Group Blog
 
All Blogs
 

วิกฤตินี้ใครก่อ?

จากความเห็นที่ 64 กระทู้ "อุบล.....หนาวมาก" //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B7337347/B7337347.html

**********************************************

ความคิดเห็นที่ 64

แบมได้รับโทรศัพท์จากผู้บริหารแบรนด์ร้านอาหารมีสาขาในเครือ 4 สาขา เป็นบุคคลที่ในอดีต แบมได้เคยใช้คำว่า "เฮง" กับเค้า อันเนื่องจากว่า เมื่อซัก อืม....เท่าไรหว่า 7 ปีที่แล้ว ผู้บริหารท่านนี้เพิ่งจบโท MBA มาจากอเมริกา ด้วยความที่ทราบว่าแบมอยู่ในธุรกิจ restaurant เค้าจึงเชิญแบมไปนั่งฟังเค้าบ่นว่า หลังจากเค้ากลับมาไทย ก็ได้เข้าไปบริหารกิจการของครอบครัว แล้วรู้สึกว่า มันไม่ใช่ตัวเค้าเลย แบมก็ถามว่า แล้วคุณอยากทำอะไร เค้าบอก เค้าอยากทำร้านอาหาร แบมก็ขำถามไปว่า อ้อ ที่เชิญมาคุยเนี่ย เพราะโดนที่บ้านถล่มมาใช่ไหม เค้าขำถามว่ารู้ได้ไง แบมบอก เออ คือแบมเนี่ยมีบุญน่ะ เวลาเพื่อนมีสุข มักไม่ค่อยคิดถึงแบมหรอก 55555

ด้วยการยืนยันหนักแน่น ว่าอยากทำจริงๆ มาขอคำปรึกษา แบมฟังก็เออ ความคิดดีนะคะ น่าจะเข้าท่า แต่แบมฝากสิ่งที่เค้าจำเป็นต้องรู้ให้ไปศึกษาต่อเพื่อการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ แต่คนที่กำลังฝันหนักๆ น่ะนะ หูมันอื้อนะ ฟังอะไรก็จำไม่ค่อยได้หรอก เค้าจำได้แต่สิ่งที่เค้าฝัน อยากบอกคนอื่นแต่สิ่งที่เค้าอยากได้ อ่ะ แบมก็นั่งฟังไป ก่อนกลับย้ำว่า แบมซีเรียสนะ เรื่องทั้งหมดนี้ คุณจำเป็นต้องรู้นะ กลับบ้านไปนึกในใจว่า ขอให้มีปาฏิหารย์ให้เค้าจำสิ่งที่เราพูดไว้ซักนิด

ความ "เฮง" มันเริ่มก็เมื่อแบมขับรถผ่านไปเจอที่อยู่ที่หนึ่ง เฮ๊ย ที่มันดีมาก นึกถึงร้านอาหารรูปแบบที่เค้าอยากทำ โทรไปบอกว่า ศึกษาไปถึงไหนแล้ว แบมเจอที่อยู่ที่หนึ่งนะ มาดูสิ เค้าดีใจมาก รีบมาดู แบมบอก ที่นี้เหมาะมาก ถ้าคุณบริหารจัดการแบบมีประสิทธิภาพตามที่เคยบอก แบมเชื่อว่า กำไรจะดี รีบๆ ไปศึกษาเสีย มีอะไรไม่เข้าใจมาถาม ผ่านไปสามวัน โดยไม่มีการโทรมาถามอะไร มีแต่โทรมาบอกว่า วางเงินมัดจำไปแล้ว

ความ "เฮง" เริ่มตอกย้ำใส่ความคิดเค้า เมื่อพบว่า การเปิดร้านตรงที่นั้น ทำให้รายได้ไหลมาเทมา ตลอด 5 ปี ช่วงเวลานั้นถ้าเราไม่ค่อยได้เจอกันเพราะต่างคนต่างยุ่ง และถ้าเจอกัน เค้าก็จะปฏิเสธการพูดเรื่องงานเพราะเจอแบมไม่อยากเครียด ด้วยสถานะมิตรไกลๆ แบมทำได้แค่ย้ำว่า บริหารจัดการดีดีนะคะ ขณะนี้ คุณ "เฮง" จริงๆ แต่อย่าติดกับภาพลวงของยอดขาย มันไม่ใช่เรื่องจริง

ขึ้นปีที่ 6 เค้าเชื่อมั่นในความ "เฮง" ของตัวเอง จนแปลไปว่า "เฮง" คือ "เก่ง" เค้ากอบกำไรทั้งหมดที่ได้จากร้านนี้ บวกกับการขอกู้อีกมากกว่า 20 ล้าน เพื่อเปิดโปรเจคร้านอาหารที่ 2 ผลปรากฎว่า งบก่อสร้างร้านบานปลายออกไป เค้าต้องดึงเงินบางส่วนของครอบครัวมาช่วย ความเครียดเริ่มมาเยือนเค้า แต่เค้ายังเชื่อมั่นร้านสาขาที่ 1 และเชื่อมั่นมากกว่ากับการร้านสาขาที่ 2 ที่กำลังจะเปิดตัว

เมื่อสาขาที่ 2 เปิดตัว สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะตรงกับยุคของบ้านเมืองซึ่งเริ่มส่อเค้าวุ่นวาย นักท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเค้าหายวูบ เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ร้านสาขาที่ 1 เริ่มมีทีท่าว่าจะไม่ได้รับการต่อสัญญา

สิ่งที่เค้าทำคือ โทรหาแบม (บอกแล้วว่าแบมมีบุญ -_-') และเป็นครั้งแรกที่แบมขออนุญาตดูตัวเลขทั้งหมดของกิจการเค้า ตัวเลขของสาขาที่ 1 ทำแบมช็อคมาก เพราะแม้ว่าความเฮงจะสร้างยอดขายอย่างถล่มทลาย แต่เมื่อมาหักลบกับต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแล้ว ระดับกำไรที่เค้าได้มาตลอด 5 ปีนั้น เป็นอะไรที่ แบมต้องเงยหน้าขึ้นมาถามเค้าว่า คุณรู้ระดับกำไรของชาวโลกที่อยู่ในธุรกิจนี้ไหม ว่าเค้าได้มากกว่าคุณ 1 เท่า ในใจแบมเสียดายอย่างยิ่งที่เค้าไม่รู้ค่าของความเฮงที่ได้รับ หากเค้าซีเรียสกับการบริหารจัดการมากกว่านี้ แบมประเมินว่า เค้าอาจไม่ต้องกู้เงินเพื่อสร้างสาขาที่ 2 ด้วยซ้ำ

ข่าวร้ายกว่านั้น คือ ตั้งแต่ปีที่ 1-5 แม้ว่ายอดขายจะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ระดับกำไรกลับมีทิศทางตรงข้าม และ ข่าวร้ายที่สุดคือ เค้าในฐานะผู้บริหารกลับคิดว่านั่นคือสิ่งปกติ และตัดสินใจลงทุนเพิ่มเปิดสาขา 2 เพื่อที่จะพบว่า ความเฮง บางครั้งนั้นเกิดขึ้นในชีวิตคนได้เพียงครั้งเดียว

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ล่อแหลมของทั้งสองสาขา อันนั้นเป็นปัญหาที่ต้องแก้ แต่พร้อมกันนั้น เราต้องบริหารโอกาสใหม่ด้วยเพื่อลดความเสี่ยง แบมให้ใช้แนวทางเปิดแหล่งรับรายได้โดยไม่ลงทุน เค้าไม่เข้าใจ แบมให้นึกถึงการเปิดร้านอาหารในลักษณะที่เจ้าของพื้นที่เก็บค่าเช่าเป็น GP เค้าบอก ที่ผ่านมามีเสนอมารายห้างมาก แต่ปฏิเสธหมด เพราะไม่คิดว่าจะเป็นทางแก้ แบมยืนยันว่าเป็นทางแก้ หากเข้าใจการตลาดหลายๆ เรื่อง เช่น การตั้งราคาสินค้า และใช้เทคนิคส่งเสริมการขาย ยังไง ก็มีกำไร เก็บตรงนั้นไว้ลดความเสี่ยง สองเดือนต่อมา เค้าจึงเปิดอีก 2 สาขาเล็กๆ ที่ห้างดัง ยอดขายของสองสาขารวมกันเท่ากับสาขาแรก แต่กลับมีอัตรากำไรที่มากกว่า เค้าโทรมาขอบคุณ และตามให้แบมกลับไปแก้ปัญหาของสาขาที่ 1 และ 2

ด้วยความเป็นมิตร แบมกลับไปนั่งดูตัวเลขสองสาขาแรกอีกครั้ง สำหรับสาขาที่ 1 แบมยังยืนยันว่า ต้องรื้อการบริหารจัดการ เค้าตอบว่า ทุกคนก็ "ทำแบบที่เคยทำ" นะ ยังมีกำไรเหลือนิดหน่อย ให้แบมโฟกัสที่สาขาที่ 2 อืม...ได้ สาขาที่ 2 หนักหนามาก หมดปัญญาผลักยอดขาย เนื่องจากนักท่องเที่ยวหายวูบเกลี้ยงจากสถานการณ์รุนแรงในบ้านเมือง แบมแนะนำให้ลดค่าใช้จ่ายลงจนถึงที่สุด แต่ให้ระวังเรื่องแตะเส้นประสิทธิภาพ ไม่ต้องหวังกำไร ให้เลี้ยงตัวเองได้ไม่ต้องควักเงินออกจากกระเป๋าอีกเป็นพอ ส่วนดอกเบี้ยต้องผ่อนแบงค์นั้น ไปหาเอาจาก 3 สาขาที่เหลือเถิด สาขาที่ 2 นี้ แบมแนะนำให้ประกาศขาย

เค้าเคืองแบมไปหลายเดือน อยู่ดีดีมาให้เค้าทิ้งฝัน ในมุมของแบม ฝันนั้นหยิบขึ้นมาสร้างใหม่เมื่อไรก็ได้ ตราบใดที่ยังไม่หยุดฝัน แต่เมื่อใดที่มันกลายเป็นฝันร้าย คุณต้องตัดใจทิ้งมันก่อนที่มันจะลุกลามหลอนชีวิตที่เหลือของคุณ



นั่นคือเรื่องที่ผ่านมา วันนี้แบมได้รับโทรศัพท์จากเค้าอีกครั้ง เพื่อที่จะบอกแบมว่า เค้าเข้าใจเจตนาทีแบมหมายถึงแล้ว และได้ประกาศขายร้านแล้ว เพราะมันเริ่มกัดกินชีวิตที่เหลือของเค้าแล้ว เค้าต้องเดินไปขอผ่อนผันกับธนาคาร ต่อมาก็ไปขอกู้เพิ่มแต่ธนาคารไม่ให้ เค้าเริ่มใช้เงินนอกระบบ ต้องยืมเงินพ่อแม่ ยืมเงินเพื่อน เค้าไม่ไหวแล้ว ส่วนสาขาที่ 1 ให้แบมช่วยเข้ามาดูหน่อยได้ไหม เพราะเดือนล่าสุดบรรทัดสุดท้ายของงบกลายเป็น "ติดลบ" แล้ว เค้าเห็นว่า ทีมงานต้องรื้อวิธีคิด และ ไม่สามารถ "ทำแบบที่เคยทำ" ต่อไปได้อีกแล้ว


ที่แบมเขียนมายืดยาว ตั้งใจมากที่จะให้เห็นรายละเอียดว่า ความ"หนาว" นั้น หากเกิดกับใคร มันมิใช่เรื่องบังเอิญ มันเกิดขึ้นจาก จริตของคุณ สติของคุณ อัตตาของคุณ ทิฐิของคุณ วิธีคิดของคุณ และ ทัศนคติของคุณ ไม่มีใครทำให้เราหนาวได้ นอกจากตัวเราเอง


แน่นอน แบมก็ยังคงสถานะเป็นมิตรที่ดีของเค้า แบมจึงยังต้องช่วยเหลือเค้าเท่าที่แบมจะสามารถต่อไป และเนื่องจากแบมไม่ใช่เทวดา แบมไม่สามารถเสกให้ใครหลุดจากความเคยชินในการ "ทำแบบที่เคยทำ" แบมจึงไม่แน่ใจเลยว่า จะช่วยให้เค้าสามารถรักษากิจการของเค้าไว้ได้ไหม ผู้ที่สำคัญที่สุดสำหรับนิทานเรื่องนี้ น่าจะเป็นใจของเค้าเองที่ต้องสั่งให้ตัวเองหลุดจากการ "ทำแบบที่เคยทำ" ให้ได้เสียก่อน แบมภาวนาว่า สิ่งที่แบมจะพูด จะบอก กับเค้า ต่อจากนี้ไป จะทำให้เค้าคิด ตรึกตรอง และ ตอบกับตัวเองให้ได้ ว่าถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงตนแล้วหรือยัง

จากคุณ : bam_ka@ - [ 23 ธ.ค. 51 19:42:50 ]

: คนบ้านสามขา101ฯ., คุณไข่เป็ด, saifan, ต้นจั่น, สาวน้อยร้อยแปด, ไซโค เสก




 

Create Date : 25 มกราคม 2552    
Last Update : 25 มกราคม 2552 1:51:02 น.
Counter : 717 Pageviews.  

To Do List

ความเห็นที่ 11 จากกระทู้ "อุบล.....หนาวมาก" //www.pantip.com/cafe/silom/topic/B7337347/B7337347.html

ขอบคุณทุกท่านสำหรับ give ค่ะ ยังไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเหมือนเดิมค่ะ แลกสิทธิพิเศษอะไรได้ซักอย่างคงดีเนอะ เช่นเล่นพันทิปผ่านมือถือแบบไม่ต้องเสียตังค์เป็นต้น อิอิ

**********************************

ความคิดเห็นที่ 11

55555 *O* แบมไม่ได้ขำโก นะคะ แต่แบมขำผู้ร่วมกระทู้ค่ะ น่ารักดีนะคะ เค้าถึงบอกกันว่าคนไทยมีเสน่ห์ เครียดจะตายกันยังไง ก็ยังมีมุมให้แอบขำค่ะ

กรุงเทพฯ ตอนนี้หนาวจนเหงื่อตกเช่นเดียวกันค่ะโก และเมื่อชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าสภาวะจะเป็นอย่างไร ปัญหาจะถาโถมขนาดไหน เราก็คงต้องปรับตัวปรับใจและก้าวเดินต่อไปให้ได้

เมื่อเช้าแบมเพิ่งรู้สึกตัวว่าแบมพลาด ปกติระหว่างขับรถมาทำงาน จะเป็นช่วงเวลาที่แบมทบทวน To Do List สิ่งที่ต้องทำในแต่ละวัน นั่งทบทวนในใจไปซักพัก แบมก็นึกได้ว่า To Do List ของแบมนี่ มีแต่งานแก้ปัญหาทั้งนั้นเลยนี่หว่า

ตรงนี้ที่แบมรู้สึกว่าพลาด จริงๆ แล้วแบมคิดว่า To Do List ของคนเรา ควรต้องแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งของการจัดการปัญหา และ ฝั่งของการสร้างโอกาส

ตอนนี้ To Do List ของแบมเอียงไปข้างหนึ่ง เพราะมีแต่ฝั่งของการจัดการปัญหา แบมมัวแต่ใช้เวลารับอากาศหนาวจนนั่งเหงื่อตก ผลคือ แบมบริหารเวลาเพื่อจัดการกับฝั่งของการสร้างโอกาสไม่ได้

การจัดการกับปัญหานั้น ผลของมันโดยตรงคือ ทำให้คืนสู่สภาวะปกติ อาจมีผลพลอยได้ให้มีโอกาสเพิ่มขึ้น ก็เพียงเล็กน้อย สรุปเวลาที่แบมสูญเสียไป ได้คืนมาแค่ สภาวะปกติ

ถ้าแบมต้องการ สภาวะที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แบมต้องมี To Do List ของฝั่งการสร้างโอกาสด้วย เหอะๆ รู้สึกว่า ตัวเอง error มากมาย ที่ทำให้ To Do List สองฝั่งไม่บาลานซ์ กัน

ต่อไปนี้ต้องเตือนสติตัวเองตลอดเวลา อย่างน้อยที่สุด การจัดการปัญหา VS การสร้างโอกาส ต้องบาลานซ์กัน ดียิ่งไปกว่านั้น คือ การจัดการปัญหาค่อยๆ ลดลง และการสร้างโอกาสเพิ่มมากยิ่งๆ ขึ้น

ถ้าแบมมีสติได้อย่างนี้ แบมคาดว่า แม้กรุงเทพฯ ยังจะหนาวต่อไป แต่แบมคงไม่เหงื่อตกแล้วค่ะ :-)

จากคุณ : bam_ka@ - [ 19 ธ.ค. 51 13:11:05 ]

: Mythica88, melody_bangkok, "เลขาฯ ตัวแสบ!", คุณไข่เป็ด, Baby Bean, riskx_ray, คนอุบล, Roby, mpl2004, nameshiro, เตร็ดเตร่, R~BOcuty, Mr Google, คนบ้านสามขา101ฯ., saifan, Ere




 

Create Date : 25 มกราคม 2552    
Last Update : 25 มกราคม 2552 1:45:01 น.
Counter : 759 Pageviews.  

ขอพลังจงอยู่กับท่าน

อันนี้คือบทความล่าสุดค่ะ เห็นวันเวลาที่โพสต์แล้วอนาถใจ เจอกันปีละหนสองหนจริงๆ ด้วยนะนี่

***********************
สวัสดีปีละหน สองหน ค่ะ

คนทำงานอย่างเราๆ ต้องใช้พลังมหาศาลกันทุกวัน เพราะเราอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทั้งคนข้างบน คนข้างๆ และ คนข้างล่าง การเลือกใช้พลังกับผู้คนที่หลากหลายคล้ายว่าเป็นศิลปะการบริหารคน ในกระทู้ของโกเฒ่า (คุณคนอุบล / มือเก่า) มีกล่าวถึงการบริหารคน และ บริหารงาน ในมุมของแบม การบริหารคนต้องมาก่อน เพราะผลลัพธ์ของมันส่งผลให้แบมบริหารงานได้

คุณอย่าเข้าใจผิด ว่ามิตรในโลกการทำงาน เหมือนมิตรข้างบ้านหรือมิตรสมัยเรียน การคบกับมิตรในโลกอื่น คุณทิ้งพลังไว้บนเตียงที่บ้านก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องพกพลังไปเพื่อไปนั่งกินข้าวกับเพื่อน คุณไปเพื่อกินกับนั่งฟังมันเมาท์เอามันส์แล้วกลับบ้านหลับฝันดี ก็ได้ แต่กับมิตรในโลกการทำงานแล้ว พวกเขาเป็นเสมือนมิตรต่างตอบแทน ทุกคนเป็นคนดีคบได้ แต่ขอให้เข้าใจว่าพวกเขาเป็น “มิตรต่างตอบแทน” ดังนั้น คุณต้องใช้พลังที่เหลือเฟือเพื่อให้เขารู้สึกได้ ว่าคุณตอบแทนพวกเขาคุ้มค่าแล้ว เมื่อนั้น เขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ

- มิตรข้างบน :
1. เจ้านายs (เติม s ด้วย เพราะหลายคน)
2. ผู้ที่วัยวุฒิสูงกว่า
3. ผู้ที่มีบทบาทในการทำงานสูงกว่า ไม่ว่าในหรือนอกองค์กร

เหล่านี้ล้วนเป็นมิตรข้างบน โดยบทบาทในโลกทำงานของพวกเขา ทำให้พวกเขามักเป็นคนส่งโจทย์ให้กับคุณ พลังที่คุณต้องใช้เพื่อตอบแทนพวกเขาคือ ตอบโจทย์ให้ได้อย่างชัดเจน ตรงประเด็น และ ภายในเวลาที่เขาต้องการ ถ้าทำได้ พวกเขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ ถ้าอยากเป็นยิ่งกว่ามิตร อยากซี้ปึ๊กเลย แนะนำให้ใช้พลังมากขึ้นเพื่อไปถึงขั้น Advance คือ นอกจากตอบโจทย์แล้ว ควรต้องนำเสนอทางเลือกที่เกินความคาดหมายให้ซะด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อห้ามคือ ห้ามตอบโจทย์โดยการบอกว่า เขาตั้งโจทย์ผิด การบอกเช่นนั้นอาจฆ่าคุณได้

- มิตรข้างๆ :
1. ผู้ที่อยู่ในสายงานต่างๆ ที่ต้องทำงานร่วมกับคุณไม่ว่านอกหรือในองค์กร นับตั้งแต่บุคคลที่อยู่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด
2. ทีมงานของคุณที่อยู่ในตำแหน่งที่รายงานคุณโดยตรง

สองพวกนี้แบมจัดให้เป็นมิตรข้างๆ ซึ่งบางคนอาจแปลกใจ สำหรับผู้ที่อยู่ในสายงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของคุณ พลังที่คุณต้องใช้เพื่อตอบแทนพวกเขาคือ บริหารจัดการงานของคุณในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาให้ดี จนเขาไม่ต้องเดือดร้อนหรือปวดประสาทจนทำงานไม่ได้ แค่นั้นเองที่พวกเขาต้องการจากคุณ เหมือนไม่ยากแต่คุณมักลืมนึกถึง ถ้าทำได้ พวกเขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ

สำหรับทีมงานของคุณที่ต้องรายงานคุณโดยตรง มองตามผังองค์กรก็อยู่ด้านล่างระดับที่ติดกับคุณ แต่คุณจะใช้พลังเสมือนพวกเขาเป็นลูกทีมไม่ได้ เขาไม่ใช่ลูกทีมคุณ แต่เขาเป็นเสมือนพี่เลี้ยงดูแลลูกทีมคุณซึ่งอยู่ข้างล่างเขาอีกที ศิลปะอย่างหนึ่งในการบริหารทีมคือ สนิทที่สุดกับระดับล่างที่ติดกัน และเว้นระยะห่างหนึ่งบรรทัดสำหรับระดับที่ล่างลงไปกว่านั้น พลังที่คุณต้องใช้เพื่อตอบแทนเหล่าพี่เลี้ยง คือ บอกเขาให้ชัดเจน ว่าคุณต้องการให้ลูกทีมคุณเติบโตไปเป็นอย่างไร ส่วนวิธีการเลี้ยงลูกทีมนั้น ให้เหล่าพี่เลี้ยงได้มีโอกาสนำเสนอให้มากที่สุด ให้เกียรติและให้โอกาสเขาให้มากที่สุด ถ้าทำได้ พวกเขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ

- มิตรข้างล่าง :

มีอยู่กลุ่มเดียว คือ ลูกทีมของคุณ เพราะลูกทีมชาวบ้านถือเป็นมิตรข้างๆ สั่งการไม่ได้ แต่ขอความช่วยเหลือได้ พลังที่คุณต้องใช้เพื่อตอบแทนลูกทีมคือ บอกเขาให้ชัดเจนว่า คุณกำลังจะนำพาพวกเขาไปไหน ถ้าพวกเราทั้งหมดไปถึงจุดนั้นแล้วพวกเขาจะได้รับอะไร คุณเองก็จะไม่ใช้รถ แต่จะเดินอยู่ข้างๆ พวกเขาไปตลอดทางตราบเท่าที่เขายังไม่หยุดเดิน ส่วนสิ่งที่พวกเขาต้องทำในระหว่างการเดินทางนั้นให้ไปถามกับเหล่าพี่เลี้ยงเอง แต่ถ้าเขาเกเรออกนอกทาง คุณจะฆ่าพี่เลี้ยงเขา ให้เขาตัดสินใจต่อเอง ว่าจะเป็นเด็กที่น่ารัก สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ไม่ให้พี่เลี้ยงหนักใจ หรือจะเกเรแล้วยืนดูพี่เลี้ยงโดนฆ่าตาย ถ้าทำได้ พวกเขาพร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ


ใกล้สิ้นปีแล้วก็ได้เวลาเติมพลัง อย่าลืมเติมพลังให้ตัวเองนะคะ “ปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง” ใครนะคิดคำพูด นับเป็นกุศโลบายที่สุดยอด คุณสามารถ imagine ล่วงหน้ากันได้ตั้งแต่วันนี้เลย ว่าคุณต้องเตรียมพลังไว้มากแค่ไหนสำหรับการทำงานในปีหน้า

อันว่า “พลัง” เนี่ย จริงๆ ก็ต้องชาร์จกันทุกวัน คนทำงานก็คล้ายเครื่องจักรกลไร้สายจำพวกมือถือ ยังไงยังงั้น แต่สิ้นปีนี่เป็นช่วงเวลาหาเรื่องเปลี่ยนแบตใหม่เพื่อพลังที่เต็มประสิทธิภาพในปีใหม่ๆ คนเราต้องหาเรื่องเปลี่ยนแบตบ้างนะคะ เพราะบางเรื่องบางราวที่เราแบกรับมาตลอดปี มันก็ทำให้ใจเราสมองเราคล้ายแบตเก่าที่เสื่อมสภาพ แถมยังเป็นขยะมีพิษต้องแยกทิ้งด้วยนะเออ

หยุดหมอง แล้วมองหาแบตใหม่ที่ทำให้พลังเต็มขีดกันเถอะค่ะ จะไปนอนกอดแม่ เก็บกระเป๋าขึ้นเหนือ หรือนอนดูซีรีส์อยู่บ้าน ก็ตามถนัดค่ะ - ขอให้พลังจงอยู่กับท่านค่ะ

หมายเหตุ : ขออภัยพี่น้องหลายท่านที่ไม่สามารถติดต่อแบมได้ในช่วงที่ผ่านมา บังเอิญเป็นช่วงปรับเปลี่ยนหลายอย่างในชีวิต ทำให้หยุดติดต่อชาวโลกชั่วคราวค่ะ

จากคุณ : bam_ka@ - [ 22 พ.ย. 51 14:02:15 ]




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2551    
Last Update : 20 ธันวาคม 2551 0:26:04 น.
Counter : 630 Pageviews.  

ถูกเขาฆ่าตาย หรือถูกเขาหลอกให้ฆ่าตัวตาย

ไตรมาสสุดท้ายของปี เวียนมาถึงอีกรอบ ข้าพเจ้าก็ได้เวลาหายตัวหายหัวอีกหนึ่งหน

หายไปเพื่อตั้งสติทบทวนถึงผลลัพธ์ของทุกสิ่งที่ทำมาตลอดปี การทบทวนตัวเองนั้นต้องตั้งอยู่บนปัจจัยพื้นฐานคือความซื่อตรงต่อตัวเอง ชนะให้นั่งคิด จะชนะอย่างนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ทำยังไงจึงจะชนะได้ต่อไป แพ้บอกแพ้ และหาให้เจอว่าแพ้เพราะอะไร

การทบทวนนำสู่ การกำหนดสมาธิเพื่อวางแผนสำหรับอนาคต และเมื่ออนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง การทบทวนอย่างซื่อตรงเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดการวางแผนที่แม่นยำและสัมฤทธิ์ผล

ให้บังเอิญเสียหลายครั้ง ที่พักนี้ได้รับคำบอกเล่าจากหลายทิศหลายทาง ถึงเรื่องราวที่แต่ละคนที่ผ่านพบในปีที่ผ่านมา

คุณเจ๊เจ้าของร้านรองเท้าในห้างแห่งใหม่ที่ภูเก็ต เพิ่งรู้จักกันตอนแบมลงไปภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว สนิทกันอีท่าไหนไม่รู้ แกเลยมักโทรมาเล่าเกี่ยวกับธุรกิจให้ฟัง พักนี้แย่เลยแบม สิ้นปีคงต้องปิดร้าน ไอ้ร้านรองเท้าแบรนด์ดังอยู่ใกล้กัน มันจัดโปรโมชั่นตลอด ลูกค้าเทหายไปอยู่นั่นหมด เจ๊ต้องลดกระหน่ำชนกับเค้าตลอด ใกล้แย่แล้วแบม เจ๊ก็สู้เต็มที่แล้ว ยังถูกเค้าฆ่าตายอยู่ดี.......

ซัพพลายเออร์เพื่อนกัน (รู้จักจากห้องสีลม ลมพัดไปพัดมา กลายเป็นได้ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกันซะได้) มานั่งบ่นให้ฟัง แบม ปีนี้ธุรกิจแย่จริงๆ สินค้าก๊อปปี้จากจีนทะลักเต็มตลาด ราคาก็ถูกยังกับแจกฟรี ลูกค้าหายหมด รายใหญ่ๆ ที่เคยซื้อเพราะงานเราคุณภาพดีก็หาย ต้องปรับตัวลงตลาดล่างไปสู้กับจีนอีก เฮ้อ...ท่าทางรอดยากแบม โดนจีนฆ่าตายหมดแน่งานนี้..........

ผู้ช่วยเก่า เลือกเส้นทางชีวิตในบริษัทใหม่ บ่นอุบอิบให้ฟัง โดนเพื่อนร่วมงานกลั่นแกล้ง แย่งงานไปนำเสนอ เอาผลงานเข้าตัว ทั้งที่ไม่ได้ทำ ตอนนี้ได้โปรโมทไปแล้ว นู๋ก็ยังอยู่ที่เดิม เพื่อนฆ่าเพื่อนชัดๆ นายลำเอียง คนทำดีไม่มอง ฟังแต่พวกประจบ ...บลา...บลา....ฯลฯ

ฟังแล้วหดหู่ชอบกล เจอแต่คนถูกเขาฆ่าตาย ตกลงทุกคนโดนฆ่าตายหมด โลกนี้วังเวงพิลึก นั่งคิดอีกที หรือเขาไม่ได้ทบทวนตัวเองอยู่บนพื้นฐานของความซื่อตรงต่อตัวเอง?

ถูกเขาฆ่าตาย หรือ ถูกเขาหลอกให้ฆ่าตัวตาย?

เจ๊ร้านรองเท้า ทำไมคิดว่า ลูกค้าเทเข้าร้านแบรนด์ดัง เพียงเพราะว่า โปรโมชั่นราคาถูก? แล้วเจ๊ไปฟาดฟันอะไรกับเค้า? แบรนด์ดังมีงบการตลาด 15% แต่เจ๊ได้กำไรต่อคู่ 150 บาท ทำไมเจ๊กล้าโดดไปร่วมสงครามราคากับเค้า? อืม...แล้วที่จริงแล้ว คนซื้อรองเท้าแบรนด์นั้นเพราะอะไรกันแน่นะ? เพราะโปรโมชั่นราคาถูกดี?(ซึ่งลดแล้วก็ยังแพงกว่าร้านเจ๊) หรือเพราะคุ้มค่าด้วยราคาถูกลงแล้วได้รองเท้าคุณภาพดี? เฮ้อ...หรือว่างานนี้เจ๊ถูกเขาหลอกให้ฆ่าตัวตาย....

ซัพพลายเออร์เพื่อนรัก ออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่หายหมดเพราะสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพจากจีนจริงหรือ? ลูกค้ารายใหญ่ที่ต้องการแต่ของคุณภาพดีเท่านั้น หายไปไหนหมด? แน่ใจหรือว่าหายไปกับสินค้าจีน? หรือว่าหายไปสู่อ้อมกอดของคู่แข่งรายอื่นที่พัฒนาคุณภาพขึ้นไปอีกกันแน่นะ? เพื่อนคิดอะไรทำไมเลือกที่จะละเลยการพัฒนาตัวเอง แล้วโดดลงมาตลาดล่างที่เล่นเรื่องราคากันฝุ่นตลบ ทั้งที่เหนื่อยกว่าและยังไงก็สู้ราคาจีนไม่ได้อยู่ดี? เพื่อนเอ๋ย...งานนี้ คู่แข่งยืมมือจีน หลอกให้เพื่อนฆ่าตัวตายเสียแล้ว

ยัยนู๋ผู้ช่วยน้องรัก เพื่อนนู๋มือเปื้อนเลือดจริงหรือ? นู๋เข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งสูงสุดของการทำงานคือการสร้างผลงาน เมื่อผลงานเป็นของนู๋อย่างชอบธรรม ทำไมไม่กอดมันไว้ให้แน่น ทำไมละเลยจนปล่อยให้คนอื่นหยิบไป? นู๋มัวทำอะไรอยู่ เมื่อนู๋ไม่จัดลำดับความสำคัญของการทำงานอย่างเหมาะสมจนเพื่อนได้โอกาสมองเห็นผลงานที่วางกองไว้เฉยๆ นู๋จะเดือดร้อนอะไร ถ้าเค้าจะหยิบเอาไป ในเมื่อมันถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว ไม่มีใครฆ่านู๋ตาย มีแต่คนหลอกนู๋ให้จมอยู่กับกองงานที่ไม่มีวันเสร็จ มีแต่คนหลอกให้นู๋ฆ่าตัวตาย...

.................

คิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วก็ต้องก้มหน้ามองงานในมือตัวเอง คิดแล้วก็ย้อนดูตัว บนเส้นทางของงานการตลาด เรารบไปสิบสนาม ชนะไปเสียเจ็ดสนาม เรายิ้มกับชัยชนะของเรา แต่อีกสามสนาม เราแพ้เพราะอะไร?

แย่จริง..ที่สิ่งที่เราเขียน มีแต่เรื่องที่บอกว่า โดนคนโน้นคนนี้ฆ่าตาย นี่เรามันไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง เรามุ่งแต่มองออกไปวิเคราะห์สิ่งรอบตัว โดยลืมวิเคราะห์ตัวเอง หรือเราลืมปรัชญาในการทบทวนคือ "ต้องซื่อตรงต่อตัวเอง" เราอาจเคยตัดสินใจผิดในวันที่ผ่านมา แต่วันนี้เราจะต้องซื่อตรงต่อตัวเองเพื่อให้การวางแผนวันนี้แม่นตรงสำหรับวันข้างหน้า ตลกจัง...ยางลบอยู่ไหน เราต้องเขียนแผนใหม่เสียแล้ว มีหลายสนามเลยที่เราถูกเขาหลอกให้ฆ่าตัวตาย

จะสิ้นปีแล้วค่ะเพื่อนๆ มันไม่สำคัญหรอก ว่าเราเคยตายมากี่ครั้ง ชีวิตก็เหมือนเกม ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่มือของเรา ที่ใจของเรา คนอื่น...ไม่เกี่ยว ไม่มีใครมาฆ่าเราทั้งนั้น มาถึงวันนี้ หากเราเคยแพ้ก็แพ้ไป ขึ้นปีใหม่ก็ reset กันใหม่ ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราวิเคราะห์สาเหตุแห่งความพ่ายแพ้นั้นได้หรือไม่ ซึ่งถ้าเราทบทวนด้วยความซื่อตรงต่อตัวเอง เราจะมองเห็นอะไรอีกมากมาย เราจะรู้ว่าทำไมลูกค้าจากเราไปหาแบรนด์อื่น ทำไมเงินเดือนเราไม่ขึ้น ทำไมนายเบื่อหน้าเรา ทำไมของเราขายไม่ได้ ทำไมเค้าไม่รับเราเข้าทำงานเสียที เมื่อมองเห็น ก็เริ่มวางแผนสำหรับเกมใหม่ซึ่งเราจะไม่แพ้ซ้ำซากอีกแล้ว อย่างน้อยที่สุด เราจะอยู่ในเกมได้นานขึ้น และจะสนุกสนานกับเกมมากขึ้น

เขียนยาวเหยียดเหมือนบ่นตามเคย ขอให้เพื่อนๆ ชนะในเกมใหม่ที่กำลังจะเริ่มขึ้น หลับตาแล้วกด reset ได้เลยค่ะ

โชคดีค่ะ

จากคุณ : bam_ka@ - [ วันเกิด PANTIP.COM 23:45:13 ]




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2551    
Last Update : 20 ธันวาคม 2551 0:22:53 น.
Counter : 756 Pageviews.  

ว่าด้วยเรื่องของ "Fuji Restaurant"

บทความนี้เกิดจากการตอบกระทู้ของคุณ narukao ที่ตั้งถามว่า "ทำไมร้าน Fuji ถึงขายดีขนาดนี้"

*********************************

ความคิดเห็นที่ 16

อืม ในที่สุดก็มีคนหยิบเรื่องฟูจิ ขึ้นมาพูดถึง

ฟูจิ ถือเป็น กรณีศึกษา ที่สำคัญสำหรับผู้อยู่ในวงการธุรกิจทุกธุรกิจ

แบมกล่าวถึงเสมอ สำหรับผู้จะเริ่มมีธุรกิจเป็นของตัวเอง การศึกษา demand คือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเริ่มพิจารณา

demand ในที่นี้ มิใช่เพียงปริมาณความต้องการ หรือ ปริมาณกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในตลาด แต่รวมถึง ลักษณะความต้องการ หรือ พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วย

ในขณะที่หลายองค์กร เฝ้าส่ายตามองหาช่องว่างในตลาด เพื่อที่จะเริ่มธุรกิจใหม่ๆ
ในขณะที่หลายองค์กร เฝ้าแต่นั่งพิจารณาความสามารถขององค์กรว่า สามารถสร้างหรือพัฒนาธุรกิจของตนได้อย่างไรบ้าง
แต่ ฟูจิ พยายามอย่างหนัก เพื่อที่จะหาคำตอบให้ได้ว่า ลูกค้าเป้าหมายหลักของตนนั้น ต้องการอะไรจากธุรกิจของตน

เพื่อการรักษามารยาททางธุรกิจ แบมขอหยิบยก แค่บางประเด็นของฟูจิ ขึ้นมาเสนอ

ฟูจิ ขายอาหารญี่ปุ่น

ฟูจิ ไม่ได้มองว่า ตนเป็นแค่ร้านอาหารญี่ปุ่น เพราะถ้ามองแค่นั้น ฟูจิ ต้องพัฒนาอาหารของตน ให้มีคุณภาพสูงสุดโดยคงความเป็น อาหารญี่ปุ่น ให้มากที่สุด เหมือนดังเช่นร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ ปฏิบัติกันมา

แต่ ฟูจิ ตระหนัก ว่า "ตนเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่ขายคนไทย" สิ่งที่ฟูจิกำหนดไว้กลางใจ คือ การสร้างร้านอาหารญี่ปุ่นที่สามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับคนไทย

เมื่อสิ่งกลางใจฟูจิเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขับเคลื่อนโดยฟูจิ จึงถูกกำหนดให้มุ่งสู่การตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยอย่างแท้จริง

ต่อไปนี้ คือบางคำตอบที่ฟูจิค้นพบ

1. ฟูจิ ค้นพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ ที่เลือกเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น คาดหวังที่จะได้ทาน อาหารญี่ปุ่นในบรรยากาศญี่ปุ่น แต่มีรสชาติอร่อยในความรู้สึกของคนไทย

ผลจากการค้นพบทำให้ : สูตรอาหารถูกปรับรื้ออย่างมโหฬาร รวมทั้งหลายเมนูที่ถูกตัดออก และหลายเมนูที่เพิ่มเข้าไป เป็นเมนูที่คนไทยโปรดปราน แต่คนญี่ปุ่น ..เฉยๆ..

2. ฟูจิ ค้นพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ ที่เลือกเดินเข้าร้านอาหารญี่ปุ่น คาดหวังที่จะได้ทานอาหารญี่ปุ่น ด้วยราคาที่สมเหตุสมผลในความรู้สึกของคนไทย ฟูจิค้นพบ คำตอบที่มีค่าว่า คนไทยชมชอบอาหารญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน ในเรื่องความสดใหม่ และรูปลักษณ์ที่น่าทาน แต่สิ่งที่สร้างความมึนงง และ มหัศจรรย์สำหรับคนไทยคือ อาหารญี่ปุ่นแพงสุดโต่ง อย่างไม่สมเหตุสมผล เป็นผลให้ตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในอดีต ถูกจำกัดเพียงเฉพาะคนไทยไม่กี่กลุ่มที่มีกำลังซื้อ แต่เมื่อฟูจิ กำหนด ตำแหน่งของตัวเอง ให้มุ่งสู่ความเป็น Mass ฟูจิต้อง do the change

ผลจากการค้นพบ ทำให้ : โครงสร้างราคาอาหารถูกปรับรื้อ ด้วยการเปลี่ยนแหล่งผลิต และเกรดของวัตถุดิบบางตัว จากเดิมที่ดีเลิศ เป็น คุณภาพในระดับที่คนไทยยอมรับได้

3. สิ่งที่มีค่าที่สุดที่ฟูจิค้นพบคือ ถ้าคุณเป็นผู้ขายอาหารหลัก เป็น Meal ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านอาหารอะไร ไม่ว่าคุณจะขายอะไร แพงแค่ไหน สิ่งที่คุณต้องทำคือ ทำให้ลูกค้าเดินจากคุณไปด้วยความรู้สึกว่า อิ่ม! อร่อย อย่างคุ้มค่า ถ้าคุณทำข้อนี้ไม่สำเร็จ คุณทำธุรกิจนี้ไม่ได้

เมื่อตั้งโจทย์ว่า ต้องให้ลูกค้า อิ่มอร่อยอย่างคุ้มค่า การหาคำตอบ คือการลงไปศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของคนไทย ทุกวันนี้ พวกเขาบริโภคอะไร ในหนึ่งมื้อ หนึ่งอิ่ม คนไทยต้องทานอะไรบ้าง

คำตอบที่ได้ เปิดศักราชใหม่ ในวงการร้านอาหาร

คนไทย "ทานอาหารเป็นสำรับ" รู้จักสำรับอาหารกันไหม อาหารบนโต๊ะทานข้าวที่บ้านพวกเรากันนั่นแหละ คือสิ่งที่พวกเราคุ้นเคยสำหรับหนึ่งอิ่มของเรา เรามีอะไรบนโต๊ะกันบ้าง? ภาพคุ้นตาน่าจะมีข้าว มีแกงซักถ้วย มีผัดหรือยำหรืออะไรทอดๆ ซักอย่าง เราก็อิ่มแล้ว ... นี่ถือวิถีชีวิตของคนไทย ...

ผลจากการค้นพบ ทำให้ : ฟูจิ เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นรายแรกๆ ในตลาด ที่หาญกล้าจัดอาหารเป็นเซ็ต แล้วโขกราคาให้ต่ำลง เป็นกลยุทธ์ Value for Money ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นอื่นไม่กล้าทำ และทำให้ฟูจิ ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย

4. ฟูจิ ค้นพบ ว่า เมื่อหาจุดสำเร็จเจอ ต้องรีบต่อยอดความสำเร็จนั้นขึ้นไปให้สูงกว่าเดิม ก่อนที่คู่แข่งจะขยับตัว และแบ่งปันความสำเร็จนั้นไป

ผลจากการค้นพบ ทำให้ : เมนูของร้านฟูจิ ได้รับการจัดวาง Lay Out ใหม่หมด โดยปกติ เมนูร้านอาหาร จะจัดวาง อาหารทานเล่นเป็นหน้าแรก ตามด้วยอาหารจานเด็ด ตามด้วยอาหารเมนูอื่นๆ ตามด้วยของหวาน ตามด้วยเครื่องดื่ม

แต่เมนูของร้านฟูจิ เปิดมาหน้าแรก เจอ เมนูอาหารเซ็ต เมื่อคุณต้องการเราจะสนอง!! ในหน้าเมนูอาหารเซ็ต ให้ความสำคัญกับการ Lay Out เป็นพิเศษ สีสันอาหารสวยสะดุดตา สร้างการจดจำในใจลูกค้า ถ้าอยากจะอิ่มครบรสกับอาหารญี่ปุ่น ราคาคนไทย หาได้ที่ฟูจิ สิ่งที่ประทับอยู่ในใจของลูกค้า มีพลังยิ่งกว่าการโฆษณาใดๆ ฟูจิได้ลูกค้าเพิ่มมหาศาลจากกลยุทธ์การบอกต่อเช่นกัน และผลพลอยได้จากการที่ลูกค้าตัดสินใจสั่งเมนูอาหารเซ็ต คือ การร่นเวลาการตัดสินใจซื้อ ซึ่งส่งผลให้ Turn Over ของลูกค้ามากขึ้น และ ที่สำคัญคือ Ticket Average ต่อหัว ของลูกค้ามากขึ้น

**************

ที่มาแห่งความสำเร็จ ยังมีอีกหลายประการ หยุดเสนอไว้เพียงแค่นี้เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ต่อยอดความคิดออกไป

สิ่งหนึ่งที่อยากเรียนย้ำคือ ทุกความสำเร็จ ของทุกธุรกิจ มิใช่สิ่งที่ได้มาโดยบังเอิญ...



แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 46 21:16:10

จากคุณ : bam_ka@ - [ 3 ก.ย. 46 21:07:56 ]




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2551    
Last Update : 20 ธันวาคม 2551 0:00:59 น.
Counter : 3422 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

bam_ka@
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add bam_ka@'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.