพรามาหนึ่งกิ่งจากกระถางสวนครัวหลังบ้าน
ยังเหลือกะเพราอีกหลายกิ่งให้เด็ดไปได้อีกเรื่อยๆไม่รู้จบ ยิ่งเด็ดก็ยิ่งแตกก็ยิ่งโต
แต่ข้าว... ไม่ใช่
ช่วยกันกินข้าวให้เลี้ยงจานกันหน่อยเถอะนะคะ แต่ละมื้อ
หนึ่งคนเหลือข้าวหนึ่งช้อน สิบคนเหลือข้าวสิบช้อน ร้อยคนเหลือข้าวร้อยช้อน
บ้านเรามีคนหกสิบล้านคน ถ้ากินเหลือกินทิ้งกินหว้างกันคนละช้อน
หกสิบล้านคนมิปาเข้าไปหกสิบล้านช้อนหรือ มิกองเป็นภูเขาข้าวหรอกหรือ
หนึ่งมื้อยังเท่านี้ วันหนึ่งมีสามมื้อจะเท่าไร ? เสียดาย...... น่าเสียดาย
แล้วฉันได้สอนลูกๆในเรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?
สอนค่ะ ฉันเล่านิทานเรื่องการเดินทางของเมล็ดข้าวให้พวกเขาฟังต้งแต่ยังเล็ก
และชื่นใจที่เขาเชื่อ ลูกๆติดนิสัยกินข้าวเกลี้ยงจาน เว้นเสียแต่ว่ามื้อนั้นไม่สบาย
ปวดท้อง ท้องอืด ถ้าฝืนกินต่ออาจอาเจียน
หรือมื้อนั้นแม่ทำกับข้าวไม่เอาไหนจริงๆ
ที่ฉันเล่ามาดูเหมือนว่าวิถีชีวิตของคนที่นี่ในสมัยนั้นสุขสวยด้วยความเรียบง่าย
พอเพียง และมีความสามารถในการพี่งพาตนเอง
แต่ในความสุขสวยนั้นก็ยังมีความยากลำบากบางอย่างแฝงอยู่
เช่นความไม่สะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง
พี่ชายคนโตของฉันเสียชีวิตที่นี่เมื่อตอนอายุ 5 ขวบ
ด้วยอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
และไม่สามารถหาเรือเพื่อเดินทางไปหาหมอได้ทัน ตอนนั้นฉันยังไม่เกิดเลย
สามปีที่บ้านตายายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และมิใช่จะอยู่แต่ในหมู่บ้านโดยไม่ได้ออกไปไหน
ปิดเทอมบางเทอมยายก็พาฉันไปเยี่ยมแม่
ฉันตื่นเต้นกับการได้นั่งรถโดยสารคันใหญ่แล้วก็ไปหมดฤทธิ์แทบสลบไสลเพราะอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงจากอาการเวียนหัว
เมื่อรถวิ่งผ่านบริเวณเทือกเขาแห่งหนึ่งที่เรียกว่าเขาพับผ้ามีเส้นทางวกไปเวียนมา
บางช่วงเป็นโค้งหักศอก บางช่วงเห็นยอดไม้อยู่เสมอกับพื้นถนน
มองลงไปคือเหวลึกละลิบลิ่ว สุดสายตาน่าหวาดเสียว.. แต่ก็สวย
บางช่วงเห็นโคนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนเชิงเขาใกล้ถนน
ต้นไม้หลายต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบ
แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มเขียวชอุ่มสูงเสียดฟ้า
สลับไปกับดงกล้วยป่าและพรรณไม้อื่นๆ กว่าจะผ่านไปผ่านมาได้แต่ละครั้ง
ฉันละแสนจะเบื่อ แต่ก็ไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือก
นั่นนะซินะ เมื่อไม่มีเส้นทางอื่นใดให้เลือก ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นเช่นไร
เราก็ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไปอย่างอดทน ไม่ว่าจะเป็นเขาพับผ้าหรือเขาวงกต
ใครนะช่างเรียก เขาพับผ้า พับไป พับมา ทำเอาฉันคอพับคออ่อนไปเลย
ประถม 4 แล้ว กำลังจะจบชั้นสูงสุดของโรงเรียน
เพื่อนบางคนพูดถึงการเรียนต่อที่โรงเรียนในอำเภอ
บางคนเอาหนังสือภาษาอังกฤษของพี่มาอวดเพื่อนๆ ฉันก็ไปมุงดูกับเขาด้วย
แต่ไม่รู้จักตัวอักษรในนั้นเลยสักตัว เป็นแบบที่เขาเรียกกันว่า เอ บี ซี
ไม่กระดิกหู
ฉันยังเฉยๆอยู่ ไม่รู้และไม่ได้คิดว่าใครจะจัดการกับชีวิตของฉันอย่างไร
ก็ยังคิดไม่เป็น
จนกระทั่งสอบไล่เสร็จ ปิดเทอม พ่อก็พาพี่น้ำอ้อยมาเยี่ยมบ้านเหมือนทุกปี
หลังจากปล่อยให้พี่น้ำอ้อยได้แวะเยี่ยมญาติๆ และได้อยู่กับตายายสักพัก
(และคงหลังจากที่พ่อได้แวะลิ้มชิมรสน้ำตาลเมากับน้าตุด
จนบางครั้งก็มาไม่ถึงบ้านตายาย สักพักด้วย)
พ่อก็ชวนฉันไปเที่ยวบ้านพ่อที่ต่างจังหวัด บอกว่าเราจะนั่งรถไฟไป
ใกล้เปิดเทอมแล้วพ่อจะมาส่ง
เท่านั้นแหละฉันก็ตื่นเต้นตาโตที่จะได้นั่งรถไฟไปเที่ยวไกลๆ
เพราะฉะนั้นจะช้าอยู่ใย รีบเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ากันเถอะ
การเดินทางของเมล็ดข้าวมีเวลาค่อนข้างแน่นอนในการกลับเรือนแต่ละครั้งด้วยกลไกทางธรรมชาติ
แต่การเดินทางของหนูอ้นยังไม่รู้เลยว่าจะใช้เวลาเท่าไรในการกลับบ้านแต่ละคราว
หนึ่งปีครั้ง สามปีครั้ง สิบปีครั้ง ด้วยกฎเกณฑ์ของใครหรืออะไรก็ไม่รู้
จนเมื่อวันเวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายสิบปี ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่า
นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว
จริงๆแล้วฉันเป็นคนที่มีบ้านเพื่อให้กลับไปหาเหมือนคนอื่นๆเขาหรือเปล่า?
Create Date : 15 มกราคม 2551 |
Last Update : 15 มกราคม 2551 19:06:28 น. |
|
1 comments
|
Counter : 644 Pageviews. |
|
|
|
โดย: แมงปอ (tonbo2k ) วันที่: 4 มีนาคม 2551 เวลา:15:31:38 น. |
|
|
|
| |
|
|